สองสหาย (นิทานของชาวไทยวน)
ครั้งหนึ่งมีชายสองคนเป็นสหายกัน คนหนึ่งเป็นคนมีปัญญามาก และอีกคนหนึ่งมีทรัพย์มาก
ทั้งสอง ชวนกันไปค้าขายและต่างเถียงกันไปตามทางว่าตนเองดีกว่าอีกคนหนึ่ง เมื่อไปถึงทางแยกซึ่งทางหนึ่งไปยัง
เมืองพาราณสีและอีกทางไปเมืองจัมปานคร ทั้งสองเถียงกันมาตลอดทางแต่ยังหาข้อยุติไม่ได้
จึงตกลงกัน ว่าให้ปักหลักไว้ที่นั้น และอีก ๓ ปี ข้างหน้าให้กลับมาที่นั้นอีกและจะได้เห็นว่าใครจะได้ดีกว่าใคร
ชายที่เดินทางไปเมืองจัมปานครนั้นเป็นผู้มีทรัพย์ซึ่งมีแก้วสารพัดนึก เมื่ออมแก้วนั้นแล้วก็จะได้ทุกสิ่ง
ตามต้องการ เมื่อไปถึงเมืองจัมปานครแล้วก็ไปบอกกับเสนาว่าตนอยากเป็นลูกเขยของเจ้าเมือง
เสนาก็ ไปถามเจ้าเมือง พอดีกับที่ธิดาสุดท้องของเจ้าเมืองยังไม่ได้แต่งงาน และก็มีชายเศรษฐีอีกคนหนึ่งมาขอ
แต่งงานด้วยเหมือนกัน เจ้าเมืองจึงให้เสนาไปสร้างศาลาอยู่นอกเมืองให้เศรษฐีอยู่ที่นั่น
๗ วัน แล้วเจ้า เมืองจะไปขอเครื่องประดับมาแต่งให้ลูกสาว วันแรกเจ้าเมืองก็ไปขอกำไลแขน
แหวน สร้อยสังวาลย์มา ชายผู้มีทรัพย์ก็เอาแก้วสารพัดนึกมาอมและนึกเอาของทั้งหมดให้ไป
วันที่สอง เจ้าเมืองให้คนไปเอาผ้า แพรพรรณที่งามเหมือนผ้าจากเมืองสวรรค์ คนมีทรัพย์ก็เอาแก้วสารพัดนึกเรียกผ้าให้ไปได้อีก
พอถึงวัน ที่สามเจ้าเมืองจะเอาเพชรนิลจินดาเต็มภาชนะหนึ่ง เขาก็ใช้แก้วสารพัดนึกออกมาเรียกเพชรนิลจินดาให้
ไปอีก ตกถึงวันที่สี่เจ้าเมืองก็ให้สาวใช้ทำอาหารไปให้เขากิน และถามว่ามีอะไรเป็นของวิเศษหรือทรัพย์
สมบัติอะไรเป็นหลักฐานว่าเป็นคนร่ำรวย เขาก็บอกว่าเขามีแก้วสารพัดนึก เมื่อเจ้าเมืองเช่นนั้นจึงให้คน
มาขอแก้วนั้นไปในวันที่ ๕ พอวันรุ่งขึ้นเจ้าเมืองก็มาขอผ้าที่มีความละเอียดอ่อนเหมือนควันไฟมาให้ลูกสาว
แต่เขาไม่มีแก้วสารพัดนึกเสียแล้วจึงหาผ้านั้นไม่ได้ เจ้าเมืองจึงจับเขามาเป็นคนใช้คอยตักน้ำให้ลูกสาว
อาบอยู่ที่นั่นจนกว่าลูกสาวได้แต่งงานแล้วจึงจะปล่อยไป
ส่วนคนที่มีวิชาที่เดินทางไปเมืองพาราณสีนั้น เมื่อไปถึงเมือง ปรากฏว่าในเมืองเงียบหมด
หาผู้คน ไม่ได้เพราะมียักษ์มากินคน ทั้งนี้เนื่องจากการที่เจ้าเมืองนี้ออกไปล่าสัตว์
ไปพบกวางที่ยักษ์ปลอมตัวมา หลอกให้เจ้าเมืองตามไปจนหลงกับเสนาที่ตามไปแล้วยักษ์ก็จับเจ้าเมืองขังไว้
เจ้าเมืองก็บอกยักษ์ว่าถ้า กินเจ้าเมืองก็ได้กินคนเดียว ถ้าปล่อยตนไปจะได้กินหลายคน
