ตำนานแวมไพร์


	
		
		ชาวโลกได้รู้จักกับความร้ายกาจและอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวในอาจักรความสยดสยองของผีดูดเลือดหรืออมนุษย์
		ผู้ไม่มีวันตาย และพยายามจะสร้างอาณาจักรผีดิบคือ "เคาน์แดร็คคิวลา" เรื่องราวของผีดิบดูดเลือดออกอาละวาด 
		ดูดเลือดจากลำคอของเหยื่อที่เป็นสตรี เพื่อต่อชีวิตตัวเอง และถ่ายทอดพันธุกรรมทางเลือด ให้เหยื่อกลายเป็นผี
		ดิบดูดเลือดตามไปนั้น เป็นเรื่องจริงที่มีหลักฐานการบันทึกไว้จากรัฐบาลของ ยูโกสลาเวียที่ยังเก็บรักษาไว้ที่กรุง
		เบลเกรดจนปัจจุบัน จาเรื่องราวอันเป็นความเชื่อถือของชาวคาเพเธียน อันอยู่ในดินแดนแห่งความเร้นลับด้วยมนต์
		ดำและคาวเลือด..

		ความเชื่อของชาวยุโรปตะวันออก เรื่องผีดูดเลือดหรืออมนุษย์

	  	อย่างแรกก็คือ ผีดิบจะมีชีวิตเมื่อลำแสงอาทิตย์สุดท้ายลับหายไปจากโลกนั่นหมายถึงความมืดแห่งรัตติกาลเข้าปก
		คลุมโลกนั่นเอง..
	  	อย่างที่สองก็คือ ผีดิบจะซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดิน อันอับทึบปราศจากแสงแดดหรือในโลงศพอันปิดมิดชิดในตอน
		กลางวันเพราะแสงแดดเป็นอันตรายต่อร่างกายของมัน..
	  	อย่างที่สาม ผีดิบคือร่างที่ไร้วิญญาณของผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตและเลือดเนื้อเหมือนคนธรรมดา แต่เมื่อความตาย
		มาถึงแล้วกลับไม่ตาย แม้ร่างกายจะหยุดทำงานทุกระบบ แต่กลับมีชีวิตอยู่ในตอนกลางคืนด้วยเลือดสดๆ จากเหยื่อ
		ที่มันดูดออกมาเป็นอาหาร..
	  	อย่างที่สี่ เมื่อเหยื่อถูกดูดเลือดแล้ว เชื้อผีดิบจะผ่านไปทางนํ้าลายของผีดูดเลือดเข้าไปในร่างกายของเหยื่อ ทำให้
		เหยื่อเกิดเป็นผีดิบดูดเลือดออกอาละวาด ดูดเลือดเหยื่อต่อไปเป็นโรคระบาด หากไม่มีการปราบปรามก็จะขยายกว้าง
		ออกไปอย่างไม่จำกัด..
	  	อย่างที่ห้า ผีดิบดูดเลือดในตอนกลางคืนก็จะเหมือนคนธรรมดาสังเกตไม่ได้เลยว่าเป็นผีดิบดูดเลือด นอกจากจะจับ
		ชีพจรหรือสังเกตลมหายใจที่ไม่เหมือนกับคนธรรมดา..
	  	อย่างที่หก ผีดิบดูดเลือดจะไม่ปรากฎเงา ไม่ว่าจะในกระจกหรือในนํ้าใส และจะเกลียดกระจกเป็นที่สุด เพราะเป็นจุด
		อ่อนที่จะเผยตัวเองว่าเป็นผีดิบ..
	  	อย่างที่เจ็ด ผีดิบกลัวสัญลักษณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้า และพระบุตรคือไม้กางเขน เกลียดกลิ่นกระเทียมสดและผวากับ
		กระเทียมแห้งที่มัดรวมกันเป็นพวง..
	  	อย่างที่แปด การจะกำจัดผีดิบดูดเลือดต้องกระทำในเวลากลางวันเท่านั้น โดยการค้นหาให้พบที่ซ่อนของผีดูดเลือด
		แล้วนำร่างออกมากลางแดด แดดจะทำลายร่างกายให้กลายเป็นผงธุลีหายไปจากโลกนี้..
	  	ข้อสุดท้ายคือ หากไม่สามารถจะนำร่างของผีดิบดูดเลือดออกมาได้ ให้ทำลายด้วยการนำไม่เสี้ยมให้แหลม ตอกลงไป
		ให้ทะลุหัวใจและเอามีดคมๆ ตัดศรีษะให้ขาดออกจากหัวเพื่อป้องกันการกับมาเข้าร่างอีก..
	
