ขุนพลไซง่อน : เจ้าของตำนานอึด  หนักหน่วง  และเหนียวแน่น

***************************************************************************************************************************************

          สายน้ำโขงที่ขึงตัวทอดยาวจากประเทศจีนตอนใต้  ไหลผ่านนานาประเทศแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ผู้คนหลายล้านชีวิตได้ยังชีพ  จนดินแดนแถบนี้กลายเป็นอู่อาระยะธรรมอีกแห่งหนึ่งของมวลมนุษยชาติ  ก่อให้เกิดวัฒนธรรมแห่งลุ่มน้ำโขงซึ่งเปรียบได้ดังโซ่ที่ร้อยดวงใจผู้คนถึงหกประเทศให้มีความผูกพันทางวิถีชีวิต  ตั้งอยู่บนรากฐานของความรัก  ความเข้าใจจึงได้ดำรงเผ่าพันธุ์อย่างปกติสุขสืบมาหลายศตวรรษ

     วัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงเป็นวัฒนธรรมที่มีรากเหง้าและเติบโตงอกงามมาจากสังคมเกษตรกรรม  ผู้คนจะปรับตัวอยู่กับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน  เป็นสังคมพึ่งพาระหว่างคนกับคน  คนกับสัตว์และคนกับธรรมชาติ  ดังนั้นการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์จึงเป็นวิถีชีวิตที่ผู้คนแห่งลุ่มน้ำโขงได้สืบสานมาจากบรรพชนโดยสายเลือด  การปลูกพืช  เช่น  ข้าว  พืชผัก ไม้ผลนอกจากเอาไว้บริโภคเองแล้วยังเป็นสินค้าส่งออก  การเลี้ยงสัตว์อาจเลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน เช่น  ช้าง  ม้า  วัว  ควาย  เลี้ยงเอาไว้เป็นอาหาร เช่น เป็ด  ไก่  ห่าน และเลี้ยงเอาไว้ดูเล่น เช่น  สุนัข  แมว  นกฯลฯ  สิ่งเหล่านี้จึงมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตไม่ว่าจะเป็น  การทำงาน  วิธีคิด  พิธีกรรม  ตลอดจนการละเล่นต่าง ๆ ของพวกเขาโดยตรง

    การเลี้ยงและการเล่นชนไก่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมเกษตรกรรมที่ผู้คนแถบลุ่มแม่น้ำโขงนิยมเลี้ยงและเล่นกันอย่างแพร่หลาย  ไก่ชนสายพันธุ์ที่นับว่าขึ้นชื่อและได้รับการยอมรับของผู้ที่ชมชอบการชนไก่อยู่ในขณะนี้ได้แก่  ไก่สายพันธุ์ไทย  ไก่สายพันธุ์พม่า  และไก่สายพันธุ์เวียดนามหรือที่รู้กันในนาม "ไก่ไซง่อน" (อีสานเรียกไก่คอล่อน) ซึ่งไก่ชนทั้งสามสายพันธุ์นี้มีจุดเด่น  และมีจุดด้อยต่างกันออกไปตามคุณลักษณะแต่ละชาติพรรณ

    ไก่ไซง่อนมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศเวียดนามผู้คนจึงนิยมเรียกว่า "ไซง่อน"  ตามชื่อเมืองหลวงของเวียดนามใต้ในอดีต  ลักษณะทั่วไปเป็นไก่พันธุ์หนักมีรูปร่างโต  สูงใหญ่  ผิวหนังย่นหนาแบบหนังคางคกและมีสีแดงจัด  หน้าตามีแววดุดันจนบางครั้งทำให้ดูน่ากลัว  ปากใหญ่ยาวและหนาทนทานเป็นเลิศ  ฉีกร่องน้ำ  เป็นไก่ที่ตีหนัก  ชอบตีบริเวณลำตัว  และซอกคอเป็นหลัก  ไก่สายพันธุ์นี้อาจมีการเข้าทำเชิงอาจน้อยไปบ้างเพราะเป็นไก่ขนาดใหญ่  มีมวลมาก  จึงทำให้การหลบหลีกไม่คล่องตัวเท่าที่ควร  ส่วนลักษณะที่เห็นชัดเจนที่สุดที่ใคร ๆ เห็นแล้วพอจะอนุมานได้ว่าไก่ตัวนั้นเป็นไก่ไซง่อนหรือไม่โดยสรุปก็คือ ไก่ไซง่อนส่วนมากแล้วจะมีขนปกคลุมร่างกายน้อย  โดยเฉพาะบริเวณลำคอไม่มีขนปกคลุมเอาเสียเลย  สามารถเห็นผิวหนังลำคอที่แดงจัดได้อย่างเปิดเผย ส่วนสีขนของไก่ไซง่อนนี้มีหลายเฉดสีแต่สีหลัก ๆ   คือ สีเทา  สีแดง  สีเขียว  สีด่าง  สีปีกแมลงสาบ  เป็นต้น  ไก่ไซง่อนส่วนมากจะมีเกล็ดเรียงเป็นระเบียบแบบจระเข้ขบฟ้น(อีสานเรียกเกล็ดสับหว่าง)ซึ่งนับว่าเป็นไก่ที่มักมีลำแข้งกลมและสวยในอุดมคติ

