เราเล่าเรื่อง | กลับไปContent | ไปหน้าบ้าน

จดหมายถึงเพื่อน
ฉบับที่ 1 : หยุด 3 วัน สุขสันต์ตามประสา

สวัสดีเพื่อนๆ ชาวThe Gang ทุกคน

ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ขาดการเขียนถึงเพื่อนๆมาเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจาก เมลหยุด 3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็เลยไม่ค่อยว่าง ต้องปฏิบัติภารกิจ ฮ่า ฮ่า ไม่ใช่หรอก วันศุกร์ ไปซื้อของกันย่านคนเอเชีย ชื่อถนน Chamblee แต่เมลบอกเขาจะเรียกกันว่า แชมโบเดีย เลียนแบบ Cambodia คือประเทศกัมพูชาหรือเขมรนั่นเอง ไปถึงก็เหมือนเจอขุมทรัพย์ อยากตะโกนให้ก้องถนนว่า 'กูรอดตายแล้ว' ซื้ออาหารไทยมาเพียบ ได้หม้อหุงข้าวแล้ว เป็นของไต้หวัน แต่ก็หุงได้แบบไทยนั่นแหละ เมล ปลาบปลื้มกับ Rice Cooker ของเขามาก เขาคงคิดในใจ 'กูไม่ต้องทนกินข้าวแฉะ เม็ดบานทะโล่อีกแล้ว' ทุกวันหลังกินข้าวเย็นเสร็จ เขาจะเป็นคนล้างจาน พอถึงตอนล้างหม้อหุงข้าว เธอก็จะลูบหม้อหุงข้าวไปมา พลางพูดว่า "I love this rice cooker, I'm happy we've found one."

ฉันก็ว่าฉันโชคดีเหมือนกันที่ได้มันมา ไม่งั้นก็ต้องทนกินข้าวแฉะของตัวเองต่อไป ดีไม่ดีสามีขอหย่าเสียอีก ฮิฮิ ตอนนี้ฝีมือทำกับข้าวของชั้นก็พอแล่กล่ายนะ ดีที่เอาตำราอาหารมาด้วย ซื้อตำราผัดข้าวจานเดียวมา ได้ใช้มากเลย เมื่อวานเพิ่งทำข้าวผัดน้ำพริกเผา ให้เมลไปกินที่ทำงาน วันนี้ทำข้าวผัดมันกุ้ง อร่อยมากเลย (ขอบอก) ได้กินนิดเดียวเอง พอดีข้าวหมด มีพอแค่จานเดียว แต่ต้องสละให้เมลไป เพราะโรงอาหารที่ทำงานปิด 2 อาทิตย์เลยต้องเอาข้าวไปกิน เดี๋ยววันหลังค่อยทำใหม่ อร่อยดีว่ะ (ชมตัวเอง) เมลบอกสงสัยฉันเพิ่งค้นพบตัวเองว่า ทำกับข้าวอร่อยได้เหมือนกัน ไม่ดีเท่าแม่แต่ก็เริ่มต้นได้ดีแล้ว (ไม่รู้พูดเอาใจกลัวไม่มีอะไรกินหรือเปล่า) ตอนนี้กำลังจะหาซื้อครกอยู่ เมื่อวันก่อนไปเจอแต่กระติ๊บข้าวเหนียว ครกยังหาไม่ได้ ว่าจะตำน้ำพริกกะปิกินเสียหน่อย เมลมีเครื่องบดเหมือนกัน แต่เกรงว่ากลิ่นกะปิจะคงอยู่ฟอร์เอฟเวอร์เลยยังไม่อยากใช้

