ณ วันนี้ปัตตานีดารุสลาม


วานนั้น....วันนี้ ปัตตานีดารุสลาม
ปัตตานีที่รู้จัก
เสียงไวโอลินแว่วหวานผสานทำนองเพลงรองแง็งและเพลงพื้นเมืองอื่น ๆ หนุ่มสาวในชุดพื้นเมืองแบบมลายูเต้นรำโชว์ลีลามือเท้าอย่างสนุกสนาน ชุดชายหญิงบนเวทีสั้นละม้ายชุดบ่าวสาวชาวไทยมลายูยามเข้าพิธีวิวาห์ นี่อาจจะเป็นมุมหนึ่งที่มีผู้รำลึกถึงเมื่อเอ่ยนามปัตตานีออกมา บางคนก็อาจนึกไปถึงภาพตลาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้ชายนุ่งโสร่งสวมหมวกเรียกว่า ปิเยาะ ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะ มีผ้ากลุมศีรษะเรียกอิย้าป
หลายคนคงนึกถึงสถานที่ ที่แวดล้อมไปด้วยมัสยิดของชาวมุสลิม และอีกหลาย ๆ คน คงเคยได้ยินชื่อเทศกาลและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ของปัตตานี เป็นต้นว่า เทศกาลสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เทศกาลฮารีรายอ และเทศกาลตกปลาสายบุรี
ในบรรดาผู้ที่เผยแพร่ชื่อเสียงของปัตตานีให้สาธารณชนได้รู้จักคงต้องระลึกถึง "พนมเทียน" หรือนายฉัตรชัย วิเสษสุวรรณภูมิ ศิลปินแห่ชาติสาขาวรรณศิลป์ ผู้มีพื้นเพเป็นชาวปัตตานีที่ได้นำสถานที่หลายแห่งในปัตตานีไปอ้างเป็นฉากต่าง ๆในนวนิยายจนกลายมาเป็นละครโทรทัศน์ในที่สุด สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นค่ายอิงคยุทธบริหาร อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือมัสยิดกรือเซะ ล้วนปรากฎอยู่ในท้องเรื่องมัสยา โดยเฉพาะวังยะหริ่ง ฉากสำคัญของเรื่องนั้นเป็นบทบันทึกประวัติศาสตร์การแบ่งปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมือง สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประกอบด้วย ปัตตานี สายบุรี หนองจิก รามันห์ ยะลา ระแงะ และยะหริ่ง ปัจจุบันสายบุรี หนองจิก และยะหริ่ง เป็นอำเภอในจังหวัดปัตตานี ส่วนรามันห์อยู่ในจังหวัดยะลา และระแงะ คือจังหวัดนราธิวาส
เพลงประกอบละครเรื่องมัสยาซึ่งเป็นเพลงพื้นเมืองชื่อ อิตำมานิส นั้น บรรเลงโดยวงอรามาอัสลี ของศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้านไวโอลิน นามขาเดร์ แวเด็ง ซึ่งเป็นคนยะหริ่งนั่นเอง"อีตำมานิส"หมายถึงหญิงงาม ขำคม หากจะกล่าวว่าเป็นแบบฉบับความงามของหญิงสาวชาวปัตตานีก็คงไม่ผิดเพี้ยนนัก