โดยเจ้าเมืองจะสร้างศาลาไว้นอกเมือง และส่งคนมาให้กินวันละคน ยักษ์ก็ตกลง ยักษ์ก็กินคนเกือบหมดเมือง
พอดีชายผู้มีปัญญานั้นเดินทางมาถึง เขาไปพบหญิงแก่คนหนึ่งนั่งหน้าเศร้าหมองอยู่
เขาก็ถามว่าเศร้าอะไร หญิงแก่นั้นก็ตอบว่าตนได้รับหนังสือ จากเจ้าเมืองให้ส่งคนในครอบครัวของตนไปให้ยักษ์กิน
และตนก็มีลูกสาวอยู่คนเดียวจึงมานั่งเศร้าอยู่ที่นั้น ชายคนนั้นก็อาสาจะไปแทน แต่ให้เตรียมเตาไฟที่มีถ่านเอาเหล็กแหลมยาว
ๆ ท่อนหนึ่งกับเชือกยาว ๑๐ วา หนึ่งเส้น หญิงแก่ก็จัดหาให้
รุ่งเช้าเขาก็ไปที่ศาลานอกเมือง ที่ศาลานั้นมีช่องเล็ก ๆ อยู่ ทุกครั้งที่ยักษ์มาก็จะมามองดูที่ช่องนั้น
ก่อนเสมอ ชายนั้นก็ติดไฟและเอาเหล็กเผาไฟเตรียมไว้และเอาเชือกลอดช่องออกไป เมื่อยักษ์มาถึง
เห็นเชือกก็ถามว่าใคร ชายผู้มีวิชาก็ว่าตนคือโลกวิทู โดยให้ดูเชือกว่าเป็นขนหน้าแข้ง
ยักษ์ก็สงสัยว่าหากขน หน้าแข้งขนาดนั้น ตัวจริงคงใหญ่โต เขาก็ตะโกนออกไปอีกว่าถ้าอยากเห็นตนก็มามองที่ช่องนั้น
ยักษ์ก็หลง กลมามองดู เขาจึงเอาเหล็กแหลมเผาไฟนั้นทิ่มตาจนยักษ์ตายไป แล้วเขาก็กลับมาที่บ้านหญิงแก่
และบอก ให้นางปกปิดเป็นความลับ ส่วนตัวเขาก็หลบไป
รุ่งขึ้น คนก็แตกตื่นว่าใครเป็นคนมาฆ่ายักษ์ เจ้าเมืองเอาบัญชีมาดูก็รู้ว่าเป็นเวรของบ้านหญิงแก่นั้น
จึงออกไปถาม หญิงแก่ก็ตอบว่า บอกไม่ได้ว่าคนที่ไปแทนนั้นเป็นใครเพราะเขาไม่ให้บอก
เขาเป็นคนอายุ ประมาณ ๓๐ ปีกว่าๆ และขณะนี้เขาก็หลบอยู่ในหมู่บ้านนี้แหละ เจ้าเมืองจึงให้แก่บ้านเรียกประชุมลูกบ้าน
ว่าในหมู่บ้านนี้มีคนแปลกหน้ามาพักอยู่ที่บ้านใคร ที่สุดก็จับได้เขาก็เล่าเรื่องราวให้ฟังเจ้าเมืองก็ยินดีจึงรับ
เขาเป็นลูกเขยและครองเมืองด้วยเพราะเป็นผู้มีปัญญา เขาก็จัดการปกครองดูแลชาวเมืองมีความสุขกัน
ทั่วและบ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรือง
จนกระทั่งครบ ๓ ปี ที่ตนได้นัดกับเพื่อนผู้มีทรัพย์ที่ทางแยก จึงขอลาเจ้าเมืองจะไปพบเพื่อนที่เดิน
ทางไปเมืองจัมปานครเจ้าเมืองก็ให้ไป เขาเดินทางไปโดยลำพัง เมื่อเดินทางไปกลางป่าเป็นเวลาเย็น
มากแล้ว และพบถ้ำใหญ่แห่งหนึ่งก็มายืนคิดอยู่ว่า ตนเองจะผูกม้าไว้โคนต้นไม้แล้วขึ้นนอนบนต้นไม้หน้าถ้ำ
ตกค่ำก็มียักษ์กลับมาที่ถ้ำนั้น เมื่อยักษ์มาถึงก็เปิดประตูและเอาลิงออกมาตัวหนึ่งและเด็ดเอาว่านจากฟาก