เล่าต่อนะเพื่อนรัก พอไปช็อปอาหารไทยกระหน่ำแล้ว ก็กลับไปบ้านทำกับข้าวกลางวัน พักผ่อนสักพัก พอข้าวเรียงเม็ด เมลก็พาร้านหนังสือย่านช้อปปิ้งมอลล์ใกล้ๆบ้าน คิดถึงเพื่อนๆมากเลยพอไปที่นั่น คิดว่าทุกคนต้องชอบ ชื่อร้าน Border's ขายแบบรวมมิตร หนังสือ เพลง หนัง แต่แบ่งเซ็คชั่น ห่างกันพอควร โซนหนังสือก็จะเงียบสงบ แล้วก็มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งอ่านหนังสือ เขียนหนังสือเหมือนห้องสมุดเลย แล้วก็มีร้านกาแฟด้วย ที่นั่งกว้างขวาง บรรยากาศดี อืมมม..กรุ่นกลิ่นกาแฟเคล้าไอน้ำหมึก (ว่าไปนั่น) คนก็เข้าเยอะ แต่ไม่ถึงกับแน่น แบบสบายๆน่ะ ได้แต่ลูบๆ คลำๆ และหมายตาหนังสือไว้หลายเล่ม เอาไว้ก่อนเถอะน่า เดี๋ยวเจอกัน เอ...หรือจะมานั่งอ่านฟรีที่นี่ดีหว่า บรรยากาศน่าอ่านกว่าบ้านเราอีก ความคิดนี้น่าสน แต่คงต้องรู้จักทางมาร้านให้ถูกซะก่อนเหอะ ไหนๆก็มาแล้วเลยซื้อหนังสือนิยายรักไป 1 เล่ม อยากจะหัดอ่านไว้หน่อย รู้สึกว่าหัวใจมันแข็งกระด้างเหลือเกิน น่าจะทำให้อ่อนโยนด้วย Love story ท่าจะดีเหมือนกันนะ

ฉันเห็นมีร้าน Barnes&Nobles ด้วยแต่ยังไม่ได้เข้า เอาไว้วันหลังค่อยไป เพราะเดือนนี้ช้อปของเข้าบ้านเยอะ ไม่ค่อยมีตังค์ ต้องประหยัด จริงๆก่อนหน้านี้ เขาพาไปร้านหนึ่งก่อนหน้านี้ ชื่อ Media Play แต่ร้านนี้จะหนักไปทางเพลง และหนังมากกว่า มีหนังสือเป็นส่วนน้อย แปลกดีนะที่นี่ ห้างเขาจะไม่ค่อยเหมือนกับเมืองไทย ลักษณะจะเป็นเหมือนย่านช้อปปิ้ง แต่เขาจะอยู่คนละที่ ไม่ได้อยู่ในตึกเดียวกัน แต่ละห้างก็จะขายของเฉพาะเจาะจงของเขาไปเลย พื้นที่แยกกันไม่เกี่ยวข้องกัน แบบที่ภาษาธุรกิจเขาเรียกกันว่า Stand Alone ซึ่งเขาก็จะขายของคนละอย่าง ในย่านใกล้บ้านเท่าที่จำได้ก็จะมีห้าง Media Play ขายพวกซีดีเพลง หนัง หนังสือ ห้าง Hi Fi Buys ขายเครื่องเสียง วิทยุโทรทัศน์ Shoes Factory ขายแต่รองเท้าล้วนๆ ห้าง Harry's Farmers Market ขายแต่ของกิน เน้นไปทางอาหารสด เช่น อาหารทะเล หมู ไก่ ประมาณตลาดสดติดแอร์ แต่เป็นห้างนะ แล้วก็ห้างที่เราไปบ่อยที่สุด Target ประมาณบิ๊กซี โลตัส บ้านเรานั่นแหละ แต่ไม่มีพวกอาหารทะเสดๆ มีแต่ของสดที่แพ๊คไว้แล้ว ไม่มีกลิ่นเหมือนที่ Harry's ย่านที่เป็นห้างสรรพสินค้าแบบบ้านเราก็มีเหมือนกัน ฉันได้ทัวร์หลายห้างหน่อย เพราะคุณเมล เธอเป็นประเภทเลือกห้างซื้อของค่ะ เธอจะรู้ว่าของอะไรซื้อที่ห้างไหนราคาจะถูกกว่า ดังนั้นเวลาออกซื้ออาหารตุนแต่ละครั้งก็จะได้ไปหลายที่หน่อย คนชอบช้อปอย่างเราไม่ว่าอะไรอยู่แล้วล่ะ ชอบบบ...