ส่วนละครเรื่องกัลปังหา ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายของพนมเทียนอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็ถ่ายทอดความงามของหาดแฆแฆในท้องที่อำเภอปะนาเระออกมาได้อย่างสวยงามตรึงใจ นอกจากแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปเพียงไม่กี่แห่งนั้น น้อยคนนักจะรู้ว่าปัตตานีมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกหลายแห่ง น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้มีมนต์เสน่ห์ชวนให้ค้นหาได้ไม่รู้เบื่อเฉกเช่นหญิงสาวสะคราญผู้ซ่อนความงามไว้ใต้ผ้าคลุม
ณ ที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์อารยธรรมอันยาวนาน มีทะเลที่ตั้งเอื้อต่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ มีศิลปวัฒนธรรมหลากหลายและมีสังคมที่เรียบง่ายและสงบงาม สมชื่อเมืองสมัยหนึ่ง สืบต่อจากอาณาจักรลังกาสุกะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ชุมชนกรือเซะนาม"ปัตตานี ดารุสลาม " หมายถึง "นครแห่งสันติ"
เมืองพหุลักษณ์หลากภาษา
ถนนสายเก่าในย่านการค้าของเมืองปัตตานีเช่นที่ถนนฤาดีมีชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยเชื้อสายจีน ตั้งบ้านเรือนอยู่เคียงกัน ภาพชายผิวขาวตาชั้นเดียวผมสีดอกเลาส่งสำเนียงภาษามลายูท้องถิ่นสื่อสารกับชายผิวเข้มไว้หนวดเคราสวมหมวกปิเยาะอย่างไม่ขัดเขิน เป็นภาพธรรมดาสามัญยิ่งเช่นเดียวกับบรรยากาศยามสายที่ชายหาดรูสะมิแลพ่อค้าร้านอาหารในเมืองเจรจาซื้อกุ้งหอยปูปลา
ด้วยภาษามลายูท้องถิ่นได้ไม่ผิดเพี้ยน ชาวจีนเข้ามาตั้งรกรากยังเมืองปัตตานี มาแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วางรากฐานกิการการค้าจนรุ่งเรืองก่อกำเนิดตระกูลธุรกิจใหญ่หลายตระกูล หากจะสืบสาวกันไปอีกทีก็จะพบว่ามีชาวจีนติดสอยห้อยตามลิ้มกอเหนี่ยวมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สาวน้อยลิ้มกอเหนี่ยวรอนแรมข้ามน้ำทะเลมาจากมณฑลฮกเกี้ยน ของประเทศจีน เพื่อมาตามหาพี่ชายนามลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้ลี้ภัยบ้านเมืองมาเข้ารีตรับอิสลามตามคู่ตุนาหงันผู้เป็นเชื้อพระวงศ์รายา เมืองปัตตานี สาเหตุการสิ้นชีพของลิ้มกอเหนี่ยวมีหลายตำนาน เบื้องสุดท้ายขอชีวิตสองพี่น้องผู้กำเนิดจากร่มชายคาเดียวกัน ก็คือสู่แผ่นดินผืนเดียวกันสุสานลิ้มโต๊ะเคี่ยมสงบนิ่งอยู่ ณ กูโบร์บ้านตันหยงลูโละ ส่วนฮวงซุ้ยของลิ้มกอเหนี่ยวถูกกระแสน้ำท่วมกลบเห็นยอดอยู่ลิบ ๆ ที่บ้านตันหยงลูโละ นั่นเอง สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวแห่งใหม่ได้สร้างให้ผู้ศรัทธามากราบไหว้บูชาโดยสะดวก และอยู่ชิดติดกับมัสยิดกรือเซะที่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้สร้างไว้ กลายเป็นอนุสรณ์สถานตำนานรักแห่งสายเลือด ถ้าหากแวะเวียนไปเยี่ยมชาวบ้านกรือเซะก็อาจได้พบเชื้อสายเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวผิวพรรณขาวใสดวงตาชั้นเดียว ทว่าสวมหมวกปิเยาะ การผสมกลมกลืนของเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์มีอยู่เสมอมา แม้ไม่กลมกลืนโดยสายเลือดหรือจารีตศาสนา ก็กลมกลืนโดยภาษาที่ส่งอิทธิพลตกทอดถึงกันและกัน
