เรื่อง ตำนานมัมมี่


	 
		อียิปต์โบราณ.. มีความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย โดยเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง 
		วิญญาณของคนตาย จะสามารถกลับคืนสู่ร่างเดิมได้ แนวคิดนี้คล้ายๆ กับการกลับชาติมาเกิดของ
		ทางตะวันออก เพียงแต่การเกิดใหม่ของชาวตะวันออก คือเกิดในร่างใหม่ ความทรงจำใหม่ ไม่
		เหมือนกับการเกิดใหม่ของชาวอียิปต์ 

    			สำหรับชาวอียิปต์โบราณคิดว่า เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นมา จะมี คา (Ka) ติดตามออกมาด้วย 
		คา จะเป็นอะไรบางอย่างที่คอยพิทักษ์ปกป้องจิตวิญญาณ ใครก็ตามที่สูญเสีย คา ไปต้องตายอย่าง
		แน่นอน นั่นรวมถึงการสูญเสีย คา ไป เนื่องจากความตายทางธรรมชาติอีกด้วย ทว่า คาจะไม่สูญหาย
		ไปไหน เพียงแต่ไปท่องเที่ยวที่โลกแห่งความตาย รอเวลาที่จะกลับมาสู่ร่างเดิมในอนาคต..   คา (Ka) 
		คือวิญญาณอันอมตะที่แฝงอยู่ในกายจริง เมื่อกายจริงดับ หรือตาย คาก็จะออกจากกายจริงทันที 
		และคงรูปเหมือนกับกายจริงทุกประการ แต่จะมีลักษณะโปร่งใส มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ด้วยเหตุนี้
		ชาวไอยคุปต์บางกลุ่มจึงเกล่าว่า คา เป็นกายทิพย์ที่แยกออกจากกายจริง และเป็นพลังงานชีวิต
		 (Lifeforce) อีกด้วย 
    			
			กล่าวให้เข้าใจง่ายกว่านี้ คา (Ka) ก็เปรียบเหมือนวิญญาณนั่นเอง จะมีทั้งวิญญาณดี 
		และวิญญาณชั่วร้าย หากใครคนใดคนหนึ่งตายไป วิญญาณของเขาจะออกจากร่างเพื่อไปยังโลกแห่ง
		ความตาย ร่างกายของผู้ตายอาจจะเน่าเปื่อย รวมทั้งโดนสิงสู่โดยวิญญาณอื่น ที่ไม่พึงประสงค์ได้ 
		ชาวอียิปต์จึงคิดค้นวิธีที่จะรักษาสภาพศพผู้ตาย ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุด เพื่อรอการกลับมา
		ของวิญญาณเจ้าของร่างที่แท้จริง วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการทำ มัมมี่

    			คำว่ามัมมี่.. ไม่ใช่ภาษาอียิปต์แท้ๆ แต่มาจากคำว่า มัมมิยะ (Mumiyah) ซึ่งเป็นภาษาของ
		ชาวอาหรับ แปลว่า "Body preserved by wax or bitumen" เรื่องของเรื่องเกิดจากความเข้าใจ
		ผิดของ พ่อค้าชาวอาหรับในสมัยศตวรรษที่ ๑๒ พวกเขาคิดว่าการรักษาสภาพศพของชาวอียิปต์นั้น 
		จำเป็นต้องใช้บีทูมีนเป็นส่วนประกอบสำคัญ จึงพากันเรียกศพแห้งกรังพวกนั้นว่า มัมมี่ อันมาจากคำว่า 
		มัมมี่ยะ ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกบีทูมีนในภาษาอาหรับนั่นเอง 
    			
			บีทูมีน คือแร่ธาตุชนิดหนึ่ง สีน้ำตาลเข้มๆ ออกไปทางดำคล้ายน้ำมันดิบ คนโบราณมักนิยม
		เอามาอุดรอยรั่วบนหลังคา อุดรอยรั่วของเรือ ก่ออิฐ รวมทั้งนำเข้ามาใช้ในกระบวนการทำมัมมี่ในภายหลัง 
		การทำมัมมี่นั้นจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักบวชโดยเฉพาะ ค่าใช้จ่ายก็ค่อนข้างสูงจนนอกจากฟาโรห์แล้ว 
		มีแต่ขุนนางและคนรวย จึงจะมีสิทธิ นอกจากมัมมี่ที่เป็นมนุษย์แล้ว ยังมีมัมมี่สัตว์เลี้ยงที่เจ้าของโปรดปราน 
		รวมไปถึงมัมมี่ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ เช่น วัว แมว และ นกกระสาไอบิส อีกด้วย ขั้นตอนในการทำมัมมี่จริงๆ นั้น 
		จะมีพิธีกรรมทางศาสนามาประกอบด้วย 
   			
			หลังจากมีคนตายลง และญาติโยมตกลงปลงใจที่จะทำมัมมี่เก็บเอาไว้ ศพจะถูกลำเลียงมาไว้
		ยังเตียงชำแหละ ผู้เชี่ยวชาญจะเอาสมองออกก่อน แล้วเอาสมองออกโดยใช้ตะขอเกี่ยวออกผ่านทางโพรงจมูก 
		จากนั้นจะเอาน้ำมันดินที่ต้มเดือด กรอกเข้าไปแทนที่ พอน้ำมันเย็นลงหัวของศพก็จะแข็งได้ที่ สำหรับตาทั้ง
		สองข้างจะควักออกแล้วใช้ลูกแก้วใส่ลงไปแทน 

    			ในส่วนของร่างกาย ผู้เชี่ยวชาญจะใช้  มีดหิน (Sharp stone) กรีดข้างลำตัว ลากเอาเครื่อง
		ในทั้งหมดออกมา เหลือหัวใจและไตเอาไว้ เครื่องในของคนตายจะถูกล้างทำความสะอาดอย่างดีด้วย ไวน์ที่ทำ
		จากปาล์ม (Palm Wine) ลำตัวที่กลวงจะถูกแทนที่ด้วยน้ำมันดินต้มเดือดอีกเช่นกัน รอยกรีดจะถุกเย็บอย่าง
		เรียบร้อย ทำความสะอาด แล้วนำไปดองในน้ำเนตรอน (Netron = Native Sodium Carbornate) เปลี่ยนน้ำ
		และเนตรอนใหม่ ทุกๆ สองหรือสามวันดองทิ้งไว้ประมาณ ๗๐ วัน ศพจะแห้งสนิท เหลือแต่หนังหุ้มกระดุก
		สีน้ำตาลดำ เส้นผมนั้นยังคงสภาพเดิม แต่ถูกสีกัดอ่อนไปเล็กน้อย หากเป็นชายจะตัดให้สั้น ถ้าเป็นหญิงจะปล่อย
		ไว้ดังเดิม จากนั้นจะเอาผ้าลินินสีขาวซึ่งตัดเตรียมไว้เป็นแถบยาวๆ ลักษณะเหมือนผ้าพันแผล นำมาชุบเรซิ่นเสีย
		ก่อนให้แข็ง เสร็จแล้วจึงนำมาพันศพ