เรื่อง คืนรับน้องใหม่
.....ชีวิตการศึกษาระดับอุดมศึกษา ในมหาวิทยาลัยนั้น เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการสู้และดำเนินชิวิตที่ถูกต้องในสังคมทีเดียว มันมีทั้งสุขและทุกข์ สมหวัง และไม่สมหวัง ยามทุกข์คือ สอบตก ทำหน่วยกิตไม่ครบตามระเบียบหลักการศึกษาที่วางไว้ หรือทุกข์อีตอนดูหนังสือสอบ ส่วนสุขนั้นก็คงจะได้แก่ สอบผ่านได้รับปริญญาเป็นเกียรติแก่ตัวเองและวงศ์ตระกูล นั่นแหละแต่อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ต่าง ๆ นานาที่เกิดมาไม่เคยพบพานก็จะหลั่งไหลมาทดสอบธาตุแท้ ของผู้ที่เข้าสู่ภาย ในรั้วมหาวิทยาลัย ประสบการณ์สอนให้ทำตัวได้ทั้งดีและเลวก็ต้องใช้ดุลพินิจวิจารณญาณเลือกเอามาปฏิบัติ ให้มันสมกับคำว่า ปัญญาชน แต่สิ่งทุกคนต้องเคยผ่านมาแล้วในระบบการศึกษานี้ก็คือการรับน้องใหม่ ซึ่งเป็นประเพณีที่กระทำสืบกันมา มีทั้งแบบ ชนิดเบา ๆ หรือหนัก ๆ ตามแต่วิทยาลัยนั้น และรุ่นพี่จะปฏิบัติ .....ผมเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้กับเขาคนหนึ่งดีอดดีใจแทบเป็นบ้าเป็นหลัง ต่อไปนี้จะขัดสีฉวีวรรณรับสังคมใหม่ ระดับ ปัญญาชนซะด้วย พอเข้าไปรายงานตัวก็ถูกเพ่งเล็งจากพวกรุ่นพี่ที่กิน อุดมคติจอมปลอมอันไร้แก่นสาร คงกะจะแกล้ง ผมเต็มที่ใน ตอนรับน้องใหม่ เพราะท่าทางของผมมันออกจะซ่าส์จนหยดสุดท้ายเหมือนกัน อาทิตย์เดียวเท่านั้น ผมและนักศึกษาใหม่กว่า 300 คนก็ตกอยู่ในแดนสนธยา ถูกรุ่นพี่ทั้งลายครามและรุ่นพี่ที่ยกย่องตัวเองทั้ง ๆ ที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ขอบ ปากเกณฑ์พวกรุ่นน้อง ไปต่างจังหวัด เพื่อทำการรับน้องใหม่หรือพูดง่าย ๆ "พิธีซ่อม" กลั่นแกล้งรุ่นน้องตามความพอใจของตนเองตามประเพณี อันดีงาม ตั้งแต่โบราณกาล นับแต่ตั้งมหาวิทยาลัยมาทีเดียว .....เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศลักษณะวิชาสถานที่และความศักดิ์สิทธ์ของปริญญาพวกรุ่น้องถูก "เกณฑ์" ให้ขึ้นรถออกจากพระนคร มุ่งตรงไปยังจังหวัดที่มีความเก่าแก่ในประวัติและเต็มไปด้วยโบราณสถานวัตถุมากมายอันเป็นพยานหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความเจริญ รุ่งเรืองางอารยธรรมวัฒนธรรมของชาติมาแต่โบราณ และรุ่นพี่ก็บังคับให้พักอยู่รวมกันในวังโบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งลานกว้างของวังเก่าแห่งนี้จะเป็นสถานที่ "ซ่อม" รับน้องใหม่ในคืนวันนี้... ....