ในงานแต่งงานของพี่น้องมุสลิมเชื้อสายมลายูมักจะไม่ขาดข้าวเหนียวสีสวยรับประทานกับ หน้าสังขยา ปลาผัดหรือมะพร้าวผัดที่เรียกว่า ซามา กลายเป็นสำนวนฮิตติดปากทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมไถ่ถามผู้ยังครองสถานภาพโสดว่า"เมื่อไหร่จะได้กินเหนียว"
นอกเหนื่อจากชาวจีนผู้ติดใจทำเลที่ตั้งซึ่งเหมาะต่อการค้าพาณิชย์แล้ว ชาวอาหรับ เปอร์เซียบ้าง บังคลาเทศบ้างก็หลงใหลในมนต์เสน่ห์เมืองปัตตานี เช่นกัน จึงพบเห็นร้านผ้าของชาวบังคลาเทศในย่านตลาดอยู่ไม่น้อย ส่วนชาวสยามจากอยุธยาส่วนหนึ่งก็มาตั้งรกรากสืบทอดทายาทอยู่ยังเมืองปัตตานีเช่นกัน นับเนื่องสู่ปัจจุบันก็ยังมีคนภาคอื่นเข้ามาทำมาหาเลี้ยงชีพยังปัตตานีบ้างมาทำประมงบ้างก็มาตั้งร้านรวงจังพบเห็นพ่อค้าข้าวมันไก่ชาวราชบุรี ในขณะที่บริเวณแหลมนกในเขตตำบลบานา อำเภอเมืองนั้น ก็เป็นที่ตั้งของชุมชนจากเพชรบุรีมาสร้างอาชีพ แปรรูปสัตว์ทะเล ตากหมึก ปลา ทำปลาเค็ม ปลาหวาน ออกจำหน่าย "ปัตตานี ช่างอุดมสมบูรณ์จริงหนอ" เมืองท่านานาชาติ
ใครจะนึกไปบ้างว่าเมืองเล็ก ๆ เมืองนี้จะเคยยิ่งใหญ่ถึงขั้นเป็นจุดนัดพบของเรือสินค้าจากโลกตะวันออกแลตะวันตก ขนาดที่ชาวต่างชาติอย่างโปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ จีน และญี่ปุ่นได้มาตั้งสถานีการค้าที่นี่ ทว่าหากพิจารณาสภาพภูมิศาสตรฺและศักยภาพการเป็นท่าเทียบเรือ ณ ปัจจุบันแล้ว ประวัติศาสตร์การเป็นเมืองท่านานาชาติก็ไมไ่ด้ห่างไกลจากความเป็นจริงเลย ทางตอนเหนือของน่านน้ำปัตตานีมีสันทรายยาวนับ 16 กิโลเมตรงอกเป็นแหลมออกมาทำให้ท้องทะเลแถบนั้นกลายเป็นอ่าวปัตตานี สันทรายที่ยื่นยาวนั้นเป็นแหล่งกำบังมรสุมให้แก่เรือสินค้าที่เข้ามาแวะพักได้เป็นอย่างดี สินค้าสำคัญของเมืองปัตตานีในอดีตได้แก่ ข้าว ดีบุก งาช้าง กำยาน ครั่ง เกลือ พริกไทยและสมุนไพรต่าง ๆ และรับถ่ายสินค้าประเภทเครื่องถ้วยชาม อาวุธดินปืน ดีบุกและแพรไหม