    			ในบันทึกของรัฐบาลยูโกสลาเวียนั้นได้บันทึกไว้ว่า มีใบร้องเรียนมายังกรุงเบลเกรด ให้จัดส่ง
		คณะกรรมการไปจัดการกับผีดิบดูดเลือดที่ออกอาละวาดอยู่ในหมู่บ้านในเขตป่าดำ ( ป่าดำ อยู่ในแถบเทือก
		เขาสูง ในโรมาเนีย มัยฃนซุกซุมไปด้วยหมาป่าและสัตว์ร้าย ) ทางรัฐบาลตอบรับโดยจัดตั้งคณะกรรมการชุด
		หนึ่งขึ้น เมื่อไปถึงก็ได้นำเอาผู้ที่ร้องเรียนมาสอบปากคำได้การว่า ผีดิบที่อาละวาดเป็นชาวบ้านธรรมดา ได้ถึง
		แก่กรรมลงไปโดยสาเหตุธรรมดา ศพถูกนำไปฝังแต่แล้วก็มีคนพบว่าเขาออกเดินเพ่นพ่านในตอนกลางคืน 
		เขาดูดเลือดหลานชายและหลานสาวไปสามคน และยังได้ดูดเลือดพี่ชายของเขาแท้ๆ เป็นศพที่สี่..เหยื่อรายที่ห้า
		คือหลานสาวคนเล็กของเขา แต่เด็กโชคดีที่ผู้ไปพบและขัดขวางเสียก่อน ผีดิบรายนั้นจึงหลบหายไป ชาวบ้าน
		ไม่กล้าจะออกล่า ได้แต่ระมัดระวังตัวเองและครอบครัว และได้ร้องเรียนมายังกรุงเบลเกรด เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่
		มาปราบปราม จากนั้นคณะกรรมการก็ได้ให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่นำทางไปยังหลุมฝังศพของชายผู้นั้นในตอน
		กลางคืน ชาวบ้านถือคบไฟนำทหารไปเป็นพรวน เมื่อไปถึงป่าช้าที่ฝังศพแล้วก็ขุดเอาโลงศพขึ้นมา...

	    		ปรากฎว่าดินที่ฝังศพนั้นมีลักษณะอ่อนนุ่ม และไม่แน่นหนาคล้ายกับว่าได้มีการขุดขึ้นมาแล้วของ
		ศพ แล้วก็กลับลงไป ในที่สุดโลงศพก็ถูกยกขึ้นมาจากหลุม เจ้าหน้าที่จึงกรูกันเข้าไปเปิดฝาโลง ศพที่นอนอยู่
		ภายในน่าจะขึ้นอืดหรือเน่าเปื่อยกลับมีสภาพเหมือนคนทั่วไปกำลังนอนหลับ มีเลือดฝาด ทั้งที่ชาวบ้านยืนยันว่า
		เขาตายมาแล้วสามปีแล้วไม่มีลมหายใจ แต่ที่ทำให้ทุกคนขนลุกเกลียวคือ หัวใจของเขายังเต้นอยู่เป็นปกติ หลัง
		จากนั้นได้ทำการชันสูตรพลิกศพและทำการบันทึก แล้วนำเอาไม่ปลายแหลมมาจ่อที่ตรงทรวงอกด้านซ้ายตรงกับ
		หัวใจ...ศพนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งเพขฌฆาตทำหน้าที่นำเอาค้อนไม้ อัดลงไปบนด้ามไม้ปลายแหลมทำให้ไม่ทิ่มทะลวง
		ลงไปจนมิด เสียงร้องดังกึกก้องขึ้นจากปากของผีดิบดูดเลือด ของเหลวสีขาวข้นเหมือนครีมทะลักออกมาก่อน
		ตามด้วยเลือดสดๆ สีแดงฉาน ศรีษะศพถูกตัดออกจากตัว ร่างที่ไร้วิญญาณก็ตายลงอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ขยาย
		หลุมให้กว้างขึ้น แล้วนำปูนขาวโรยเพื่อป้องกันเชื้อโรค และนำศพลงไปฝังอีกครั้ง...ทั้งหมดนี้ คือการบันทึกของ
		รัฐบาลยูโกสลาเวีย