|
|||
เว็บไซท์ที่น่าสนใจ |
![]() ปล่อยเลี้ยงแบบธรรมชาติ (ไก่คุณสมหวัง)
วัฒนธรรมคืออะไร วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมได้ร่วมกันสร้างขึ้น ร่วมกันพัฒนา และปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาถึงลูกหลาน มีการเกิดใหม่ มีการดับไป หากวัฒนธรรมใดที่สังคมเห็นว่าดีก็จะยึดถือปฏิบัติต่อ หากวัฒนธรรมใดที่สังคมไม่ยอมรับวัฒนธรรมนั้นก็จะเลือนหายไป เช่น ในสังคมชนบทอีสานมีวัฒนธรรมข้าว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างข้าวกับคน คนกับควาย และประเพณีอื่น ๆ ที่เกิดจากอิทธิพลทางความเชื่อ อันได้แก่ ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ เป็นต้น ไก่ชนเป็นผลแห่งวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรม คนปลูกข้าวเอาไว้กิน คนเลี้ยงควายเอาไว้ใช้แรงงาน และคนเลี้ยงไก่เอาจุดประสงค์หลักเอาไว้เป็นอาหาร ชาวบ้านใช้ข้าวเศษตกในนาเมื่อฤดูเก็บเกี่ยวเลี้ยงไก่ หรืออาจใช้ครกมองตำข้าวซึ่งจะได้ทั้งข้าวสาร ข้าวปลาย รำและแกลบซึ่งไก่ที่เลี้ยงไว้ก็จะอาศัยครกมองเป็นที่หากินก็โตขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้เองไก่จึงเป็นสัตว์ที่มีสัญชาติญาณแห่งการต่อสู้ ตัวชนะจะทำหน้าที่คุมฝูงได้ตัวเมียและอาหารเป็นรางวัล จึงมีคนชอบนำไก่มาเลี้ยงชน การเลี้ยงไก่ชนยังไม่พบหลักฐานยืนยันว่ามีมาแต่เมื่อใด แต่ปรากฏหลักฐานที่ปราสาทนครธมแห่งประเทศกัมพูชามีภาพสลักคนเล่นชนไก่ จึงสันนิฐานว่าในสมัยที่สร้างปราสาทนี้ก็คงมีการเล่นชนไก่ขึ้นแล้ว ส่วนในประเทศไทยได้มีตุ๊กตาเสียกระบาลที่ขุดพบจากเตาเผาเมืองสวรรคโลกเป็นรูปคนอุ้มไก่ชน จึงสันนิฐานว่าคงมีการเล่นไก่ชนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ส่วนกรุงศรีอยุธยาก็มีภาพวาดที่วัดสุวรรณดารามจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สมเด็จพระนเรศวรกำลังชนไก่กับมังสามเกียดและสมัยนี้มีการเล่นไก่ชนกันอย่างแพร่หลาย หลักฐานเหล่านี้ก็พอจะยืนยันได้ว่าการชนไก่เป็นวัฒนธรรมหนึ่งที่มีมาพร้อมกับการสร้างบ้านแปลงเมืองในยุคต้น ๆ และสืบทอดเรื่อยมาจนปัจจุบัน การคงอยู่ของวัฒนธรรมนี้ย่อมเป็นบทพิสูจน์ว่าไก่ชนย่อมอยู่คู่กับคนไทย จากการทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคมของ อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ (Alvin Toffler) ที่เสนอไว้ในหนังสือคลื่นลูกที่ 3 หรือ The third wave ว่าในโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ๆ ทางสังคม คือยุคแรกเป็นยุคปฏิวัติเกษตรกรรม ซึงเป็นสังคมดั้งเดิมของมนุษย์ ผู้คนดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์ ต่อมาได้พัฒนาตัวเองมาเป็นสังคมเกษตรกรรมพออยู่พอกิน มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันและสุดท้ายกลายมาเป็นสังคมเกษตรกรรมเพื่อขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา ยุคที่สองเป็นยุคปฏิวัติ อุตสาหกรรมที่มุ่งใช้พลังงานจากเครื่องจักรกลแทนแรงงานมนุษย์และสัตว์ ทำให้เกิดการผลิตด้านปริมาณอย่างมหาศาล (Mass Production) ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายอย่างมากมาย ยุคที่สาม คือ ยุคปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร เกิดการขยายตัวของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มุ่งแสวงหาข้อมูลข่าวสารในด้านต่างๆ เพื่อชิงความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร ฯลฯ (Aivin toffier ,1980. อ้างถึงใน เอกวิทย์ ณ ถลาง, 2534 : 87 - 88) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในยุคแรกมาถึงยุคที่สองนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงช้าๆ ส่วนการเปลี่ยนแปลงจากยุคที่สองมาเป็นยุคที่สามจนกระทั่งมาถึงยุคปัจจุบันนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว เวลาแห่งจุดเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมปัจจุบันนี้สั้นมากจนแทบไม่มีเวลาทบทวนว่าวัฒนธรรมใดควรรับหรือไม่ควรรับ การถ่ายเททดแทนของวัฒนธรรมใหม่กลืนกลบวัฒนธรรมเก่าจนมองไม่เห็นเงาแห่งอดีตของตัวเอง ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งหน้ากลัวมากของสังคมชนบทไทยในปัจจุบัน การพัฒนาที่สร้างปัญหามาตลอดก็คือ รัฐมักเอาชาวบ้านเป็นคำตอบมากกว่าเป็นตัวตั้ง ความเจริญทางด้านวัตถุถูกยัดเยียดให้กับสังคมในระดับหมู่บ้าน ทุกคนต่างยิ้มรับกับของใหม่ที่ได้มา อยากดู อยากรู้ อยากเห็นกับสิ่งใหม่ ๆ เป็นวัฒนธรรมใหม่ ที่ถูกทดแทนจนวิถีเก่าถูกทำลายลงไป ในที่สุดชาวบ้านจะมองไม่เห็นรากเหง้าของตัวเอง ลืมความเป็นตัวเอง จนต่อ ๆ ไปคิดว่าของเดิมที่เคยปฏิบัติต่อๆ กันมานั้นล้าสมัย บางคนอายแม้ชาติกำเนิดของตัวเอง ดังจะเห็นตัวอย่างทุกวันนี้วัยรุ่นรู้จักดอกกุกลาบในวันวาเลนไทม์มากกว่าดอกบัววันเข้าพรรษา โรงสีข้าวแทนครกมองตำข้าว เครื่องยนต์แทนแรงงานควาย เพียงเพื่อเหตุแห่งความประหยัดทางด้านเวลา และความสะดวกสะบาย นอกจะทำลายวิถีเดิมให้แย่ลงไปอีกแล้วยังส่งเสริมให้ชาวบ้านเสพความฟุ่มเฟือย สังคมชาวบ้านที่เคยพึ่งตัวเงกลับเป็นสังคมที่ต้องพึ่งคนอื่น ไก่ชนในบริบททางสังคมยุคปัจจุบันถูกมองว่าเป็นการทารุณสัตว์อันเป็นการสวมแว่นแห่งโลกาภิวัติมองสังคมไทยโดยเอาศิวิไลซ์เซชันมาเป็นมาตรวัด การเอากรอบทางวัฒนธรรมตะวันตกมาขีดเส้นให้สังคมไทยตัองตามไปและเป็นไปตามมาตรที่เขากำหนดย่อมเหมือนการอัดกรอบพระที่เอาพระกับกรอบคนละรูปแบบมาอัดเข้าด้วยกันย่อมทำไม่ได้ หรือทำได้ชิ้นงานก็ไม่สวย ดังจะเห็นขยะทางสังคมอันเป็นผลแห่งการผสมทางวัฒนธรรมอยู่ดาษดื่น แนวโน้มสังคมชนบทหันมาพัฒนาวัตถุมากขึ้นแต่ก่อปัญหาทางสังคมตามขึ้นมาเป็นเงา โจทย์สองข้อที่ต่างกันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้คำตอบเดียวกัน วัฒนธรรมตะวันตกกับวัฒนธรรมที่ต่างกันมาตั้งแต่รากเหง้าจนถึงปลายยอด แล้วจะนำมาเป็นมาตรวัดข้ามวัฒนธรรมกันได้อย่างไร ซึ่งกระวัฒนธรรมตะวันตกนั้นได้พัฒนา และเติบโตมาจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นวัฒธรรมที่พัฒนา และเติบโตอย่างรวดเร็ว เน้นการบริโภคและส่งออก ส่งเสริมเสพเทคโนโลยี และมีความพึงพอใจกับวัตถุธรรมก่อให้เกิดสังคมทุนนิยม บริโภคนิยมและอำนาจนิยม จึงทำให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมตามมา ส่วนวัฒนธรรมตะวันออกนั้น มีรากฐานจากการเกษตรเป็นหลัก ดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาอาศัยกันและกัน รักษาห่วงแหนทรัพยากรธรรมชาติ และปรับตัวกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน สำนึกในคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และแสวงหาความสงบสุขทางใจครองชีวิตด้วยสมถะ ไม่ยึดมั่นทางวัตถุ เป็นสังคมพออยู่พอกิน ทั้งสองวัฒนธรรมมีความแตกต่างกันทุกขั้นตอนและกระบวนการ ดังนั้นการมองไก่ชนในวัฒนธรรมตะวันตกจึงเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ปกติแล้วมนุษย์ดำรงชีพอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมในลักษณะใดก็จะมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้กลมกลืนกับสิ่งนั้น นั้นคือ สิ่งแวดล้อมมีผลต่อวิถีชีวิต ทำให้มนุษย์เกิดความคิดเกิดภูมิปัญญาที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ได้อย่างปกติสุขซึ่งนำไปสู้การสร้างสรรค์วัฒนธรรม และมีวัฒธรรมเป็นฐานรากก่อให้เกิดสังคมที่ดีตามมาเมื่อสังคมมีระบบระเบียบแล้วก็จะมีส่วนผลักดันให้เกิดสิ่งแวดล้อมของสังคมนั้นให้ดีขึ้น กระแสโลกาภิวัตินั้นโหมมาแรงและเร็วแทบจะกลบกลืนทุกอย่างให้เลือนหาย ด้วยเป็นวัฒนธรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากระบบทุนนิยม เป็นวัฒนธรรมมหาอำนาจจึงถูกมองว่าเป็นอินเตอร์ที่อะไรก็ดูดีไปหมด การรับวัฒนธรรมก็อาจรับได้โดยง่ายโดยที่มิทันต้องคิดถึงประโยชน์และโทษภัย แต่การเลี้ยงไก่ชนก็ไม่เพียงเป็นวัฒนธรรมแต่เป็นการบรีดดิ้ง ทำให้เรามีพันธุกรรมไก่ที่หลากหลาย มีความโดดเด่นอยู่หลาย ๆ อย่างที่ไก่ต่างชาติไม่มี การทารุนสัตว์เป็นข้อหาที่โยนให้แต่ไก่ชนไทย ขณะที่ในโลกนี้มีหลายแห่ง หลายอย่างที่เข้าข่าย ตายอยู่ข้างถนน
ก็ไม่น่าจะเอามาตรของตัวเองไปใช้กับคนอื่น........เพราะมันเป็นการรังแกทางวัฒนธรรม |
||
|