หนึ่งมาตบหัวลิง ลิงนั้นก็กลายเป็นหญิงสาวสวย และยักษ์ก็มากอดมาจูบ หญิงนี้ยักษ์จับมาขังได้
๓ ปีแล้ว และยักษ์ก็รักหญิงคนนี้ด้วย จากนั้นยักษ์ก็เก็บว่านจากอีกฟากหนึ่งมาขยี้ชุบน้ำตบหัว
หญิงคนนั้นก็กลายเป็นลิง ตามเดิม และเอาขังไว้ตามเดิมส่วนยักษ์ก็ออกไปหากินอีก
ชายผู้มีปัญญาก็เฝ้าดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น
เมื่อยักษ์ไปเขาก็ลงมาเก็บเอาว่านทั้งสองอย่างใส่กระเป๋าไว้ แล้วก็เปิดถ้ำเอาลิงออกมาจากนั้น
ก็เอาว่านตบหัวลิง ลิงก็กลายเป็นหญิงสาว เขาก็ถามนางว่าบ้านเมืองอยู่ไหน นางก็บอกและเล่าว่ายักษ์
นั้นจับนางมาได้ ๓ ปี แล้วเดี๋ยวก็ให้เป็นลิงเดี๋ยวก็ให้เป็นคน ทนทุกข์ทรมานมาอย่างนี้
เขาจึงว่าจะช่วย นางไปแต่ตอนนี้ให้นางกลับเป็นลิงก่อน และอยู่ในถ้ำรอยักษ์อยู่
ตกดึกยักษ์กลับมานอนเขาก็เอาว่านที่ทำให้ เป็นลิงตบหัวยักษ์ ยักษ์กลายเป็นลิง เขาจึงฆ่าลิงนั้น
แล้วเขาก็ช่วยให้นางลิงกลับเป็นคนซ้อนม้าหนีไป ในคืนนั้น
เมื่อเขาเอานางไปส่งยังบ้านเมืองของนาง พ่อแม่ของนางที่เป็นเจ้าเมืองก็ยินดีปรีดาที่ลูกสาวได้
กลับมาและเขายกให้นางเป็นเมีย แต่คนมีปัญญาไม่ยอมรับเขาขอเพียงพักที่เมืองนั้นเพียง
๒-๓ วัน แล้ว ลาไปยังหลักที่ปักไว้ที่ทางแยกรอวันที่ครบ ๓ ปี ก็ไม่เห็นเพื่อนมา
เขาจึงถามชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปมา ว่าเคยได้ยินว่ามีชายคนหนึ่งเดินทางมาเมืองจัมปานครบ้างไหม
ชาวบ้านก็บอกว่า มีคน ๆ หนึ่งมาขอเป็น ลูกเขยเจ้าเมืองและถูกเจ้าเมืองโกงเอาแก้วสารพัดนึกไป
และถูกจับให้เป็นคนตักน้ำให้ลูกสาวอยู่นั่น
คนมีปัญญาจึงแอบเข้าไปและพบเพื่อนกำลังหาบน้ำอยู่จึงเข้าไปพบเพื่อน ผู้มีทรัพย์ก็เล่าเรื่องที่เกิด
ขึ้นให้ฟัง เพื่อนผู้มีปัญญาจึงเอาว่านที่ทำให้คนเป็นลิงใส่น้ำที่เพื่อนตักแล้วเอาไปให้ลูกสาวเจ้าเมืองอาบ
และเอาว่านแก้นี้ไปด้วยเมื่อเจ้าเมืองประกาศหาคนที่จะมารักษานาง ก็ให้เอาว่านนี้ไปรักษา
จากนั้นชาย ผู้มีทรัพย์นั้นก็เอาน้ำนั้นไปให้ลูกสาวเจ้าเมืองอาบ นางก็กลายเป็นลิงก็เกิดโกลาหลกันทั้งเมือง
เจ้าเมือง จึงประกาศหาคนมารักษาให้นางกลับเป็นคนดังเดิม ชายมีปัญญาก็เข้าไปบอกเจ้าเมืองว่าจะลองแต่ถ้าเขา
ทำสำเร็จเจ้าเมืองจะให้อะไร เจ้าเมืองก็ว่าจะให้เป็นลูกเขย จากนั้นก็เอาว่านใส่น้ำมาลูบหัวนางก็กลับ
เป็นคนตามเดิมและได้แต่งงาน ต่อมาอีกไม่มีวันชายผู้มีปัญญาก็ชวนชายผู้มีทรัพย์ลาจากเมืองนั้นมาที่ทาง
