เรื่อง สยองขวัญเมื่อครั้งเป็นนักศึกษา
ชีวิตสมัยเป็นนักศึกษาปีแรกนั้นมันช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกหลากหลายมีทั้งความสุขสนุกสนาน ทุกข์เศร้าเคล้าน้ำตา เหงาหงอยและตื่นเต้น !!!โดยเฉพาะชีวิตนักศึกษาที่ต้องอยู่ประรจำหอพักในมหาวิทยาลัยหรือ เรียกสั้น ๆ ว่าเด็กหอนั้นอย่าให้บอกเลยว่ามันส์ขนาดไหนสถาบันที่เป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ข้าพเจ้าโดยการ ใช้ชีวิตเป็นเวลา4 ปีเต็ม ๆ นั้นตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ฯเท่าใดนัก ระยะทางในราวประมาณ 50กว่ากิโลเมตร นั่งรถบัสจากสถานีขนส่งสายใต้ก็ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษถ้าขับรถส่วนตัวไปเองก็คงจะไม่เกิน 1ชั่วโมงเพื่อ บรรลุถึงเป้าหมายในชีวิตของความเป็นนักศึกษา นั่นก็คือการรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของ พระบาทสมด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อสำเร็จการศึกษาในขั้นปริญญาตรีแล้วนั่นเอง แน่นอน !! สิ่งหนึ่งซึ่งสถาบันระดับอุดมศึกษาจะขาดเสียมิได้ นั่นก็คือพิธีรับน้องใหม่ ถ้าจะพูดไปแล้วมหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าร่ำเรียนนั้นก็มีชื่อเสียงพอสมควรไม่แพ้สถาบันแห่งอื่น ๆ ในเรื่องพิธีที่ว่านี้ มันเป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจและประทับใจจนตายก็ว่าได้ เพราะชีวิตนี้คงจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นตามปกติทั่วไปสถาบันต่าง ๆ เขาก็จะมีพิธี รับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยแต่เมื่อมาอยู่ประจำหอพักก็จะมีเพิ่มขึ้นมาอีก 1 พิธี นั่นก็คือ รับน้องหอ และเจ้าพิธีที่ว่านี้แหละที่ได้คาดคั้นเอาน้ำตาหลายต่อหลายหยดออกมาจากเบ้าตาของนักศึกษาปีที่ 1 มาก็หลายต่อหลายคนแล้วคืนแรกของการเป็นนักศึกษาประจำหอพักมันช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร นับตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในรั้วของมหาวิทยาลัยตึกเรียนเป็นหลังสักประมาณ 2 3 อาคารเรียน ห้องสมุด ห้องอาหาร ห้องธุรการ ห้องพักอาจารย์ผู้สอนหรือแม้กระทั่งหอพักบางส่วนที่อาศัยอยู่ชั้นบนของอาคารเรียนอันรวม อยู่ในบริเวณเรียนแห่งนั้นอาจารย์ที่กำลังสอนหนังสือ นักศึกษารุ่นพี่ที่เดินขวักไขว่ไปมาในบริเวณนั้น ทุกคนต่างมองมายังน้องใหม่อย่างเราด้วยอากัปกิริยาต่างกันหลายรูปแบบบ้างก็เชื้อเชิญยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บ้างก็ทำเฉยเมยบ้างก็วางก้ามว่าข้านี่แหละรุ่นพี่อย่าแหยมนะ มิหนำซ้ำบางคนก็ทำหน้าตาดุ ๆใส่น้องใหม่เพื่อ เป็นการตัดไม้ข่มนามแต่เนิ่น ๆนั่นเองน้องใหม่ทุกคนไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ถึงขะตากรรมของตัวเองว่า คืนนี้เราจะถูกปฏิบัติการจากรุ่นพี่อย่างไรบ้างในระยะสองสามคืนแรกพวกรุ่นพี่ยังคงปล่อยให้รุ่นน้องปี1 ตายใจก่อน โดยยังไม่เริ่มปฏิบัติการแต่อย่างใดเพียงแต่ให้พวกรุ่นน้องทุกคนได้ม่เวลาทำความรู้จักคุ้นเคยกัน