ส่วนวันเสาร์ก็ไปบ้านพี่สาวเมล เขาต้อนรับอย่างอบอุ่น เจอพวกหลานๆ ก็น่ารักดี พี่สาวเมลมีลูกสาว 2 คน น่ารักทั้งคู่ คนโตชื่อ เฮเธอร์ อายุประมาณ 10 ขวบ จะขี้อายกว่า คนเล็กชื่อ เจสสิก้า อายุ 9 ขวบ เธอจะเป็นสาวสังคมหน่อย ก็จะชอบมานั่งคุยด้วย ถามเรื่องเมืองไทยบ้าง พอเธอดูรูปงานหมั้นที่ทำพิธีไทย ก็จะถามว่านี่ใครนั่นใคร ดูรูปพระแล้วก็สงสัย พอเห็นรูปเพื่อนๆ เธอก็ร้องโอ้โห น้ามีเพื่อนเยอะจังเลย พอพูดชื่อแม่น้ำเจ้าพระยา เธอบอก หนูเชื่อว่าหนูเรียกไม่ถูกแน่ เธอจะนั่งคุยด้วยตลอด เดี๋ยวก็เอารองเท้าคู่ใหม่มาใส่โชว์ให้ดู เอาของเล่นมาให้ดู เธอหยิบมาอันหนึ่งเป็นแบบเคาน์เตอร์ขายรองเท้าตามห้าง เป็นของเด็กเล่น แล้วบอกว่า แบบเนี้ยะ ต้องไม่มีในประเทศไทยแน่ แล้วเขาก็เล่นแบบว่าเอานิ้วใส่เข้าไปในรองเท้าแล้วก็ทำเป็นเดินไปเดินมา ตลกดี เด็กๆเขาคงสนุกของเขาเน๊อะ แต่สรุปว่างานนี้ดิฉันก็ประทับใจค่ะ เมลบอกว่าหลานๆเขาเห่อน้าคนไทยมาก สงสัยเห็นเป็นของแปลก ฮิฮิ เด็กๆเขาไม่รู้หรอกว่าอะไรคือประเทศไทย อยู่ส่วนไหนของโลก เลยตื่นเต้นกันมาก ฮ่าฮ่า (สงสัยต้องเก็บค่าดู)

วันอาทิตย์ ไปเที่ยวในเมืองแอตแลนต้ามา วันอาทิตย์ในเมืองเงียบมาก เขาบอกว่าเป็นธรรมชาติของเมืองใหญ่ที่นี่ ทุกคนเข้าเมืองมาเพื่อทำงานเท่านั้น พอวันหยุดก็อยู่บ้าน เที่ยวแถวบ้าน ไม่เหมือนนิวยอร์คที่ยุ่งทุกวันตลอดเวลา พอดีโจนเพื่อนคนไทยถูกส่งให้มาทำงานที่นี่ 2 อาทิตย์ ขอให้ เมลช่วยพาเที่ยวในเมือง โจนกับเพื่อนอีก 2 คน อยากไป Centennnial Olympic Park เป็นสวนสาธารณะ สร้างตอนกีฬาโอลิมปิคปี 1996 ที่นี่ (ปีที่สมรักษ์ คำสิงห์ มาได้เหรียญทอง) เขาจัดได้สวยดี น่ามานั่งเล่น บนอิฐที่ปูถนนทางเดินในสวน ก็จะมีการสลักชื่อผู้บริจาคเงิน เพื่อสมทบทุนการจัดกีฬาโอลิมปิคที่ผ่านมา ซึ่งชาวเมืองที่นี่จะต้องช่วยกันจ่าย เพราะรัฐบาลไม่ได้ช่วยออกเงินเลย บริเวณสวนนี้มีลานน้ำพุ พุ่งขั้นมาจากพื้น พวกเด็กๆชอบไปเล่นกันที่นั่น พ่อแม่จะคอยนั่งดู สนุกสนานกันใหญ่ ฉันก็เลยถ่ายรูปไว้ซะหน่อย แล้วจะส่งไปให้ดูนะ

จากนั้นก็ไป CNN Center อยู่ใกล้ๆกับสวน Centennial Park นั่นแหละ ก็เดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย แต่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปดูถ่ายทอดหรอก เพราะบัตรแพง ประมาณ 7 หรือ 8 เหรียญนี่แหละ ไม่แน่ใจ จริงๆแล้วไม่แพงหรอก แต่ตอนนี้ประหยัดอยู่ไง (เศร้า) แล้วก็เดินเรื่อยๆ ไปที่ Philipps Arena เป็นสนามบาสเกตบอล ของ ทีม Atlanta Hawk พวกเพื่อนที่ไปด้วยเป็นสถาปนิก พวกเขาก็เลยอยากดูโครงสร้างอาคารกัน เสร็จจากเดินชมของฟรี (ที่เดินดูแต่ข้างนอก) ก็ไปพิพิธภัณฑ์โค้ก ถ้าคนที่บ้าสะสมพวกของที่ระลึกของโค้กก็คงจะชอบ มีร้านขายของที่ระลึกให้ ช้อปแบบกระหน่ำหนำใจพวกชอบโค้ก ของก็สวยดี แต่ฉันไม่ซื้อหรอก ซื้อน้ำกินแล้วต้องโฆษณาให้อีก(จริงๆแล้วเสียดายตังค์ ฮ่าฮ่า)ฉันชอบดูพวกโปสเตอร์เก่าๆ ที่วาดเป็นรูปผู้หญิงฝรั่ง สมัยก่อนๆน่ะ สวยดี ที่นี่เสียค่าเข้าชม 6 เหรียญ พอเข้าไปถึงตอนที่ให้กินโค้กฟรี ก็เลยวนหลายรอบหน่อย กะว่าเอาให้คุ้ม แต่ยังไงก็ไม่คุ้ม เพราะซื้อโค้กขวด 2 ลิตร แค่ เหรียญกว่าๆเอง (วันก่อนที่ห้างTarget โปรโมชั่น 2 ขวด แค่ 1 เหรียญเอง)