ผมเองกลัวสถานที่ที่วังเวง เงียบสงัด กลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย หมู่พระที่นั่งและท้องพระโรงเก่าแก่ตั้งทะมึน ในความมืดที่เริ่มโรยตัวมาปกคลุมดูคล้ายกับเป็นภูติผีปีศาจหรือยักษ์ปักหลั่นยืนทะมืนจังก้า ต้นไม้ยืนต้นที่ปลูกรายรอบบริเวณก็สั่นกราว คืนนี้เป็นจันทร์ข้างแรกผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไม่ยอมออกจากหมู่ก้อนเมฆ ความมืดจึงได้เปรียบ ผมนั่งตัวสั่นงันงกอยู่ในกลุ่ม ของน้อง ผู้น่าสงสาร ผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับผมอีกเป็นร้อยคน หูแว่วคล้ายเสียงคนเดินไปมาสับสนและตาฝาดไปหรือเปล่าก็ไม่รู้เห็นคนเดินผ่านไปมาตรงลานกว้าง ระหว่างท้องพระโรงกับพระที่นั่งสององค์เห็นเงาวูบวาบและ..อะไรนั่นขณะนี้เวลาโพล้เพล้เข้าไต้เข้า ไฟพวกรุ่นน้องที่นั่งอยู่ที่นอกชานบ้างขั้นบันไดบ้าง กระสับกระส่ายหน้า ตาไม่มีความสุข หวาดระแวงกลัวทั้งรุ่นพี่และกลัวสถานที่ไปพร้อมกัน ส่วนรุ่นพี่ผู้ได้เปรียบถือไพ่ตายในมือจับกลุ่มร่าเริงหวดสุรายาดอง กันให้เอิกเกริก มันเป็นประเพณีอีกนั่นแหละ .....ผมนั่งเกือบปลายแถวมีเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั่งถัดไปอีก 2 คน ตาของผมมองไปโดยบังเอิญที่มุมตึกพระที่นั่งซึ่งหัก เป็นข้อศอกมีนอกชานพาดตามลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาโบราณ ทันใดนั้นม่านตาของผมก็เบิกกว้างด้วยความสงสัยระคนตกใจกลัว เพราะผมเห็นร่างของใครก็ไม่รู้ประมาณ 3-4 คน ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นทั้งหมด แต่งตัวเหมือนคนไทยโบราณ สตรีในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือก่อนหน้านั้น คือนุ่งผ้าโจงกระเบนลายดอก เสื้อแขนพองยาวจรดข้อศอก ห่มสไบเฉียงผ้าสีอ่อน ผมสยายยาวใบหน้าขาวเสีย จนผิดปกติร่างทั้งหมดแลดูคล้าย ไม่มีน้ำ หนักเบาหวิวจนจะลอยจากพื้น .....ผมสะกิดเพื่อนน้องใหม่ทันทีแต่อ้าว! เพื่อนกำลังก้มหน้าก้มตาร้องไห้กระซิก ๆ คงไม่รับรู้อะไรหรอก ตกลงตัวเองเลยตาค้าง อ้าปากค้างเพราะความฉงนสนเทห์ใจและความกลัวแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ พอดีกับรุ่นพี่ชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซเพราะฤทธิ์สุรา ผ่านมาที่แถวของน้องใหม่ ผมจึงโพล่งออกไปอย่างไม่ทันยั้งคิดว่า ... ..พี่ครับ..น้องใหม่ 3-4 คน ยืนอยู่มุมตึกโน่น ทำไมพี่ไม่เรียกมาเข้าแถวรอขึ้นเขียงเหมือนอย่างพวกผมล่ะครับ แต่งตัวก็แปลก เดาะใส่ชุดไทยโบราณซะด้วยห่มสไบเฉียง โจงกระเบนนั่นยืนอยู่นั่นไง อ้าว ! หายไปไหนล่ะกว่า พวกผมแต่งชุดขาว สวมไทด์ผู้หญิงชุดนักศึกษา แต่สามที่คนนี้แต่งชุดไทย ใครกันกว่า รึจะเป็นเจ้าที่มา ปรากฏตัว ถ้าเป็นเจ้าที่จริงๆ พี่จะซ้อมรับ น้องใหม่เค้ามั้ยครับ ผมอยากรู้..ฮิ ฮิ .....