ตำนานผีกองกอย
กองกอยเป็นชื่อผีป่าพวกหนึ่ง มีชื่อเสียงอยู่ทางภาคอีสานและทางฝั่งประเทศลาว ที่มีชื่อเช่นนี้เพราะ ว่ามันร้อง"กองกอย" แต่บางแห่งว่า เรียกตามลักษณะของมัน คือ มันมีตีนเดียวไปไหนก็เขย่งเกงกอยไป บางท่าน ก็ว่าผีกองกอยนั้น นอกจากมีเท้าข้างเดียวแล้ว ยังเท้าปุกอีกด้วย ตามนิทานภาษาลาวเรื่องผีกองกอย เขาว่าผีพวกนี้มี เท้ากลับ ไทยทางภาคพายัพเรียก ผีกองกอยว่าผีตองเหลือง ผีกองกอยของลาวนั้น มีเล่าอยู่สองเรื่อง... เรื่องหนึ่งเล่าว่า มีชายคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขา มีอาชีพในทางจับปลาในแม่น้ำเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับ หมู่บ้าน เช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาไปตรวจดูข่ายดักปลา ปรากฎว่าไม่มีปลาติดเลยสักตัวเดียว และเมื่อเขากลับบ้านในตอนเย็น เขาก็ยังไม่ได้ปลาอยู่เช่นเดิม ในวันรุ่งขึ้นก็เช่นกันอีก เขาไม่ได้ปลาสักตัว ทั้งนี้ทำให้เขาฉงนสนเท่ห์ใจมาก เขาได้ตรวจ ดูตามพื้นทรายในบริเวณนั้น อย่างละเอียด ก็พบรอยเท้าเล็กๆ ขนาดเท้าเด็กย่ำไปมา เขาเดินตามรอยเท้านั้นไป จนกระทั่ง ถึงถ้ำแห่งหนึ่ง เขาเดินไปในถ้ำก็พบหญิงร่างเล็กผมสีแดง เท้ากลับไปอยู่ข้างหลังผิดกับคนทั่วไป เขาแน่ใจว่าหญิงคนนั้น ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ แต่เป็นผีกองกอย เขาจึงขอร้องไม่ให้หล่อนกินเขา ผีกองกอยจึงให้เขาสัญญาว่า เขาจะต้องเชื่อฟัง หล่อน และเป็นสามีของหล่อน ถ้าเขายอมทำตาม ทรัพย์สมบัติต่างๆ ก็จะเป็นของเขา หน้าที่ที่จะต้องทำก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เฝ้าถ้ำในระหว่างที่หล่อนออกไปหากินข้างนอก เขายอมตอบตกลงตามคำของหล่อน เพราะเขาคิดว่า อย่างไรเสีย เขาก็คงหาโอกาสหนีไปได้ เขาอยู่กับผีกองกอยเป็นเวลาหลายวัน จนสังเกตได้ว่า ผีกองกอยมักพูดตรงข้ามกับความจริง เสมอ เช่น ถ้าหล่อนบอกว่า จะไปนาน หล่อนก็จะหลับมาเร็ว และเมื่อบอกว่าจะกลับมาเร็ว ก็หมายความว่าจะไปนาน เย็นวันหนึ่ง ผีกองกอยออกจากถ้ำและบอกเขาว่า จะออกไปข้างนอกซักครู่หนึ่งประเดี๋ยวก็กลับ เขา ก็คิดว่าจะต้องออกไปนานแน่ จึงคิดหนี ได้เก็บทองใส่ถุงหนีออกจากถ้ำไป หลังจากที่ชายหนุ้มหนีไปไม่นานนัก ผีกองกอยก็กลับมาและเมื่อเห็นว่าถ้ำว่างเปล่า ก็รีบติดตามชายหนุ่มไปทันที สักครู่หนึ่งก็ตามทัน เขาจึงแกล้งทำล้มลง เอาศรีษะซุกเข้าไปในโพลงดิน เมื่อผีกองกอยตามมาถึงก็ร้องบอกให้เขากลับ แต่ชายหนุ่มไม่ยอมขยับเขยื้อนเลย ในที่สุดผีกองกอยก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ พูดกับเขาอย่างอ่อนหวาน และสัญญากับเขาต่างๆ นานา แต่เขา ก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่ ผีกองกอยจึงเอามือจี้ไปที่ร่างของเขา ชายหนุ่งก็ทำตัวแข็งไม่ยอมกระดุกกระดิกตัวเช่นเดิม ขณะ นั้นผีกองกอยได้กลิ่นตุๆ ลอย ขึ้นมาจากร่างของชายหนุ่ม ผีกองกอยได้กลิ่นก็คิดว่าตายแล้ว นางมีความเสียใจมาก ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เป็นเวลานาน