จวบปัจจุบันสมัยท่าเทียบเรือปัตตานียังคงเป็นท่าเทียบเรือขนาดใหญ่แห่งสุดท้ายทางฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง อยู่ใกล้แหล่งทำประมงในอ่าวไทยและแหล่งทำประมงต่างแดนอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จึงมีเรือประมงหมุนเวียนมาเทียบท่า นับกว่าสี่พันลำ ในปี 2541 มีปริมาณสัตว์น้ำขึ้นที่ท่าเรือปัตตานี 185,400 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4พัน ล้านบาทใกล้ท่าเทียบเรือนั้นเป็นเขตอุตสาหกรรมต่อเนี่องจากกิจการประมง ประกอบด้วยโรงงานแปรรูปผลิตภณฑ์อาหารโรงงานน้ำปลา ปลาป่น อาหารกระป๋อง และน้ำแข็ง ทำรายได้หลักให้แก่ปัตตานีอยู่ไม่น้อย
ทรัพยากรอันอุดมในอ่าวปัตตานีเกื้อหนุนให้ชุมชนรอบอ่าวของ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง หนองจิกและยะหริ่ง หาเลี้ยงปากท้องด้วยอาชีพประมงเป็นหลัก นอกจากนำเรือกอและและเรือกอและท้ายตัดเรียกว่า ปะตะกือระ ออกตะเวนหากุ้งหอยปูปลาแล้ว บางส่วนก็เพาะเลี้ยวสัตว์น้ำชายฝั่งเช่นปลากระพงขาว ปลาดุก กุ้งกุลาดำ หอยแครง และหอยแมลงภู่ บ้างก็แปรรูปผลิตภัณฑ์ประมงด้วยการทำปลาแห้ง ปลาเค็มกะปิ ข้าวเกรียบปลาและน้ำบูดู ในอ่าวปัตตานียังมีสาหร่ายทะเลนานาชนิดอาศัยอยู่ สาหร่ายที่ถือเป็นพืชเศรษฐกิจคือสาหร่ายผมนางลักษณะเป็นเส้นเล็กบางคล้ายเส้นผมมีสีน้ำตาลใสปลายเรียวแหลมนำมาประกอบอาหารเป็นยำสาหร่ายรสโอชา หรือแปรรูปเป็นวุ้น สาหร่ายผมนางดิบเป็นสินค้าทำเงินส่งออกยังมาเลเซียอีกด้วย
ปัตตานีมีแม่น้ำสองสายคือปัตตานีและยะหริ่งไหลออกทะเลทางอ่าวปัตตานีทางฝั่งตะวันออกที่มีแม่น้ำยะหริ่งไหลผ่าน เกิดการทับถมของดินตะกอนกลายเป็นป่าชายเลนยะหริ่งป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของอ่าวไทย ความสมบูรณ์ของสุนว์น้ำในอ่าวปัตตานีเป็นผลพวกมาจากป่าชายเลนยะหริ่งประกอบกัน เพราะป่าชายเลนเป็นแหล่งพิงพักและอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนที่สำคัญยิ่ง ทั้งยังเป็นแหล่งพักพิงของนกอพยพจากขั้วโลกเหนือนานาชนิด นอกจากนี้ป่าชายเลนแห่งนี้ยังเป็นต้นแบบของป่าชุมชนที่ผู้อยู่อาศัยในละแวกใกล้เคียงช่วยกันสอดส่องดูแลทรัพยากรล้ำค่า ไว้เป็นอย่างดีรวมไปถึงมีรูปแบบการจัดการป่าสัมปทานที่ดีเด่นจึงยังคงพบเห็นการทำประมงแบบพื้นบ้านดั้งเดิม แม้กระทั่งการจับกุ้งแชบ๊วยด้วยสองมือเปล่า

จากชายหาดสู่ขุนเขา
ที่มาของชื่อปัตตานีนั้นมีอยู่หลายตำนาน ตำนานหนึ่งกล่าวไว้ว่าชื่อปัตตานีมาจากปาตานี ปาตาเป็นภาษามลายูถิ่นแปลว่าหาดทราย ครั้งหนึ่งมีเจ้าเมืองเดินทางมาล่าสัตว์ป่าที่หลบหนีมาและได้มาเจอชายหาดแห่งหนึ่งจึงกล่าวว่าปาตานี หมายถึงชายหาดแห่งนี้ หากพิจารณาดูสภาพภูมิศาสตร์ของปัตตานีนับว่ามีส่วนเอื้อต่อตำนานนี้อยู่เพราะมีชายหาดที่ยาวนับ 116 กิโลเมตรมีหาดทรายสวยงามเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งในท้องที่ 6 อำเภอชายหาด