ไอ้ปากเสีย ซ่าส์นักรึมึงน่ะ เดี๋ยวพวกกูจะซ้อมมึงให้คลานนอนหยอดน้ำข้าวต้มเลย เตรียมตัวไว้ให้ดี นี่มึงโอหังไม่เคารพรุ่นพี่ อวดตีสำนวนตีฝีปากแถมตีเสมอรุ่นพี่เรอะดีแล้วมึงจะได้รู้ดี รู้ชั่วคืนนี้แหละวะ.. .....ผมหน้าชาไปทั้งแถบปวดแสบปวดร้อนไปทั้งหน้า ฮึ้ม ถ้าข้ามีปืนในกระเป๋าจะไม่ปล่อยให้เอ็งยืนตะคอกอยู่อย่างนี้หรอก ถือว่า เป็นรุ่นพี่ข่มเหงกีนอย่างนี้ทีใครทีมันวะ วันพระไม่มีหนเดียว ฝากไว้ก่อนเถอะมึง เพื่อนร่วมรุ่นทุกคนหันมามองผมด้วยสายตาสงสาร เห็นอกเห็นใจ แต่คงช่วยอะไรไม่ได้ ก็ถูกตบหน้าฟรี ฉลองความศักดิ์สิทธิ์ของประเพณีต้อนรับน้องใหม่ ไปน่ะซี 2 ทุ่มตรง วินาทีโหดร้ายทารุณเริ่มขึ้น รุ่นพี่ทุกชั้นปี นั่งฝั่งตรงข้ามตะโกนสั่งรุ่นน้องให้ทำอะไรต่อมีอะไร ผิดวิสัยเกินความสามารถ คล้ายกันคนบ้าไปก็มี ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจ ของรุ่นพี่ชายและหญิงซึ่งสามารถกลั่นแกล้งรุ่นน้องให้ทำในสิ่งที่คนดี ๆ เขาไม่ทำกัน พวกเรากลายเป็นตัวตลกขันไม่ออก มีแต่เสียงร้องไห้ สบถสาบานด่าทอรุ่นพี่ด้วยความเจ็บใจ แค้นใจ อย่างเหลือประมาณ ....รุ่นพี่หญิงกลายเป็นแร่ด กรี๊ดกร๊าดตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายภาษาตลาด เมื่อเห็นรุ่นน้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรืออิด ๆ เอื้อน ๆ ไม่ทำตาม ส่วนรุ่นพี่ผู้ชายซึ่งเมามายแทบไม่มีสติก็ตีหน้ายักษ์ตะโกนดังเสียงแสบแก้วหู ด่ารุ่นน้องชนิดจะกินเลือดกินเนื้อ ดูแล้วสังเวชนี่หรือปัญญาชนที่ สังคมยกย่อง รุ่นน้องผู้หญิงบางคนก็เจอคำสั่งที่เกิดมาไม่เคยนึกว่าจะได้ยิน ทำตาไม่ได้ก็ร้อง ห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร น่าสงสารเสียที่สุด จนมาถึงวาระที่รุ่นพี่ที่ตบหน้ามาตะโกนเรียกผม ออกมา "ซ่อม" เดียว เพื่อความ ครึกครื้นในหมู่คนป่าเถื่อนและเพื่อแก้แค้น ที่ผมบังอาจฉีกหน้าแกเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา ..."เฮ้ย มึงนั่นแหละออกมาจากแถวเดี๋ยวนี้ ซ่าส์นักปากเสียดูหมิ่นเจ้าที่เจ้าทางของวังเก่า รณหาที่ตาย เห็นมึงชอบร้องรำทำเพลงใช่มั่ยล่ะ มานี่มึงแหงนหน้าดูขื่อหลังคานี่ซิ หลังคาท้องพระโรงนี่แหละ มึงปีนขึ้นไปบนขื่อเดี่ยวนี้ ปีนเสาขึ้นไปพอถึงขื่อแล้วมึงต้องยืนเต้นระบำบัลเล่ต์ร้องเพลงไปด้วย แล้วลงท้ายมึงต้องเป็นค้างคาวรู้จักมั้ยไอ้เวร ห้อยหัวลงมา เอาตีนเกี่ยวขื่อนะ เร็ว ๆ ทำตามคำสั่งกูเดียวนี้" ขัดขืนไม่ได้เสียแล้ว รุ่นพี่ทาสสุรามายืนออกันที่โคนเสา ผมเลยเอาหลังมือปาดน้ำตาแล้วค่อย ๆ ออกแรงเอามือทั้งสองข้างเหนี่ยวจับเสาดันตัวเอง ขึ้นไปอย่างลำบากยากเย็น เหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตาย วิงเวียนศีรษะใจวาบหวิวเหมือนจะเป็นลม ผมกัดฟันกรอดๆ แข็งใจกระเถิบตัวเองขึ้นไปบนเสาทีละน้อย ๆ ท่ามกลางเสียงเฮฮาฟังไม่ได้ศัพท์ของรุ่นพี่ที่สะใจที่แกล้งผม ..