แถวพิพิธภัณฑ์โคัก ก็มีอีกย่านที่น่าสนใจ ชื่อ Underground เป็นย่านช็อปปิ้ง กับร้านอาหารเล็กๆ ตรงระหว่างอาคารก็จะมีลานโล่ง ไว้สำหรับแสดงคอนเสิร์ตเล็กๆ ในวันหยุด เมลบอกว่าเริ่มตั้งแต่คืนวันศุกร์แล้ว ซึ่งคนจะแน่นมาก ฉันมาวันอาทิตย์คนก็โล่งหน่อย วันที่ไปมีสาวผิวดำมาร้องเพลงแนวอาร์แอนด์บี เป็นมืออาชีพ ร้องเพลงเพราะแล้วก็ร้องอยู่คนเดียว โดยร้องกับดนตรีแบ๊คกิ้งแทรค เธอจัดการเองหมดเปลี่ยนแผ่นเอง แต่งเสียงเอง มีแค่เจ้าหน้าที่ของUnderground คนหนึ่ง คอยดูแลนิดๆหน่อย เธอเอนเตอร์เทนคนดูได้ดี ร้องใส่อารมณ์ มีลีลา ประมาณว่าเธอมีความสุขกับการร้องเพลงมาก ยืนฟังเธอร้องได้แป๊บหนึ่งก็ต้องรีบไป เพราะมีฉันชอบอยู่คนเดียว คิดถึงเพื่อนๆสุดๆ ถ้าพวกเรามาด้วยกัน คงได้ยืนฟังเธอร้องจนเลิกเลย จาก Underground ก็ไปส่งเพื่อนๆที่โรงแรมที่พัก แล้วกลับบ้าน มาทำกับข้าวให้เมลกินต่อไป (โธ่ ชีวิต ฮ่า ฮ่า)

อยากให้เพื่อนๆมาเที่ยวบ้านที่นี่นะ บรรยากาศดี เงียบสงบ เช้าๆ ก็จะมีนก สวยๆบินมาให้เราดูเล่นตรงระเบียงหลังบ้าน ส่วนใหญ่เป็นนกคาร์ดินัล ตัวสีแดงเรื่อๆ กับบลู เจ ตัวสีฟ้า เมลเขาซื้ออาหารนก มาโปรยทิ้งไว้ตรงระเบียงบ้าน แล้วก็แขวนไว้ที่ต้นสนหลังบ้าน บรรดานกต่างๆ ก็จะบินมากินอาหารที่เราโปรยไว้ให้ ตกบ่ายบางวัน ถ้านั่งตรงระเบียงหลังบ้านก็จะเห็นกระรอกไต่ลงมาจากยอดสน โดดไปโดดมาระหว่างต้นนั้นต้นนี้ มันแอบมากินอาหารของนกด้วย แถวนี้ไม่มีผลไม้ให้มันกินหรอก มีแต่ลูกสนเท่านั้นหล่ะ ดูๆไปๆที่นี่เหมือนตามต่างจังหวัดบ้านเราเลยนะ ยังได้ยินเสียงพวกแมลงต่างๆร้อง ไม่ใช่จักจั่นหรอก ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไร แต่พอได้ยินแล้วนึกถึงเพลงของคาราบาวที่ร้องว่า "หรีด หริ่ง เรไร ร้องระงมมา" อยากมาเที่ยวกันหรือยัง ที่นี่ต้นไม้เยอะ สดชื่นดี หวังว่าคงมีโอกาสต้อนรับเพื่อนๆสักวันหนึ่งนะ

รักและคิดถึงมาก
ปอม

copyright©2001 by Isariya C.