ส่วนอีก 6 อำเภอที่เหลือรวมเรืยกว่าอำเภอแห่งชายเขาประกอบด้วยโคกโพธิ์ แม่ลาน ยะรัง มายอ กะพ้อ และทุ่งยางแดงยามว่างเว้นจากภารกิจแห่งวันชาวเมืองปัตตานีบางกลุ่มแวะเวียนไปชื่นชมพระอาทิตย์ตกดินที่ชายหาดรูสะมิแลชายหาดทะเลโคลน อันเป็นเอกลักษณ์ ของที่นี่ในบริเวณหมู่บ้านชาวประมง รูสะมิแลตั้งอยู่ที่ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองที่นี่มีดินเลนงอกใหม่อยู่เสมอเช่นเดียวกับผืนดินด้านหลังมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานีที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน มีป่าชายเลนที่สะสมดินตะกอนเกิดเป็นดินเลนแห่งใหม่ทุกปีว่ากันว่าสมัยที่ดินเลนแห่งนี้ยังมีสภาพเป็นทะเลโคลนมีนักศึกษามาทำกิจกรรมและพักผ่อน อยู่เสมอ ความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนทำให้มีปลาตีนจำนวนมากมาอยู่อาศับเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาคนหนึ่งแต่งเพลงชื่อหัวใจปลาตีน ขับร้องต่อๆ กันมานับเนื่องถึงปัจจุบัน ทั้งบทเพลงนี้ยังเป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงเพื่อชีวิตของนักร้องชื่อ ยิว อีกด้วย
ตามเส้นทางสองข้างถนนสายปัตตานี-นราธิวาส จะพบเห็นชาวบ้านยะหริ่งนำผลตาล น้ำตาลสด น้ำตาลแว่นมาวางขายเป็นของฝากพื้นเมืองเป็นเครื่องแสดงว่าชาวยะหริ่งปลูกตาลกันมากเช่นเดียวกับที่ปะนาเระ ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ติดกันนั้นก็มีชื่อเสียงเรื่องการทำน้ำตาลแว่นไม่แพ้กัน ส่วนสายบุรีและไม้แก่นนั้นมีบูดูขึ้นชื่อสะท้อนภูมิปัญญาฉบับชาวมลายูที่รู้จักถนอมอาหารด้วยการหมักปลาทั้งตัว จนแบคทีเรียในลำไส้ปลาย่อยสลายเนื้อและกระดูกจนเปื่อยยุ่ย กลายเป็นน้ำบูดูที่นำมาปรุงอาหารเป็นยำบูดูผสมด้วยเนื้อปลา หอม พริกและมะนาว หรือจะเคี่ยวกับน้ำตาลราดหน้าข้าวยำก็อร่อยไม่แพ้กัน ข้าวยำหรือนาซิกาบูเป็นเอกลักษณ์ของชาวปัตตานี หุงข้าวด้วยใบยอได้ข้าวสีน้ำตาลอมม่วงใส่เนื้อปลาคั่วป่นและผักต่าง ๆ รวมทั้งดอกกาหลาหรือดาหลา ไม้ประดับราคางามในเมืองกรุง ทว่าเป็นอาหารชูรสราคาเยาดอกละ 3 บาทยังเมืองชายแดน ตำรับข้าวที่ขึ้นชื่อทัดเทียมนาซิกาบูเห็นจะเป็นนาซิดาแฆ ข้าวมันที่หุงจากข้าวเหนียวผสมข้าวเจ้าโรยหน้าด้วยเมล็ดธัญพิชเรียกอาลูบอ รับประทานกับแกงไก่ แกงเนื้อ แกงปลา หรือแกงไข่ และปลาย่างตำคลุกมะพร้าวคั่วและน้ำตาลเรียกซามา ตำรับอาหารเกิดการยักย้ายถ่ายเทผสมผสานไม่ต่างจากวัฒนธรรมการใช้ภาษาจึงพบเห็นขนมหน้ากะทิสีเหลืองสดโรยหน้าด้วยหอมเจียว วางขายที่ตลาดแถวบาลำภู กรุงเทพมหานคร หากไส้ชนมด้านล่างปรุงด้วยข้าวเหนียวผสมข้าวสวยคล้ายนาซิดาแฆ คนบางกอกเรียกว่าขนมข้าวแขก