    การเลี้ยงไก่ไซง่อนต้องอาศัยเวลามากกว่าไก่สายพันธุ์อื่น  เนื่องจากไก่พันธุ์นี้ต้องการเวลาสร้างเนื้อสร้างตัวนาน  ถ้ายังเป็นหนุ่มจะไม่มีจิตใจชอบต่อสู้มากนัก  ต่อเมื่ออายุร่วม 24  เดือนแล้วจิตใจจึงจะเป็นยอดนักสู้อย่างเต็มตัว  มีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจธรรมชาติไก่สายพันธุ์นี้ดีพอ  และมีหลายครั้งที่ไก่สายพันธุ์นี้ถูกตั้งข้อหาว่าเป็นไก่ใจเสาะจนต้องถึงลงหม้อไปก่อนวัยอันสมควรอย่างน่าเสียดาย  แต่เมื่อนำมาผลิตเป็นไก่ลูกผสมก็จะทำให้ผลิตผลอย่างรวดเร็วลูกหลานสู้ไก่เร็วขึ้น

       ในเกมส์การต่อสู้แล้วไก่ไซง่อนมักจะตกเป็นรองคู่ต่อสู้ในเรื่องของเชิงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น  รถสิบล้อไม่อาจวิ่งโฉบเฉี่ยวโลดแล่นบนถนนเหมือนกับรถเก่งหรูทันสมัยฉันใด  ความเป็นไซง่อนนั้นถ้าเจอกับไก่ไทยหรือไก่พม่าแล้วย่อมเป็นเชิงรองอย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้(ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากเพราะน้ำหนักต่างพิกัด)  แต่หากมองในมิติของลำหักลำโค่นแล้วไก่ไซง่อนย่อมมีอานุภาพทำลายล้างสูงกว่า  ด้วยเหตุนี้นักพัฒนาสายพันธุ์จึงนิยมนำมาพัฒนาสายพันธุ์เพื่อดึงลักษณะภายนอกให้ปรากฏในรุ่นลูกหลาน  ให้เชิงเหมือนไก่ไทย  ตีนไวเหมือนไก่พม่า

        เมื่ออายุได้ที่  จิตใจจะส่อแววการต่อสู้ออกมา  ผิวหนังสีแดงจะย่นหนาเหมือนดังจะท้าทายลมฟ้าอากาศที่มิอาจสร้างความระคายเคืองหรือเจ็บปวดให้กับมันได้แม้แต่น้อย  หากพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬาแล้วจะเห็นว่าไก่ไซง่อนเป็นไก่ที่มีมวลมาก  มีกระดูกที่ใหญ่โตประกอบกับกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ที่แข็งแรงย่อมจะมีแรงปะทะมากเป็นธรรมดา  การเก็บพลังงานสะสมไว้กับเซลกล้ามเนื้อที่กำยำนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ประกันได้ว่าไก่สายพันธุ์นี้จะมีความอึด  เรื่องคู่ต่อสู้จะคว่ำลงนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย  หากชนกันในระยะยาว  ยืดเยื้อแบบหนังชีวิตแล้วนับว่าคู่ต่อสู้อยู่ในอันตรายเป็นอย่างยิ่ง  หากเปรียบเป็นรถแล้วไก่ไซง่อนเป็นรถที่มีถังน้ำมันใหญ่  และยังมีสำรองเอาไว้ในปริมาณมากย่อมวิ่งไปได้ไกลโดยไม่ต้องหยุดเติมน้ำมันข้างทางให้เสียเวลา  ดังนั้นความอึดจึงเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานมาให้กับไก่ไซง่อน  และความอึดนี้เองที่ทำให้ไก่สายพันธุ์นี้มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้นักเลี้ยงนักเล่นทั้งหลายอยากไขว่คว้ามาเป็นเจ้าของ