ตาผมลายแทบหมดแรงร่วงลงมาจากเสาหลายต่อหลายครั้ง รู้สึกว่าหลังคาสูงเหลือเกิน คงไปไม่ไหวตกลงไปคอหักตายแน่ ๆ แต่กลัวจะเจ็บตัวเพราะพวกรุ่นพี่จึงต้องกัดฟันดันร่างตัวเองขึ้นไป จนในที่สุดผมก็เกือบถึงขื่อของหลังคาแล้ว เงยหน้าขึ้นไป อีกสักประมาณ 1 ศอก เท่านั้น แหละผมก็ถึงขื่อ ซึ่งบริเวณนั้นมือ มีแสงไฟจากข้างล่างส่องลอดขึ้นมาสลัว ๆ พอมองเห็นอะไรได้ราง ๆ เท่านั้นเอง ...โอ๊ย! คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด ผมร้องออกมาจนสุดเสียง มีใครไม่รู้นั่งอยู่บนขื่อที่ทอดขวางทางยาว ตลอดความยาวของหลังคาและรูปทรงของสถาปัตยกรรม คน ๆ นั้นนั่งอยู่ก่อนแล้ว พอผมเงยหน้าขึ้นไปก็พบเข้าจังหน้าชนิดใกล้ชิด ห่างกันไม่ถึงสองศอก ร่าง ๆ นั้นนั่งห้อยเท้าทั้ง 2 ข้างอยู่บนมุมขื่อ ซึ่งเป็นรูปสามเหลี่ยม ทำให้ผมตกใจแทบช็อคแทบขาดใจตาย ด้วยความกลัวในทันที เพราะเห็นหน้าคน ๆ นั้นอย่างถนัด มีรูปร่างน่ากลัวเป็นที่สุด หัวโตผิดขนาดเกินธรรมดา โตกว่าร่างกาย เกือบสามเท่า ขนาดของศีรษะ ใหญ่เกือบเท่าตุ่มหรือโอ่งมังกรหรือกระพ้อมที่เขาเอาไว้ใส่ข้าวเปลือก เมื่อหัวโตผิดขนาด ปกติขนาดนั้นทำให้ไม่ได้สัดส่วนสมดุล หัวจึงส่ายไปมา รอบด้านเหมือนลูกโป่งคนเป่าจนใบโตผูกด้วยสายหนังสติ๊กยางที่ขั้วแล้วจับปล่อยไว้บนมือทีเดียว และใบหน้าของมัน น่าเกลียดน่ากลัว เป็นอย่างยิ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นกระเซิง หยาบเหมือนกาบมะพร้าวหน้าผากยุบลงไปเป็นร่องจนสยดสยองใจ ดวงตาพองโต แดงกล่ำแทบจะหลุด ออกมานอกเบ้า จมูกไม่มี มีแต่เพียงสันจมูกและรูจมูก ทั้งสองปราศจากเนื้อและดั้งจมูก มีเลือกไหลปริ่ม ๆ บริเวณจมูก โหนกแก้มโปนปากแสยะ อ้าสุดหล้า มีฟันซีกโต ๆ สีดำสนิทปรากฏในปาก เขี้ยวที่มุมปากแหลมขาววับ และที่ผมแทบ ช็อคไปในทันทีก็คือ ลิ้นของคน ๆ นั้น แลบพุ่งออกมาจากปากใหญ่แบะที่น่าขยะแขยงนั้น ลิ้นมีสีแดงจัดมันพุ่งออกมาจากปากยากเรื่อย ๆ ยาวลงมาจรดบ่า และยาวยืดลงต่ำจนถึงบริเวณทรวงอกอยู่แล้ว..พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบแห้งชวนให้ สยดสยองใจดังออกมาจาก ปากของมัน ...ผีหลอก ไม่ใช่คนแน่ ใครเขาจะขึ้นไปนั่งเล่นบนขื่อยามวิกาล นึกจะร้องให้คนช่วยก็ร้องไม่ออกเสียงมาติดอยู่ตรงคอหอยนี่เอง ตัวสั่นเท่าชักกระตุกเกือบทั้งร่าง ผมยังพอมีสติอยู่บ้าง หูจึงได้ยินเสียงตวาดอย่างหยาบคายของรุ่นพี่ตัวแสบซึ่งตะโกนขึ้นมาจากข้างล่าง .."