แล้วจึงจัดการฝังศพของชายหนุ่ม เอาถุงทองวางไว้ข้างๆ ตัวด้วย เสร็จแล้วก็ กลับไป ชายหนุ่มทนอึดอัดอยู่จนถึงเวลาค่ำ จึงได้ลุกขึ้นเดินกลับบ้านไป เขาได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังหลายคน และมีอยู่คนหนึ่งเป็นคนขี้อิจฉา คิดจะทำอย่างเขาบ้าง เขาได้ทำตามชายหนุ่มคนแรกทุกอย่าง เริ่มด้วยการเอาข่ายไป ดักปลา แล้วได้เดินตามรอยเท้าไปจนถึงถ้ำผีกองกอย และได้เป็นผัวนางกองกอย มีหน้าที่เฝ้าสมบัติ ต่อมาได้ขนเงิน ทองหนีออกจากถ้ำ แต่ไม่นานนักผีกองกอยก็ไล่ตาม และโดยที่เขาเป็นคนโลภขนเงินขนทอง มาหลายถุงจึงทำให้หนัก วิ่งไม่สะดวก เมื่อเห็นผีกองกอยวิ่งไล่กระชั้นชิดเข้ามาก็จำเป็นต้องโยนทิ้งเสียบ้าง เมื่อวิ่งไปถึงไร่ มันก็ทรุดตัวลง แล้วเอาศีรษะซุกเข้าไปในหลุม แกล้งทำเป็นหมดความรู้สึกเช่นเดียวกับที่คนแรกได้เคยทำมาแล้ว ผีกองกอยเข้ามาถึง ก็พูดเช่นเดียวกันกับที่เคยพูดกับชายคนแรก และเมื่อเห็นเขาไม่เคลื่อนไหว ผีกองกอยก็เอานิ้วจี้ ชายคนนี้เป็นคนบ้าจี้ พอถูกจี้เข้าก็หัวเราะออกมา ผีกองกอยก็พลอยหัวเราะไปด้วย และได้ร้องออกมาว่า "กองกอย กองกอย" แล้วก็กิน ตับไตไส้พุงของชายโลภคนนี้จนหมด นิทานลาวเรื่องนี้ได้ความรู้เรื่องผีกองกอยว่าร้อง "กองกอย" มีเท้ากลับกินของคาวสด มีทรัพย์สมบัติมาก รูปร่างคล้ายคนแต่ตัวเล็ก มีนิทานลาวเรื่องผีกองกอยอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า...มีชายคนหนึ่ง ไปดักปลาแต่ไม่เคยได้ปลาเลยจึงตรวจ ดูตามบริเวณนั้น ก็พบร้อยเท้าเล็กๆ ขนาดไม่เกินสามนิ้ว (แสดงว่า เท้าปุก) เขาก็แน่ใจว่าจะต้องเป็นผู้ที่มาขโมยปลาไป ได้แอบเฝ้าดูอยู่เกือบสว่าง จึงได้ยินเสียงคนเดินมาค่อยๆ เขาได้เห็นผีกองกอยมายืนอยู่ริมตลิ่ง เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมยาวเหมือนแม่มด ผีกองกอยไม่ได้นุ่งผ้า ตัวเปล่าเปลือย เมื่อเขาเห็นผีกองกอยจะเข้าไปลักปลา เขาก็วิ่งเข้าไปจับ แต่ก็จับไม่อยู่เพราะผีกองกอยมีแรงมากกว่า ในที่สุดเขาเองกลับถูกจับไปและถูกบังคับให้เป็นผัว ทุกครั้งที่ผีกองกอย ออกไปหากิน มันจะเอาหินขนาดใหญ่มีน้ำหนักหลายตันปิดปากถ้ำไว้อย่างหนาแน่น ชายหนุ่มอยู่ กับผีกองกอยปีหนึ่ง ก็มีลูกด้วยกันคนหนึ่ง ชายหนุ่มมีหน้าที่คอยเลี้ยงลูกในตอนที่ผีกองกอยไม่อยู่ เขาต้องทนอยู่เป็นเช่นนี้ เป็นเวลาถึงสามปี และแล้ววันหนึ่ง ลูกชายของเขาก็พยายามผลักหินปิดปากถ้ำนั้นออกได้ ซึ่งผู้เป็นพ่อเองกลับผลักไม่ไหว ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ ลูกได้รับกำลัง และอำนาจมาจากผีกองกอยนั่นเอง ชายหนุ่มไม่รอช้า เขารีบวิ่งหนีออกจากถ้ำทันที เมื่อผีกองกอย ตามทัน เขาก็แกล้งทำเป็นตาย อย่างชายหนุ่มในเรื่องแรก ผีกองกอยก็เอามือจี้สีข้าง แต่เขาทนได้และได้ปล่อยลมเสียออกมา ผีกอง กอยได้กลิ่นตุๆ ก็นึกว่าตายจริง ก็เอาฆ้องใบหนึ่งวางไว้ข้างๆ ตัวแล้วพูดว่า "ถ้าเธอต้องการอะไร ก็ให้ตีฆ้องนี้ขึ้น" พอผี กองกอยไปแล้ว ชายหนุ่มก็กลับไปบ้าน เมื่อเขาต้องการเงินทองก็ตีฆ้องขึ้นก็ได้ดังปรารถนา จากนิทานเรื่องที่สองนี้ ได้ความเพิ่มเติมขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า ผีกองกอยเปลีอยกายไม่นุ่งผ้า และมีลูก กับคนได้.. เรื่องผีกองกอย ในสมัยก่อนเชื่อกันมาก มักพูดคุยเล่าสู่กันฟังเสมอ พระยาราชเสนาได้เล่าว่า เมื่อ พ.