เรื่อง ......... (จำไม่ได้แล้ว)2



		.....ผมเคยมีเรื่องชวนฉงนสนเทห์ซึ่งท้าทายความเชื่อและความไม่เชื่อจะเล่าให้ฟังเป็น
		ปรากฏการณ์เร้นลับแปลกประหลาด
		ที่เกิดขึ้นกับพ่อของผมในช่วงที่ท่านจวนเจียนจะหมดลมปราณ
		.....23 สิงหาคม 2538 เที่ยงเศษ
		โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์เปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมคนไข้ตามเวลาที่กำหนด
		ที่ห้องรวมของตึกผู้ป่วยหนักเวลานั้นพ่อยังใช้ท่ออ๊อกซิเยนในการช่วยหายใจ
		ส่วนน้ำเกลือหมอถอดออกแล้ว เพราะถึงจะให้ก็ไม่เข้า
		พ่อยังพูดได้แต่เสียงเบาคล้ายกระซิบ คนฟังต้องเอียงหูลงไปชิด ๆ กับปาก
		และคอยสังเกตความหมายเอาจากการเผยอ ของริมฝีปากประกอบด้วย จึงจะเข้าใจ
		ญาติพี่น้องบางคนมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งบอกเหตุ
		หรืออาการเตือนล่วงหน้าของคนที่จะตาย เข้าไปจังไปคลำดูตามร่างกายของพ่อ
		เห็นว่าตัวพ่อเย็นชืดจากท่อนล่างขึ้นมาเกือบครึ่งตัวแล้ว
		บอกว่าถ้าอยากเห็นใจพ่อ ให้รีบนำออกจากโรงพยาบาล เอากลับไปตายบ้านเราเถอะ
		ยังไงก็ไม่พ้นคืนนี้แน่ อันนี้ตรงกับความประสงค์ของพ่ออยู่แล้ว
		พ่อสั่งพ่อย้ำนับครั้งไม่ถ้วนว่าอยากไปตายที่บ้านค้อหวาง
		ตายที่เรือนหลังเดียวกันกับที่แม่ตาย
		.....ถึงบ้าน ช่วยกันอุ้มประคองขึ้นเรือนชานเรียบร้อย
		สีหน้าของพ่อดูแช่มชื่นดีขึ้นบ้างระหว่างที่นอนแซ่วอยู่บนรถที่ต้องวิ่งช้า ๆ
		เพราะกลัวกระแทกกระเทือนพ่อก็ถามตลอดทางว่า ถึงบ้านเราหรือยัง
		จวนถึงบ้านหรือยัง พ่อตัดพ้อน้อยใจในเคราะห์กรรม
		ของตัวเองว่าคงจะบาปหนาบาปหนัก มันจึงตายยากเย็นเสียจริง ๆ บอกว่าหายใจขัด
		หายใจยาก เหนื่อยทรมานมากอยากใจขาดไว ๆ จะได้พ้นเวรพ้นกรมให้มันรู้แล้วรู้รอด
		กำชับทุกคน	ไม่ให้ลุกหนีไปไหน กลัวจะไม่ทันเห็นใจ และมีบางประโยคบางคำ
		ที่คนเฝ้าไข้รอดูใจพ่อแม้จะมากจนแน่นบ้าน
		แต่ฟังแล้วอดที่จะขนลุกขนชันประหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้ โดยเฉพาะยามที่กลางวันแปร
		เปลี่ยนเป็นค่ำคืน ความมืดมิดเข้ามาเยือน
		พ่อบ่นพร่ำซ้ำซากว่าเบื่อหน่ายรำคาญไอ้สองตัวนี้เหลือเกิน มันมาเฝ้ามาจ้องพ่อ
		ตั้งแต่อยู่โรงพยาบาล ตามติดมาจนถึงบ้าน
		เดี๋ยวนี้มันก็ยังยืนค้ำหัวแสยะยิ้มอยู่ข้าง ๆ พ่อ พ่อหงุดหงิดเหลืออดเหลือ
		ทนจนต้องขอร้องพวกเรา
		"มันรีบร้อนอะไรกันหนักหนา กูยังไม่ตายเลย เกลียดขี้หน้าไอ้สองตัวนี้แท้ ๆ
		ไปหาใครมาไล่พวกมันให้ที พ่ออยากตายสบาย ๆ "
		พินิจพิเคราะห์ดูแล้วก็เห็นพ่อมีสติดีทุกอย่าง
		พวกเราเชื่อว่าพ่อไม่ได้ฟั้นเฟือนเพ้อคลั่ง หรือประสาทหลอนแน่นอน
		จึงไหว้วานพ่อวาร ชนะกุล ให้เป็นผู้ทำพิธีปัดรังควาน ขับไล่ไอ้สองตัวนั้น
		พ่อวารอายุอ่อนกว่าพ่อสี่ห้าปี เป็นญาติ ๆ กันด้วย
		แต่แกไม่ถึงกับเป็นหมอไล่ผีหรือ อาจารย์ปราบผี
		อาศัยว่าเคยบวชเรียนมาหลายพรรษาคาถาอาคมเยอะ
		ใครโดนผีเข้าหรือสงสัยว่าผีจะเข้าผู้คนในหมู่บ้านนี้
		ก็มาเรียกมา	ตามแกไปดูทั้งนั้น
		.....พ่อวารทำพิธีสุดฤทธิ์สุดเดชสุดฝืมือของแก กราบไหวรำลึกพระคุณครูบาอาจารย์
		ร่ายเวทมนตร์ เสกข้าวสาร ซัดหว่าน กวัดแกว่งหวายแหวกอากาศ เควี้ยวคว้าว
		กระทืบเท้าสำทับ ตวาดขับไล่ แต่ผลที่ได้รับ พวกเราซักถามพ่อที่ไร
		"พวกมันหนีไปหรือยัง?"