ทางอำเภอแห่งขุนเขานั้นเมืองยะรังนับว่าเป็นเมืองทีมีหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญยิ่งปรากฏซากเจดีย์และคูคันดินเป็นข้อพิสูจน์การเป็นศูนย์กลาง ของอาณาจักรลังกาสุกะ อิทธิพลของสายน้ำที่เปลี่ยนทางเดินทำให้ท้องทะเลถอยร่นเกิดเมืองใหม่ที่ชุมชนกรือเซะ เมืองยะรังในปัจจุบันจึงมีผืนดินเป็นดินตะกอนที่เกิดจาการพัดพาของสายน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ของอินทรียสารในดินตะกอนทำให้ยะรังเป็นแหล่งปลูกพืชไร่พืชสวนที่สำคัญของชาวปัตตานี ไม่ว่าจะเป็นลองกอง ทุเรียน เงาะมังคุด หรือส้มโอ บนเส้นทางสายหลักของอำเภอยะรังนั้นชาวบ้านสร้างเพิงขนาดย่อม วางส้มโอเรียงรายตลอดปี ส้มโอพันธุ์พื้นเมืองขึ้นชื่อคือ โวตี เปลือกหนาเนื้อในสีชมพูรสอมเปรี้ยวเป็นที่ชื่นชอบของชาวนะวันตกที่พัทยามาก
นอกจากที่ยะรังแหล่งโบราณคดีในจังหวัดปัตตานีกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่อีกหลายแห่ง เช่นแหล่งโบราณคดีบ้านปานันในอำเภอมายอพบเครื่องถ้วยจีนทั้งแบบเคลือบสีขาวและแบบลายครามร่วมสมัยอยุธยา เช้าวันใหม่แสงสวยสาดทอเยือนหาดทรายหลายแห่งได้สวยงามจับใจ ในขณะที่สายหมอกกลุ่มหนาก็อวดเส้นสายเหนือยอดเขาสันกาคีรี บริเวณอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว อำเภอโคกโพธิ๋ได้เย้ายวนอารมณ์ สรรพชีวิตออกทำมาหาเลี้ยงชีพตามความถนัดและการสืบทอดมา
แต่บรรพชน เด็กหนุ่มเรียนรู้ถักอวน ก่อนติดสอยห้อยตามบิดาออกไปเผชิญหน้ากับท้องทะเล ลูกหลานชาวสวนเรีนรรู้นิสัยพันธุ์ไม้แต่งกิ่งใส่ปุ๋ยหรือมายาตามรอยบุพพการี
รถสามล้อพ่วงหมุนล้อไปช้า ๆ ที่นั่งด้านข้างเป็นเก้าอี้หวายนั้นยังคงเอกบักษณ์ไม่เหมือนที่ใดๆ เด็กนักเรียนเบียดเสียดอวดรอยยิ้มใสบนหวายแข็งแรงนั้น บางคันเด็มไปด้วยพืชผัก หรือผลิตภัณฑ์จากท้องทะเลที่ขนมาจำหน่าย ยังตลาดเช้าเมืองปัตตานี สองแถวเล็กสีแดงสดวิ่งเวียนรับส่งผู้โดยสารไม่รู้เหนื่อย เรือประมงใหญ่เข้ามาเทียบท่าตะกร้าปลาส่งลำเลียงสู่ฝืนดินใบแล้วใบเล่าก่อนส่งเก็บในห้องเย็นเตรียมทยอยออกทั่วประเทศและต่างแดน ชีวิตปัตตานีวันนี้เรียบง่ายและสงบงาม .....ปัตตานีดารุสลาม


น้องตุ๊ (กันยารัตน์ พรหมวิเศษ)

นักศึกษาปริญญโท สาขาภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี


ขอบคุณเจ้าของเรื่องไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ


BY วรรณา เทลยูซัมธิ่ง


ติเพื่อก่อ-ชมเพื่อกำลังใจได้ที่ : gang-rockets@se-ed.net