เสียก่อนฉะนั้นน้องใหม่ทุกคนก็ยังเย็นใจว่าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรเกิดขึ้นและสิ่งหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ นักศึกษามักจะมารวมตัวกันที่ห้องโถงนั่งเล่นเพื่อดูโทรทัศน์ซึ่งจะอยู่ตรงกลางระหว่างปีกอาคาร 2 ปีกที่แยกออกไปเป็นห้องพักของนักศึกษาหญิงในแต่ละชั้น กิจวัตรประจำของพวกเราเด็กใหม่ปี 1ก็คือเข้าก็แต่งตัวไปเรียนหนังสือโดยการถีบพาหนะคู่ใจอันได้แก่ รถจักรยานบ้างก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ บางคนก็ใช้วิธีเดินหอพักหญิงสองอาคารนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างจากอาคารเรียน พอควรซึ่งถ้าจะรวมอาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็นับได้ว่ามีอาณาเขตกว้างขวางพอสมควร ทั้งนี้เพราะว่าเป็นเขตพระราชฐานเก่าแก่เมื่อครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดแนวทางเดินสองข้างทางจะปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลายต้นอันนำมาซึ่งความร่มรื่น แก่ผู้ใช้ทางเดินสัญจรไปมา ในสมัยแรก ๆ จึงยังมีอาคารเรียนเพียง 2 3อาคารเท่านั้น หอพักหญิงก็มีจำนวนน้อย ประมาณ 2 อาคารเช่นกันถ้าต้องการเดินไปอาคารเรียนพวกเรามักจะนิยมเดินเลาะไปตามถนนใหญ่เรื่อย ๆ มาจนถึงบริเวณที่เป็นสระน้ำกว้างใหญ่ซึ่งปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ นานา ทางลัดที่ใช้กันก็คือสะพานข้ามเชื่อมโยงระหว่างบริเวณอาคารเรียนติดต่อกับทางเดินไปยังหอพัก ระยะทางจึงค่อนข้างเปลี่ยวในยามค่ำคืน และจะสดชื่นมากในยามเข้าอย่างไรก็ตาม นักศึกษามักจะนิยมพักครึ่งทางโดยนั่งคุยกันริมสระน้ำซึ่งจะมีเก้าอี้นั่งเล่นเรียงรายอยู่รอบๆ เป็นจุดไปและมักจะ มีเรื่องเล่าขานต่อ ๆ กันมาหลายยุคหลายรุ่นนักศึกษาว่าบริเวณทางเดินแห่งนี้เป็นบริเวณที่น่ากลัวมากในยามค่ำคืน เพราะว่าจะมีคนเห็นอะไรที่แปลก ๆโดยไม่คาดฝันเสมอโดยเฉพาะในเวลายามวิกาลถ้าใครที่มี ความจำเป็นจะต้องใช้เส้นทางนั้นเดินกลับไปยังหอพักเพียงคนเดียวแล้วก็คงจะต้องจ้ำอ้าวๆ เพื่อให้ถึงทีหมายเร็ว ๆ ในขณะที่เดินไปถ้าเกิดมีเสียงอไรดังขึ้นมานิดหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นเสียงของจ๊ะกจั่นเรไร ถ้าไม่รวบรวมสติให้ดี ๆ ก็คงได้ตกใจหัวโกร๊นเป็นแน่มิหนำซ้ำอุปทานก็เล่นเอาคนเดินเหงื่อท่วมตัวได้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลยเรียกว่าแทบจะอยู่กลางทุ่งนาที่มีลมพัดโชยมากระทบตัวตลอดเวลาฉะนั้นพวกเราน้องใหม่ จึงนิยามแฟชั่นไปไหนมาไหนกันเป็นกลุ่มแบบเลือดสุพรรณ ฯนับวันเรื่องประเภทนี้กิยิ่งเริ่มหนาหูและเป็นที่กล่าวขาน มากขึ้นในกลุ่มอาจารย์และนักศึกษาบ้างก็เล่าว่าในหอพักนักศึกษาขายบ่อยครั้งในยามดึกบางคนมักจะพบเห็นผู้หญิง แต่งตัวในชุดไทยเดินปรากฏกายให้เห็นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มสวยงาม และทักทายแต่ถ้าโชคร้ายก็อาจจะมาในรูปร่าง น่ากลัวน่าเกลียดบางครั้งก็เป็นหญิงชราหรือชาวนา