|
"พึ่งผ่านมาได้แค่หนึ่งปีเองนะ ฉันยังไม่แก่เท่าไหร่หรอก" เป็นสิ่งที่ฉันพยายามพร่ำบอกกับตัวเองเมื่อรู้สึกว่า ตัวเองนี่แก่มากนักเหรอ
จะแก่ได้ยังไง ฉันพึ่ง 19 เองนะ แล้วไอ้ที่บอกว่าผ่านมาปีนึง ก็คือผ่านชีวิตช่วงมัธยมมานั่นเอง การเรียนมัธยมของฉันนั้นเป็นช่วงชีวิตที่สำหรับ
ตอนนี้คิดว่ามันมีความสุขมาก แม้มันจะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ดูน่าตื่นเต้น ดูเป็นประสบการณ์โลดโผน ชีวิตมัธยมชั้นไม่เหมือนกับชีวิตในแนวละคร
พวกกระโปรงบานขาสั้น รึ น้ำเต้าหู้กับครูระเบียบหรอก มันเป็นแค่การดำเนินชีวิตช่วงหนึ่งของเด็กผู้หญิง ตัวผอมๆ ดำๆคนนึง ผ่านรอยยิ้ม
เสียงหัวเราะ คราบน้ำตามากับเพื่อนๆ ถ้าใครมองฉันก็คงเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กๆของโรงเรียนหรือของโลกใบนี้แต่ถึงยังไงชั้นก็คือชั้นอยู่ดี
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
พยายามทบทวนความจำ(ซึ่งไม่ค่อยดีนัก) ของชั้นก็พอจำได้เลาๆว่า หลังจากจบประถมมาจากโรงเรียนพรสุดา
ก็คิดว่าตอนนั้นจะเข้าโรงเรียนอะไรดีน้า ซึ่งทั้งพ่อ กับแม่ก็ช่วยกันคิด
ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นปีแรกที่มีการเปิดระบบการรับนักเรียนเข้าระดับมัธยมรูปแบบใหม่คือ ใช้ระบบรับเด็ก
ในพื้นที่เดียวกับโรงเรียน 60% ส่วนสอบและก็เงื่อนไขอื่น ก็ลดหลั่นลงมา ตอนนั้นพวกเรา(สามคนพ่อแม่ลูก)
ก็ไม่มีข้อมูลอะไรมาก ก็ว่าคงเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งแถวบ้านซึ่ง พึ่งเปิดได้ไม่นาน ฉันก็ไม่มีความคิดโต้แย้งอะไรหรอก เพราะตอนนั้นสมองมันก็กลวงๆ
แล้วก็ไม่อยากจะเรียนในโรงเรียนใหญ่โตอะไร มากมาย แต่แล้ววันนึงหลังจากที่พ่อฉันกลับมาจากข้างนอก ก็มาบอกว่าได้คุยกับใครสักคนหนึ่ง
(จำไม่ได้อีกและ) แล้วเค้าแนะนำว่าลองไปสมัครที่ โรงเรียน
ดูมั๊ย ซึ่งพอพ่อเอ่ยชื่อขึ้นมา ชั้นก็ตกใจมาก ที่ตกใจเพราะชั้นคิดว่าชั้นคงไม่สามารถเข้า
ได้หรอก ถ้าจะต้องสอบแข่งขัน เพราะเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมาก โรงเรียนนั้นก็คือ โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) 2 แต่ก็บอกแล้วว่าสมองมันกลวงๆ ตอนนั้น
เอาไงก็เอากันนะพ่อ

วันที่ไปถึงที่โรงเรียนวันแรก ตอนนั้นโรงเรียนมีตึก4 ชั้นยาวๆอยู่ตึกนึง ตอนนั้นชั้นตื่นตาตื่นใจพอสมควรเพราะไม่เคยได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนเลย ชีวิตตอนประถมฯเหมือนกบในกะลายังไงยังงั้น
(รู้ได้ไงว่ามันเป็นไงนะไอ้กบเนี่ย)
โรงเรียนมีพื้นที่กว้างขวางแต่ตอนนั้นก็ยังมีการก่อสร้างอยู่เพราะโรงเรียนนี่พึ่งมาตั้งได้ไม่นาน ถนนก็ยังขรุขระอยู่ มันรู้สึกหวิวๆแปลกที่แปลกทางมากเลยนะตอนนั้นแล้วจนกระทั่งถึงวันสอบ
ชั้นไปสอบด้วยความไม่มั่นใจเลย เพราะตัวเองถึงจะพูดได้ว่าจากโรงเรียนเก่าฉันเป็นที่หนึ่งมาตลอด แต่มันก็เป็นแค่โรงเรียนเอกชนชานเมืองเล็กๆ
วันสอบฉันไปกับแม่ ซึ่งปกติจะไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับแม่หรอก แต่พ่อไม่ว่าง จำได้ว่าทำข้อสอบไม่ค่อยได้เลย พอเสร็จ
กลับมาถึงบ้านฉันร้องไห้ทันทีทันไดเลย ฟูมฟายบอกแม่ว่า ไม่ติดแน่แน่ ๆ แต่พอหลังจากนั้น ซึ่งผลยังไม่ออก ชั้นก็ไม่ได้เครียดอะไรมาก
ในใจก็อยากได้นะ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรนี่ และแล้ววันประกาศผลสอบมาถึง ฉันไปดูผลกับพ่อด้วยใจระทึก หึหึ ไปดูที่บอร์ด
"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"
มันเป็นเสียงที่ก้องอยู่ในหัว ในใจ ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กมา ก็ยังไม่เคยต้องแข่งขันอะไรที่ดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ประถมฯก็เรียนไปเรื่อยๆวันๆ แล้วพอได้สัมผัสความรู้สึกนี้มันโอ้โห สุดจะพรรณา