        การทำเชิงแบบสองปีกสองคอนั้นอาจหาไม่พบในไก่ไซง่อน  ส่วนมากเป็นไก่ยืนคล้องบนตี  หรือไม่ก็เป็นไก่ไม่ชอบสู้คอลายหัวให้คู่ต่อสู้  แต่ไก่ไซง่อนจะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่ถ้าเป็นไก่ปากไวแล้วมักไม่ทำให้ผู้เป็นเจ้าของผิดหวังเพราะลูกตีของไซง่อนนี้หนักหน่วงรุนแรงชนิดที่เรียกว่า"โป้งเดียวจอด"  ประกอบกับถ้าเป็นไก่แม่นและจำแผลแล้วมันจะสร้างความกดดันให้คู่ต่อสู้ได้มาก  เมื่อมีนาทีทองจะเดินบด  เดินอัดจนคู่ต่อสู้หัก  ขาตาย  จากนั้นลำโต ๆ สวย ๆ หนัก ๆ และเน้น ๆ จะเริ่มทะยอยออกมาทีละนิด ๆ จนถึงวาระสุดท้ายของคู่ต่อสู้

    ด้วยโครงสร้างทางสรีระที่จัดอยู่ในประเภทที่เรียกได้ว่า "อย่างหนา"  ซึ่งจะทำให้แรงตีที่เด็ดขาดและหนักหน่วงแล้วความเป็นอย่างหนาของไก่สายพันธุ์นี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ทนทานต่อการออกอาวุธจากคู่ต่อสู้  หากแม้นว่าคู่ต่อสู้นั้นสามารถตีให้ลงไปนอนกองกับพื้นมันก็จะสามารถฟื้นตัวคืนมาใหม่ได้และตีโต้ส่งคู่ต่อสู้ให้นอนได้อีกเช่นกัน  ความพยายามมุ่งมั่นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่เกินร้อยนี่เรียกว่าความเหนียวแน่น  นับเป็นอีกคุณลักษณะหนึ่งที่ผู้เลี้ยงไก่ต้องให้ความพิถีพิถันคัดสรรเป็นพิเศษ  เพราะการที่จะเป็นไก่ชนที่นับอยู่ในระดับแนวหน้าได้ต้องมีความเหนียวแน่นมาเป็นตัวประกอบที่สำคัญ และสิ่งนี้ก็มีบริบูรณ์แล้วในไก่ไซง่อน

        สายน้ำโขงที่สร้างสายสัมพันธุ์ของผู้คนหลากหลายชนชาติอย่างสง่างามและเปิดเผย  ขณะเดียวกันแม่น้ำสายนี้ก็เป็นถิ่นกำเนิดของไก่ชนไซง่อนซึ่งเป็นผู้สร้างตำนานไก่ชนอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ประกอบด้วยความอึด  เหนียวแน่นและหนักหน่วง  พร้อมที่จะคลายพิษสงให้คู่ต่อสู้ได้ชิมรสชาติของความเจ็บปวด  และตัวมันเองก็ได้ชื่อว่า "ผู้พิชิตความเจ็บปวด"เช่นกัน  ทั้งนี้เป็นข้อสรุปจากข้อมูลเชิงประจักษ์ของไก่ไซง่อนมาหลายยุค  ทั้งมุขปาฐะและอมุขปาฐะเล่าขานตำนานการต่อสู้จากข้างขอบสังเวียนเลือดสมควรที่จะจดจำและบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ของวงการไก่ชนให้ปรากฏความยิ่งใหญ่สืบไป

กลับไปหน้าหลัก