ไข้หวัดนก : ไก่ชนเป็นแพะ
ในช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างฤดูฝนกับฤดูหนาวที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงตามประสาคอไก่ชนด้วยกันในหลายท้องที่ ทั้งในเขตและนอกเขตจังหวัดขอนแก่น เพื่อถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบและหวังได้ชมผลงานการเพาะเลี้ยงไก่ชนที่หลายท่านได้ฟูมฟักมาเป็นแรมเดือนแรมปี ผมเห็นทุกที่มีไก่หนุ่มสะสมไว้มากมายทั้งซื้อหามาและลูกเพาะเอง ขณะนั้นผมไม่หนักใจในเรื่องการหาไก่ชนเล่นเลยเพราะต่างคนต่างมี ต่างคนต่างพัฒนาสายพันธุ์จนเข้าขั้น ชั้นเชิงหลากหลายซึ่งนับเป็นนิมิตรหมายที่ดีๆ แต่มีความกังวลลึก ๆ ที่สะสมมานานเกี่ยวกับกฎหมายที่คุมกำเนิดบ่อนไก่มากกว่า ผมเคยคุยแหย่เพื่อนฝูงหลายท่านว่าเพาะเอาไว้ทำไมตั้งมากมาย เดี๋ยวจะต้องได้จับชนกันเองในซุ้มเพราะสนามชนไก่ใกล้จะหมดไปในไม่ช้านี้แล้ว ประกอบกับขณะนั้นนโยบายของรัฐหลาย ๆ นโยบายที่กระทบต่อการเลี้ยงไก่เป็นต้นว่า ห้ามขายยาไก่ชน ปราบปรามผู้มีอิทธิพล เป็นต้น ทำให้การชนไก่ในต้นฤดูกาลนี้ไม่คึกคักเหมือนหลายปีที่ผ่านมา
ปลายฝนต้นหนาวนี้ผมนำไก่เข้าชนในสนามไม่ถึงห้าครั้งด้วยซ้ำไป ก็ได้ข่าวว่ามีโรคไก่เริ่มระบาดแถวภาคกลางตอนบน ด้วยความเป็นห่วงผมได้สอบถามเพื่อนฝูงทางภาคกลางหลายท่านก็ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นโรคอะไร ทั้ง ๆ ที่ให้วัคซีนครบทุกอย่าง โดยทุกคนตอบตรงกันว่าเหมือนโรคติดต่อกันได้ทางอากาศหายใจ ผมก็งงเป็นที่สุดผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นไข้หวัดนกเพราะโรคนี้เป็นอยู่ที่เวียดนามจึงไกลเกินกว่าจะคิดถึงได้ พร้อมกับภาครัฐได้ยืนยันเหลือเกินว่าเป็นแค่อหิวาต์ธรรมดา ความสบายใจก็ยังมีอยู่บ้าง แต่ก็คิดอยู่ว่าแล้วทำไมมันถึงแพร่ออกเป็นวงกว้างโดยไม่มียาแก้หรือจำกัดขอบเขตการแพร่ระบาดได้แต่อย่างใด จนวาระสุดท้ายรัฐก็ได้ยอมรับว่าเป็นไข้หวัดนกจริง ขณะที่การระบาดได้แผ่วงล้อมมาหายใจรดต้นคอของผมเสียแล้ว
หลังจากที่ทางการแพทย์ได้ยืนยันโรคที่เกิดในไก่ขณะนี้ว่าเป็นการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกแน่นอน ผมและเพื่อนฝูงอีกหลายคนได้เกิดความวิตกกังวลขึ้นมาทันที หลังจากชื่นชมที่รัฐได้ให้ความหวังที่จะให้มีสนามชนไก่ตามความต้องการของแต่ละท้องถิ่น และเชื้อก็รุกคืบมาเกือบครึ่งค่อนของพื้นที่ในที่สุดเขตอำเภอเมืองที่ผมเลี้ยงไก่อยู่ก็ถูกประกาศเป็นเขตพื้นที่สีแดง ต้องกำจัดเพียงอย่างเดียว ห้ามมีการเคลื่อนย้ายไก่โดยเด็ดขาด และจากสื่อต่าง ๆ ได้รายงานข่าวการติดเชื้อไข้หวัดนกของเพื่อนร่วมชาติได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง หลายคนเกิดความหวาดกลัวจนเกิดการกำจัดไก่กันอย่างแพร่หลาย ชนิดที่เรียกว่าถอนรากถอนโคน