ฮ่าๆ
ชีวิตมัธยมของฉันมันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ที่นี่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)2
ทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ เสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน การไปเรียนวันแรกจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ก่อนหน้านี้
ชั้นก็มีกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆในสังคมใหม่ นี้แล้วละ เป็นกิจกรรมปฐมนิเทศนักเรียน ดูแล้วก็คล้ายรับน้องยังไงยังงั้นเลย
คือไปที่โรงเรียนร่วมทำกิจกรรม ร้องเพลงโรงเรียน นันทนาการ ทำความรู้จักโรงเรียน แล้วก็นอนค้างด้วย
และในกิจกรรมนี้มีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังจำได้ที่บอกว่ามันคล้ายกับรับน้องก็คือ จะมีการแบ่งพี่เลี้ยงซึ่งเป็นพี่ม.ปลายให้มาดูแลพวกเรา
แล้วในตอนกินข้าวกันนี่แหละสำคัญ คือทุกคนกิน ต้องกินให้หมด ถ้าไม่หมดพี่เลี้ยงของกลุ่มจะต้องกินของเหลือของพวกเรา
อืมม สำหรับชั้นไม่มีปัญหาแน่นอน ชั้นกินได้ไม่มีเหลือหรอก มันคล้ายๆกับฝึกให้เราต้องมีความรับผิดชอบ พี่เค้าต้องดูแลเรา เราก็ต้องแคร์พี่เค้าด้วย มีน้ำใจแก่กันไรประมาณเนี้ย แล้วชีวิตมัธยมก็เริ่มต้นขึ้น (เริ่มแบบไม่ค่อยดีเพราะวันแรกเป็นวันที่ชั้นปากแตกครั้งแรกในชีวิต ฮ่าๆๆๆ) ในช่วงม.ต้นชีวิตไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยยยยยยยยยย ไปเรียนตามธรรมดาทุกวัน มีเพื่อน มีการบ้าน มีรายงาน มีสอบ แล้วก็ผ่านๆไป กับเพื่อนก็ไม่มีอะไรโลดโผน ชีวิตดำเนินไปตามครรลอง ทุกอย่าง อยู่ในกรอบ มองกลับไปจากวันนี้เห็นตัวเองเป็นเด็กที่ไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ แต่อยู่กับเพื่อนก็จะสนุก เป็นคนตลกๆ รักเพื่อนมาก โดยเฉพาะเมื่อขึ้น ม.ปลาย ก็ได้มาสนิทกับเพื่อนกลุ่มปัจจุบัน รักกันมาก ทำไมถึงรักกันมากอ่ะเหรอ ไม่รู้สิ
ความรักไม่ต้องการเหตุผลมั้ง อิอิ (น้ำเน่า) ก็คงเพราะได้ทำอะไรร่วมกันเยอะ มีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะ โตขึ้นพูดคุยเรื่องอะไรมากขึ้น แล้วก็คงเป็น
ช่วงติดเพื่อนด้วย อะไรๆ ก็เพื่อน แต่โชคดีที่สุดที่เพื่อนกลุ่มเรา นิสัยตรงโช๊ะที่สุด ทุกคนรักกันมาก มีมุมมองต่างๆใกล้เคียงกัน ทำให้คบกันได้ยืนยาว เรียกได้ว่าแม้จบมาจนกระทั่งตอนนี้ ปี2 แล้วแต่ก็ยังคิดว่าเหนียวแน่นอยู่ แม้จะห่างๆไปบ้าง
ส่วนชีวิตในมหาวิทยาลัยที่เริ่มต้นนั้น บอกได้เลยว่าในช่วงแรก เป็นช่วงที่เค้าเรียกว่า "ช่วงปรับตัว" จริงๆ มันก็เป็นการเปลี่ยนจากสถานภาพหนึ่ง
มาสู่สถานภาพหนึ่ง จากสภาพแวดล้อมที่เคยคุ้นเคยเก่าๆ ต้องก้าวมาสู่รูปแบบชีวิตใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด. . . ยอมรับว่ากิจกรรมช่างรับน้องที่รุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยจัดขึ้นนั้น เราไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่เพราะเราเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าสักเท่าไหร่ แถมพึ่งรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ยอมรับว่าแรกๆรู้สึกแหม่งๆ มากเลยอ่ะ แต่ผ่านไปสักเทอม ก็สบายขึ้นโดยเฉพาะกิจกรรม "ว้าก" น้อง สำหรับเรามันเป็นกิจกรรมที่ช่วยในการปรับตัวของเราพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่เสียดายก็คือ ตอนไปรับน้องต่างจังหวัดเราพลาดไปได้ เพราะไม่สบาย เสียดายมากกก..กกแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนลดน้อยลงไปเลย . . . .
|