และหลายครั้งก็มาในรูปแบบของการหลอกหลอน นั่นคือการปรากฏกายเพียงท่อนบนของร่างกาย ในกระจกเงาที่เราใช้แต่งตัวในห้องพักสิ่งเหล่านี้ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ ได้ว่าเป็นจริงรึเปล่าเมื่อวันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปีเรื่องเช่นนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หอหญิงจะนิยมการเล่นผีถ้วยแก้วมากแต่ก็ต้องนั่งจับกลุ่มกันเพราะความกลัว บางคนก็เล่าว่าในเวลากลางคืนมักจะได้ยินเสียงดนตรีไทยเมื่อเสียงเริ่มชัดเจนและใกล้เข้ามาก็ทนไม่ไหวสงสัยนักว่า ใครหนอมานั่งเล่นเพลงไทยเดิมในยามวิกาลเงียบสงัดเช่นนี้ หนักเข้าความอยากรู้อยากเห็นทำให้ตื่นขึ้นมากลางดึกเดินออกจากห้องพักไปตามเสียงเพลง ครั้นพอมาถึงห้องนั่งดูทีวีก็แทบช็อคหมดสติ ยืนตัวแข็งนิ่งอยู่กับที่เพราะภาพที่ปรากฏต่อตาก็คือสตรีหลายนางแต่ง ชุดไทยเดิมนั่งพับเพียบบรรเลงเพลงไทยปี่พาทย์มโหรี แค่ได้ยินคำเล่าขานเพียงเท่านั้น ข้าพเจ้ายังขนลุกซู่เลยถ้าต้องประสบกับตัวเองก็ยังเดาไม่ออกว่าจะรู้สึกเช่นไรเรื่องประเภทนี้เรามักจะได้รับฟังคำถ่ายทอดจาก รุ่นพี่หลายต่อหลายคนจนกระทั่งมีความรู้สึกกลัว และไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียวใหม่ ๆ ก็ต้องปลุกเพื่อนร่วมห้องกลางดึกทุกครั้งเวลาจะไปห้องน้ำกลางคืน แล้วก็ให้ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำจนกว่าจะเสร็จภารกิจ การรับน้องหอจะมีเป็นประจำทุกคืนไม่มีการยกเว้น รุ่นพี่ปี 2, 3 และ 4 จะมีตัวแทนซึ่งเรียกกันว่า ว้ากเก้อร์ มายืนตะโกนเสียงดัง ๆ ขู่บังคับให้รุ่นน้องปี 1 กระทำในสิ่งที่ตนต้องการให้ทำ ฉะนั้นถ้าใครที่มีหน้าตาสวยน่ารักหรือหล่อเหลาหน่อยก็จะถูกเรียกออกมาซ่อมเดี่ยวบ่อยๆ แทบทุกคืน การรับน้องใหม่หรือ การซ่อมน้อง จะคล้าย ๆกันทุกปีเพียงแต่ว่าว้ากเก้อร์ในแต่ละปีจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปเท่านั้นเอง ใครที่แก่นแก้วหรือเป็นจอมซ่าส์ในหมู่เพื่อนฝูงก็จะถูกพวกรุ่นพี่คอยจับตาเพ่งเล็งเป็นพิเศษ บ้างก็ให้กระโดดลงไปในสระน้ำทั้ง ๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น ให้ทำท่าประหลาด ๆเพื่อเรียกเสียงฮาจากเพื่อน ๆ นักศึกษาบางคนที่ไม่เคยได้พบเห็นการกระทำที่รุนแรงทนไม่ไหวถึงกับปล่อยโฮร้องไห้ออกมาดังๆ ก็มียิ่งร้องไห้ก็จะยิ่งถูกขู่ตะคอกมากขึ้นหนทางเดียวที่ทำกันในหมู่พวกเราก็คือนั่งปรับทุกข์และด่าพวกรุ่นพี่ลับหลังทุกคืน ในบรรดานักศึกษาปี 1ทั้งหมดพวกเราทุกคนต่างพากันอิจฉาเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งมาก ก้อย เป็นเด็กขี้โรคมีโรคประจำตัวคือปวดท้องอย่างรุนแรงเนื่องจากเป็นโรคกระเพาะอาหารรื้อรัง ดังนั้นก้อยจึงถูกยกเว้นไม่ต้องถูกซ่อมน้องใหม่ทุกคืนแต่ก็ต้องนอนพักอยู่ในห้องนอนเพียงลำพังคนเดียวทุกคืนเช่นกัน พวกเราบางครั้งที่เบื่อหน่ายกับพิธีการรับน้องก็พลอยอยากจะเป็นก้อยบ้างแต่พอคิดว่าจะต้องนอนอยู่ในห้องพักคนเดียว ก็ขยาดเหมือนกันเพราะเกรงว่าจะพบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญในยามวิกาลแหม...มันก็ได้อย่างเสียอย่างอีกนั่นแหละ และแล้วในคืนหนึ่ง เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในขณะที่รุ่นพี่ว้ากเก้อร์กำลังตะโกนซ่อมน้องอยู่ทุก ๆ คนกำลังร้องเพลงเชียร์และเพลงมหาวิทยาลัย ฉับพลัน สายตาทุก ๆคู่ก็จ้องมองไปยังจุดหมายเดียวกันนั้นคือ ก้อยซึ่งวิ่งร้องไห้กระหืดกระหอบลงมาจากห้องนอนชั้นสูงสุดของอาคารหอพักลงมายังชั้นล่างที่พวกเราชุมนุมกันอยู่ ด้วยท่าทางหวาดกลัว ประกอบกับก้อยะเป็นคนเจ้าเนื้อ ตัวกลม ฉะนั้นกว่าจะวิ่งจากชั้น 4ลงมาชั้นล่างก็เล่นเอาเหงื่อ ตกหอบแฮ่ก ๆ ก้อยละล่ำละลักเล่าว่าขณะกำลังเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้นได้เห็นหญิงชราคนหนึ่งใส่ชุดไทยเดินเข้ามา นั่งบนเตียงข้างใบหน้าของหญิงชราคนนั้นเฉยเมยไม่ยิ้มแย้มเลยในขณะที่เอ่ยปากถามไถ่อาการเจ็บป่วยของก้อย เป็นไงบ้าง....รู้สึกอาการดีขึ้นบ้างไหม? ทั้ง ๆที่อยู่ในสภาพเหมือนฝันนั้นเอง ก้อยก็ตอบหญิงชราคน นั้นว่าก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ในใจก็ให้สงสัยเป็นยิ่งนักว่าหญิงชราแก่ ๆคนนี้เป็นใครกันหนอ แล้วเข้ามาในห้องนี้ตอนไหนกัน แต่มิทันที่ก้อยจะอ้าปากถามหญิงคนนั้นในข้อกังขาใด ๆทันใดนั้นหญิงขราคนนั้นก็ทำหน้าแสยะยิ้มแบบมีเลศนัยพร้อมทั้ง โต้ตอบกลับมาอันเป็นต้นเหตุที่ทำใสห้ตนต้องวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตว่า นึกว่ายังไม่ดีขึ้น .... จะได้เอาไปอยู่ด้วยหลังจาก เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นพวกเราก็วิตกกังวลและกลัวผีมากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว จนกระทั่งต้องไปอาศัยอยู่มาแต่แรกและก็ได้คำตอบ ว่าหอพักนักศึกษาหญิงแห่งนี้เคยเป็น แดนประหารในอดีตกาลมาก่อนดังนั้นจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอยู่เสมอหลัง จากมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับก้อยแล้วพวกคณาจารย์รวมทั้งนักศึกษารุ่นพี่และน้องใหม่ต่างก็ได้ร่วมมือกันจัดทำงานทำบุญตึก โดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดทำบุญให้กับดวงวิญญาณเหล่าสนั้นที่ยีงไม่ได้ไปผุดไปเกิดอย่าได้มาหลอกหลอนกันอีกเลยและ ขออุทิศผล บุญกุศลแด่ดวงวิญญาณทุกดวงรวมทั้งขอให้พวกเราทุกคน ได้พักอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้อย่างสุขสบายและ ปลอดภัยร่มเย็นเป็นสุข ตลอดระยะเวลาที่มาใช้ชีวิตร่วมกัน ณ ที่แห่งนั้นด้วยดูเหมือนว่าจะได้ผล หลังจากการทำบุญตึก แล้วพวกเราขาวหอก็ไม่มีใครได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดอีกเลยก็ขออนุโมทนาแผ่ส่วนกุศลแด่ดวงวิญญาณทุก ๆ ดวง และขอขอบคุณที่ตลอดเวลาตัวของข้าพเจ้านี้มิได้มีโอกาสเห็นเลย ....และก็ไม่คิดว่าอยากที่จะพบกับ ท่านเหล่านั้นด้วยเพราะ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าก็เกรงว่าตัวเองอาจจะหัวโกร๋นก่อนจะสำเร็จการศึกษาก็เป็นได้