เฮ้ย ปีนต่อซิโว้ย หยุดอยู่ทำไม ใครใช้ให้เอ็งหยุด ไปต่อให้ได้แล้วเต้นบัลเล่ต์กับเอาหัวห้อยลงมา ตามคำสั่งกูเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวเถอะมึง ลงมาโดนอัด" ..ผมหมดความอดทนทุกอย่างทั้งเรี่ยวแรง เลยตะโกนลงมาข้างล่างอย่างสุดเสียง ไม่กลัวใครอีกแล้วทั้งนั้น " กูไม่ปีนแล้ว ช่วยด้วย แน่จริงมึงขึ้นมากับกูบนนี้ซิวะ ขึ้นมาเร็ว ๆ จะได้เห็นกับตา กูกำลังจะตายอยู่แล้ว ช่วยด้วย " จะไม่ได้ผมด่ารุ่นพี่ได้อย่างไร เพราะไอ้ตัวนั้น ซึ่งไม่ใส่เสื้อเปลือยท่อนบนเห็นขนดกรุ่งรังทั้งตัว และนุ่งผ่าหยักรั้งคล้ายสนับเพลากางเกงขาสั้นแบบถกเขมรสีแดง แจ๊ดมันทำปาฏิหาริย์ ยื่นมือทั้งสองข้างของมัน ออกมาข้างหน้า คล้ายว่าจะช่วยดึงหรือจับตัวผมให้ขึ้นไปนั่งบนขื่อกับมันนั่นแหละ แขนสองข้างของมันเล็ก เหี่ยวแห้งมีแต่กระดูก ตะปุ่มตะป่ำ ไม่มีเนื้อหนังมังสาสีดำ สนิทกลิ่นสาบาสงเหม็น ๆ แห้ง ๆ พลุ่งออกมาจากแขนและร่างของมันปะทะจมูกผมจนแทบสำลัก แขนมันยาวยื่นออกมาข้างล่าง 2 ศอกแล้ว และมือก็ถึงหน้าผมพอดี! ผมก็ทำอาการหลับกลางอากาศ สติสัมปชัญญะดับวูบลงในพริบตา นั้นหมดเรี่ยวแรงมือเท้าอ่อนเปลี้ยเลยเสียการทรงตัว หล่นลงมาจากเสาสูงเกือบ 5 เมตร แต่ชะตาผมยังไม่ถึงฆาต ร่างหล่นลงมาในกลุ่มของเก้าอีไม้ชำรุดซึ่งวางกองอยู่ที่ด้านหนึ่งของพื้น สลบคาทีร่างเต็มไปด้วยแผลรวมทั้งศีรษะซึ่งแตกเพราะกระแทกเก้าอี้ถึง 6 แผล พิธีซ่อมรับน้องใหม่ชะงักในทันที ทุกคนทั้งพี่น้อง พอหายจากตกตะลึงก็พากันเข้ามาที่ร่างผมและปฐมพยาบาลเป็นการใหญ่ แต่อาการผมไม่ดีขึ้นปวดเมื่อยขัดยอก ไปทั้งตัว และเลือดจากบาดแผลก็ไหลไม่หยุด ลงท้ายรุ่นพี่เลยต้องนำผมส่งโรงพยาบาลในตัวจังหวัดกลางดึกคืนนั้นเอง ...สาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่มีใครทราบแม้แต่คนเดียว ผมซึ่งรู้แก่ใจปิดปากเงียบไม่บอกใคร รุ่นพี่เลยเหมาไปว่าผม เหนื่อย ตรากตรำกับการถูกซ่อม โดยรุ่นพี่เมาหนักเลยหมดแรงเป็นลมตกลงมาเอง สมน้ำหน้า ผมกล้ำกลืนความโกรธและ อาฆาตไว้ในใจ พร้อมสำนึกในความผิดที่ไม่ควรให้อภัยของตนเพราะกล่าววาจาไม่เคารพสถานที่ ดูถูกดูหมิ่นเจ้าที่เจ้าทาง ผู้คุ้มครองพระราชวังโบราณ แม้จะไม่ได้เจตนา แต่มันก็ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น เพราะเจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวรมีจริง ..และพอกันทีกับประเพณีต้อนรับน้องใหม่ที่เกือบจะพรากชีวิตของผมไปจากโลกนี้เสียแล้วผมจะจำคืนวันรับน้องใหม่ คืนนี้ไว้จนตาย ปีหน้าเมื่อผมสอบผ่านชั้นปีที่ 1 ได้ผมจะไม่ยอกมาร่วมพิธีนี้อีกเลยเพราะละอายอดสูใจและผมก็ไม่เคย ไปปรากฏตัวในงานรับน้อง ใหม่ของนานา มหาวิทยาลัยมาตราบเท่าทุกวันนี้...