ผมได้สอบถามข้อมูลไปที่ศูนย์ชัณสูตรโรคสัตว์ ที่ตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จึงได้ทราบว่า โรคได้รุกระบาดเข้าสู่หลายพื้นที่แล้วในจังหวัดขอนแก่น และเชื่อ้ตัวนี้....เป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่าพึ่งพบครั้งแรกในประเทศไทย ไก่เป็นแล้วต้องตายไม่มีทางรอดที่สำคัญโรคนี้สามารถติดต่อมายังคนได้ แต่จะยังไม่ติดระหว่างคนกับคน ความกังวลต่อไปก็คือ หากไวรัสตัวนี้เกิดพัฒนาตัวเองจนสามารถติดต่อระหว่างคนกับคนได้เมื่อไหร่ความหายนะก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้นดังนั้นทางการจึงให้กำจัดตัวที่เป็นพาหะคือสัตว์ปีกทุกชนิด
ผมสงสัยว่าเชื้อไข้หวัดนกตัวนี้หลุดเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร ได้รับคำตอบสั้น ๆ ว่ามากับนกเป็ดน้ำที่เมื่อถึงฤดูหนาวจะอพยพจากประเทศจีนแถว ๆ ไซบีเรียเข้ามาหากินในประเทศไทยเป็นตัวนำเชื้อเข้ามา ผมไม่เข้าใจคำตอบเพราะคนตอบก็ตอบง่ายเหลือเกิดตอบแบบไม่ต้องคิด เพราะนกเป็ดน้ำมันอพยพของมันอย่างเข้ามาทุกปีทำไมถึงหอบเอาเชื้อมาเฉพาะปีนี้ และต้นตอการเกิดโรคนั้นอยู่บริเวณภาคกลางก่อนที่จะแพร่กระจายไปที่อื่น ทำไมไม่เกิดที่ภาคอีสานก่อนเพราะนกเป็ดน้ำต้องบินมาถึงภาคนี้ก่อนจึงจะบินต่อไปยังภาคกลาง ที่บ้านผมมีหนองน้ำอยู่ใกล้ ๆ มีนกเป็ดน้ำมาเป็นประจำแต่แถวนี่ไม่มีการตายจากการติดเชื้อเลย แต่ตายเพราะถูกจับยัดกระสอบไปฝังทั้งเป็น ทั้งติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อก็โดนกำจัดเรียบด้วยข้อหาและวิธีการเดียวกันทั้งสิ้น และคำถามที่ไม่มีใครตอบผมตรง ๆ ได้ก็คือ ไข้หวัดนกทำไมไม่กำจัดนกกลับจับไก่ชนมาเป็นแพะ........
การแพร่เชื้อไข้หวัดนกครั้งนี้เกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอย่างแน่นอน อาจจะน้อยกว่าวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อต้นปี 2540 อยู่บ้าง แต่ในครั้งนั้นกระทบโดยตรงต่อคนรวยซึ่งถ้าหากล้มก็เป็นการล้มบนฟูก แต่วิกฤติไข้หวัดนกในครั้งนี้กลับมาส่งผลกระทบกับชาวบ้านในระดับรากหญ้าเป็นส่วนมาก เพราะไก่เป็นแหล่งโปรตีนที่ราคาถูกที่สุดของชาวบ้านที่แทบมองหาต้นทุนการผลิตไม่เจอ เพราะชาวบ้านเลี้ยงกันเอาไว้แบบตามมีตามเกิด และความนิยมของคนไทยซึ่งมีรสชาติที่อร่อยกว่าไก่เนื้อที่เป็นสายพันธุ์ที่นำมาจากต่างประเทศ พอเกิดไข้หวัดนกระบาดก็ไม่มีใครอยากกินไก่ที่เลี้ยงออกมาจากฟาร์ม แน่นอนที่สุดเจ้าของฟาร์มคือผู้เดือดร้อน เมื่อโรคนี้ได้ระบาดลุกลามไปถึงไก่ชาวบ้านรัฐก็ได้หาวิธีกำจัดโดยกางแผนที่ทางอากาศกางรัศมี 5 กิโลเมตร