แยกที่เคยปักหลักไว้นั้นและมาพูดกันที่นั่นว่ายอมรับหรือยังว่าปัญญาดีกว่าทรัพย์
ผู้มีทรัพย์ก็บอกว่ายอมรับแล้ว ว่า ปัญญาดีกว่าเพราะใช้ไม่มีทางหมดสิ้น แต่ทรัพย์นั้นมีวันหมด
*********************************
สองสหาย (นิทานของชาวไทลื้อ)
มีชายสองคนเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งทั้งสองไป ใส่ไซ คือนำไซไปดัก คนหนึ่งใส่ไซในน้ำ
แต่อีกคนหนึ่ง ใส่บนยอดไม้ รุ่งเช้าทั้งสองก็ไปตรวจดูไซของตน คนที่ใส่ไซในน้ำก็ได้ปลา
ส่วนคนที่ใส่ไซบนยอดไม้ได้งู ซึ่งเขาก็เอางูนั้นมาเลี้ยง ตอนแรกงูนั้นก็กินสัตว์เล็ก
เขาก็พยายามหามาให้ เมื่อมันโตขึ้นมันก็กินม้าวัว ควายจนถึงกินช้าง ซึ่งชายคนนั้นก็หามาให้กินจนได้
ในที่สุดงูเห็นบุญคุณของเจ้าของ จึงบอกเขาว่า รุ่งขึ้นตนจะลงไปสู้กับนาคใต้น้ำ
ให้ชายคนนั้นคอยดู อยู่บนฝั่ง ถ้าเห็นเงินทองลอยขึ้นมาครั้งแรกและครั้งที่สองอย่าเอาและให้พูดว่าเจ้า
"งูชนะ นาคแพ้" อยู่ อย่างนี้ เขาก็ทำตามที่งูบอกทุกอย่าง เมื่อมาถึงบ้านก็มีข้าวของเงินทองอยู่เต็มบ้านไปหมด
ส่วนเพื่อนคนที่ใส่ไซในน้ำรู้เข้าก็มายืมงูไปบ้าง ซึ่งงูก็ให้เขาทำดังชายคนแรก
แต่ชายคนนี้เป็นคน โลภมากจึงรีบเก็บเอาเงินทองที่ลอยขึ้นมา เมื่อกลับมาถึงบ้านแทนที่จะมีเงินทองกลับมีแต่เกล็ดงู
เขาก็ โกรธจึงเอางูนั้นไปฆ่าแล้วเผาเสีย
ขี้เถ้าเกิดจากการเผางูนั้นก็เกิดเป็นต้นไม้ซางคำ ชายที่เป็นเจ้าของงูไปเขย่าทีไรก็มีเงินทองหล่น
ลงมาทุกครั้ง เพื่อนคนนั้นทราบเรื่องก็ไปขอเขย่าดูบ้าง แต่ได้เพียงกาบไม้ไผ่ เขาก็โกรธจึงฟันไม้ซางนั้น
แล้วเผาอีก เหลือสักปล้องสองปล้อง ชายที่เป็นเจ้าของก็เก็บเอามาทำรางข้าวเลี้ยงหมู
หมูของเขาก็โต เร็วและขายได้เงินมาก เพื่อนเขาก็มายืมไปอีก เอาไปเลี้ยงหมู ๆ ก็ไม่โตสักที
ตัวเล็กลงเรื่อย ๆ ที่สุด หมูก็ตาย เขาจึงเอารางนั้นเผาอีก ทีนี้เหลือเพียงนิดเดียว
ชายผู้เป็นเจ้าของก็เอามาทำเป็นไม้จิ้มฟัน เมื่อเอาจิ้มฟันแล้วเขาก็มีกลิ่นปากหอมไปทั่ว
วันหนึ่ง เจ้าเมืองเขาจัดงานก็ชวนชายคนนั้นไป แต่เพื่อนเขาก็มายืมไม้จิ้มฟันไปใช้ในงานนั้นอีก
เขาก็ให้ไป เมื่อไปถึงงานเขาเอามาจิ้มฟันก็เกิดมีกลิ่นเหม็นไปทั่ว ในที่สุดเจ้าเมืองโกรธจึงเอาเขาไป
ฆ่าเสีย
จาก ด้วยปัญญาและความรัก นิทานของชาวไทยวน นิทานของชาวไทลื้อ นิทานของชาว ไทใหญ่
นิทานของชาวไทเขิน