		พ่อยังสั่นหน้าปฏิเสธเหมือนเดิมทุกครั้ง แสดงว่า "ไอ้อะไรสองตัว"
		ที่แกเห็นคนเดียว ยังคงอยู่ที่เดิม สื่อความหมายว่า
		ไอ้สองตัวนั้นไม่ว่ามันจะเป็นใคร หรือเป็นอะไรก็ตาม
		บ่ได้ยั่นบ่ได้เกรงกลัววิทยายุทธของพ่อวาร ซักหน่อยเลย มันไม่ยอมหนีไปไหน
		ยมทูตไล่ลาวิญญาณพ่อ
		ยังวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ข้าง ๆ พ่อนั่นเอง ตราบจนเวลา 00.40
		หรือหกทุ่มสี่สิบนาที ของคืน 23 สิงหาคม 2538 ซึ่งทางสากลถือเป็นวันใหม่ 24
		สิงหาคม 2538 แล้ว เสลดขึ้นอุดตันในลำคอ พ่อหายใจไม่ออก หายใจไม่ได้
		สะดุ้งเฮือกต่อเนื่องด้วยการเขม็งเกร็งตัวสุดขีด วิญญาณก็หลุดลอยออกจากร่าง
		ลาโลกนี้ไปพร้อมกับอมนุษย์สองตนนั้น
		"ยมทูตทั้งสี่สำแดงกาย เดินกรีดกรายผ่าน ทางขวางหน้า"
		กลอนบทนี้ผมนำมาจากพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกกุมภกัณฑ์
		คราที่กุมภกัณฑ์กรีธา ทัพออกมารบกับพระรามในหนสุดท้าย
		เมื่อเดินทัพพ้นกรุงลงกาออกมาระหว่างทาางกุมภกัณฑ์ได้ประสบพบเห็นลางร้าย
		ความวิปริตอาเพศต่าง ๆ นา ๆ เป็นต้นว่า เสียงไพร่พลโห่ร้องเอาชัยกึกก้อง
		ฟังแล้วกลับกลายเป็นเสียงร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญโหยหวน เสาธงหักสะบั้น
		ยมฑูตมาดักหน้า ฯลฯ
		หรือว่าไอ้สองตัวที่สำแดงต้นให้พ่อเห็นนั้นจะเป็นยมฑูต
		เหมือนอย่างที่สังหรณ์ให้กุมภกัณฑ์เห็น ถ้าเผื่อเป็นยมฑูต จริง ๆ
		ก็ขออภัยที่ล่วงเกิน หน้าที่ใครหน้าที่มัน ไม่ว่ากันอยู่แล้ว
		ข้องใจอยู่นิดเดียว ตามคติความเชื่อของโบราณนั้น
		ยมฑูตที่มารับวิญญาณต้องมาหรือต้องมีสี่ตน แต่ที่พ่อเห็นทำไมมันมีแค่สอง
		หรือผู้คนมันมากขึ้นตายกันถี่กันบ่อยขึ้น ท่านเลยปรับขนาดลดกำลังพลเข้าทำนอง
		"จิ๋วแต่แจ๋ว" ตามยุคสมัยโลกาภิวัฒน์…


กลับหน้าหลัก<<<