ศ ๒๔๖๐ ได้ไปตรวจ ป่าเร่วและต้นอบเชยที่จังหวัดชัยภูมิ ได้ไปพักแรมที่ภูเขาเขียว คืนหนึ่งเวลาราว ๒๑ นาฬิกา หลับกันหมดแล้ว คงเหลือ แต่พระยาราชเสนากับนายด้วงปลัดอำเภอยังนอนคุยกันอยู่ และราษฎรที่สมัครไปด้วยอีก คนหนึ่งอายุกลางคน ชื่อ ตาโข้ ประพฤติตนเป็นผู้ใหญ่ยังไม่นอน แกนั่งจักไม้สานตะกร้าสำหรับใส่ของป่าที่จะหาได้ และคอยซนไฟที่ก่อไว้มิให้ดับ พระยาราชเสนากับนายด้วงได้ยินเสียงอะไรดัง จ๊อก จ๊อก ระยะห่างๆ เสียงนั้นเหมือน เสียงคนจุ๊ปาก หรือเสียงจิ้งจก แต่ดังกว่ามากแล้วเสียงใกล้เข้ามา และมีเสียงใบไม้ดังสวบตามเสียง "จ๊อก" ด้วยทุก จังหวะ คือดัง "จ๊อกสวบจ๊อกสวบ" เป็นคู่กันดังนี้เรื่อยมา เหมือนหนึ่งตัวที่ร้องนั้นกระโดดบนกิ่งใบไม้ตามเสียงที่ร้อง นั้นทุกครั้ง พระยาราชเสนาถามนายด้วง นายด้วงบอกว่าไม่รู้จัก เพิ่งได้ยินเสียงเดี๋ยวนี้เอง พระยาราชเสนาก็เตรียม ปืนพร้อม นายด้วงก็ตามคอยดูว่า เมื่อเห็นตัวถนัดก็จะลั่นไกให้ได้ตัวมาดูให้รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรแน่ จนกระทั่ง เสียงนั้น เข้ามาถึงต้นไม้ในบริเวณที่พวกพระยาราชเสนาพัก พอสังเกตเสียงได้ว่าอยู่ที่ต้นใด มีแสงไฟมากองอยู่เรืองๆ พอเห็น ต้นไม้ได้ถนัด แต่เจ้าของเสียงมันอยู่บนต้นไม้ มืดแลไม่เห็นตัวมัน ใจพระยาราชเสนาผู้หันปากกระบอกปืนไปทางต้นนั้น แล้วรู้สึกกระหยิ่มว่า ถ้ามันลงมาต่ำๆ คงได้เห็นอะไรแปลกๆ เป็นแน่ แต่ผิดหวังเพราะตาโข้อุตริออกเสียงเรียกชื่อคนขึ้น แล้วเจ้าเสียงประหลาดก็ดัง "จ๊อก" บนต้นไม้ที่เราปองนั้นอีกครั้งเดียว และมีเสียงเหมือนลมพัดแรงๆ ลู่ใบไม้ต้นนั้นและ ต้นถัดไป ดังซู่เป็นเสียงยาว ประมาณ ๕ วินาที แล้วก็เงียบเลย พระยาราชเสนาเข้าใจว่ามันไปเสียแล้วจึงถามตาโข้ว่า แก เรียกใคร ตาโข้บอกว่าเรียกชื่ออ้ายอะไรจำไม่ได้ ซึ่งตายไปนาน ไม่ทราบว่ากี่สิบปีแล้ว ว่าเป็นชื่อที่ผีชนิดนี้กลัวมาก แกจึง ออกชื่อให้อ้ายตัวที่แกว่าผีนั้นได้ยินเพื่อให้หนีไปเสีย พระยาราชเสนารีบถามตาโข้ อีกว่าผีอะไร ที่ไหน แกจึงบอกว่า อ้ายที่ มันร้องจ๊อก จ๊อก นั่นแหละ ผีกองกอย มีตีนเดียว ใครพบรอยที่ไหนก็รอยตีนข้างเดียว เหมือนกันทุกแห่ง รอยตีนมันเท่า รอยเท้าเด็กเล็กๆ และผีอย่างนี้มันแปลงตัวให้เล็กเท่าลูกลิงก็ได้ เมื่อมันเห็นคนเดินทาง ในดงนอนหลับแล้ว มันลงมาหา ของกิน ถ้าไม่ได้กินเลือดคนเพราะเขายังไม่ถึงที่ตาย มันก็ขโมยเขียดหรืออึ่ง (อึ่งยาง) ที่เขาจับใส่หม้อขังไว้เป็นอาหารดัง กล่าว ทั้งนี้คนที่ไปด้วยหลายคนรับรองคำตาโข้ว่า ได้เคยเห็นรอยเท้ามันและเคยถูกขโมยเขียด ตกลงในครั้งนั้น พระยาราช เสนา ก็ไม่ได้เห็นผีกองกอยตัวจริงเลย !