จับไก่ชาวบ้านในพื้นที่ยัดถุงไปฝังทั้งเป็น โดยไม่มีการรอพิสูจน์ว่าจะติดเชื้อหรือไม่ก็ตาม ทำอย่างนี้ชาวบ้านก็คงไม่เหลืออะไรที่จะกิน เพราะลำพังค่าครองชีพที่สูงขึ้นก็เป็นภาระให้แบกรับทุกวันจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ตื่นเช้ามาต้องเดินไปร้านค้าหรือตลาดเพื่อหาซื้อของมากิน เพราะไก่ที่ตนเองเลี้ยงไว้หมดเกลี้ยงไปแล้ว ที่เหลือก็คือ เนื้อ หมู ปลาซึ่งต้องอดทนซื้อไว้กินยังชีพทั้ง ๆ ที่มันแพงจนอยากหลับตาซื้อ คราวนี้ชาวบ้านที่ยากจนอยู่แล้วยิ่งจนลงไปอีก
จริง ๆ แล้วถ้ารัฐยอมรับความจริงตั้งแต่แรก มีการจัดการและวางแผนให้ดีกว่านี้เหตุการณ์ก็คงไม่บานปลายให้เกิดความเสียหายใหญ่โตและเป็นวงกว้างเช่นนี้ แม้จะสั่งระดมผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทั่วประเทศออกจำกัดวงของการแพร่ระบาดก็ย่อมเป็นสิ่งที่รัฐทำได้เพราะอำนาจมีอยู่ในมือ จัดหาสถานที่กักกันโรคสัตว์ ทำเขตปลอดสัตว์ปีกที่เป็นตัวนำเชื้อ การกำจัดในวงแคบทำได้ง่ายกว่าที่ต้องปล่อยให้มีการระบาดลุกลามใหญ่โต การกำจัดแบบเหวี่ยงแหก็เกิดการต่อต้านจากชาวบ้าน ตามที่ผมสำรวจความคิดเห็นจากชาวบ้านในหลายพื้นที่ถ้าไก่เขาติดเชื้อโดยได้รับพิสูจน์อย่างแน่ชัดแล้วเขาก็ไม่เสียดาย ยินดีที่จะให้กำจัด แต่ถ้าไก่เขาไม่เป็นอะไรแต่ถูกกำจัดเขาก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา ถ้ามีที่กักกันสัตว์ให้นำไก่ชาวบ้านไปรวมกันไว้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรคเขาก็ยินดีที่จะออกค่าใช้จ่าย สงวนพ่อ-แม่พันธุ์ที่ยังไม่ติดเชื้อเอาไว้เท่านี้ชาวบ้านเขาก็พอใจแล้วครับ ข้อเท็จจริงก็คือชาวบ้านเขาไม่ค่อยแฮปปี้นักกับเงินชดเชย 40 บาทแต่เจ้าของฟาร์มครับเป็นคนแฮปปี้เพราะมีคนมาจับไก่เหมาไปตัวละ 40 บาทแบบยกฟาร์ม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอที่จะนำมาเป็นบทเรียน ผมเข้าใจว่าไม่มีใครอยากให้เกิดและไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกในเวลาไหน ต้องอาศัยคนในชาติทุกคนครับช่วยกันเฝ้าระวัง บางทีถ้าไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้ก็อาจทำให้เราอ่อนแอไม่ยอมพัฒนา ต่อเมื่อเกิดขึ้นแล้วจึงจะได้ตระหนักไม่ประมาทก่อเกิดการคิดที่จะต้องปรับตัวให้กลมกลืนและพยามยามเอาชนะกับปัญหา ไม่ใช่ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ หรือบางคนทำก็ไม่ทำแม้แต่คิดก็ยังไม่คิด ให้ทุกฝ่ายตกลงและหาวิธีที่ดีที่สุด เสียหายน้อยที่สุดแม้วัวหายแล้วจึงล้อมคอกก็ตามเพื่อความปลอดภัยของวัวตัวต่อไป ถ้ามันเกิดหายขึ้นมาอีกก็จะอายชาวโลกเขาเปล่า ๆ ผมว่าน่าอายยิ่งกว่าไม่กล้าเอาวัคซีนไข้หวัดนกเข้ามาขายอีกนะครับ..........