เหล้า (นิทานของชาวไทเขิน)
ในเมืองหนึ่ง มี แม่หม้ายคนหนึ่งที่ลูกชายคนเดียวของนางเป็นคนนิสัยไม่ดี นางจึงไล่ออกจากบ้าน
และด่าว่า "มึงเป็นแดดมา กูก็ไม่ตากข้าว มึงเป็นพระเจ้ามา กูก็ไม่ไหว้มึง"
ต่อมาลูกชายนางได้ไป อยู่กับชาวบ้าน แล้วก็ทำตัวเป็นคนดี ขยันแข็งแรง ทำการทำงาน
จึงมีหญิงสาวคนหนึ่งมาชอบ และอยาก ได้เป็นผัว พ่อแม่ของนางก็บอกว่า ถ้าหากแต่งงานกับเขาก็จะไล่ออกจากบ้าน
ต่อมา ๒ คนก็แต่งงานกัน และได้พากันหนีไปอยู่อีกที่หนึ่ง ทำมาหาเลี้ยงชีพจนพอมีเงิน
จึงมีจิตใจทำบุญทำทานไปวัดฟังเทศน์ฟังธรรม
ฝ่ายผัวจึงคิดจะไปขอขมาแม่ของตน จึงได้เก็บเอาผลไม้ พริก มัน เผือก ฯลฯ ใส่เกวียนเดินทาง
ไปหาแม่ที่บ้าน จนมาถึงบ้านแม่ของตนแม่ก็ไม่ยอมรับ เพราะว่าได้พูดไว้แล้ว เขาจึงเสียใจแล้วคิดจะไป
ถวายพระ พอไปหาพระ พระก็ไม่รับโดยบอกว่า แม่ของเจ้ารับไม่ได้แล้วข้า จะรับได้อย่างไร
ทั้ง ๒ ผัวเมียรู้สึกอายแม่ จึงได้นำของเหล่านั้นเดินทางกลับบ้านของตน
ขณะที่กลับไปได้ครึ่งทาง ก็ไปพบต้นไม้ต้นหนึ่งมีโพรงไม้ใหญ่ จึงคิดว่าตนจะกลับบ้านก็อายเขา
จึง คิดว่าที่ไหนก็มีพระเจ้าอยู่ทุกที่ จึงเอาของเหล่านั้นมาเทใส่โพรงไม้เพื่อทำบุญ
ต่อมาฝนตกหนัก น้ำฝนได้ เข้าไปท่วมบรรดาพริก ผลไม้และรากไม้ ฯลฯ ในโพรงไม้นั้น
ต่อมามีนกและกวางสัตว์ต่าง ๆ มากินน้ำ ในโพรงก็มีอาการเมา จึงพากันร้องและเต้นอยู่เรื่อยไป
ขณะนั้น พรานป่าคนหนึ่งมาเห็นนกมากินน้ำแล้ว ก็เต้นไล่จิกกัน พรานป่าจึงยิงนกจนลูกธนูหน้าไม้หมด
นกก็ตายเป็นจำนวนมาก แต่พวกที่เหลืออยู่ก็ไม่หนีไป นายพรานจึงไปจับนกที่เมาและยังไม่ตายมาย่างกิน
และก็ได้ไปตักน้ำที่ขังนั้นมากินไปพร้อมๆ กันด้วย เมื่อ ได้กินนกย่างและกินน้ำไปสักครู่หนึ่ง
จึงเกิดอาการเมาและหลับไปโดยไม่รู้ตัว
พอรุ่งเช้า นายพรานรู้สึกตัวว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ คิดว่านกมากินน้ำนั้นคงเมากันแน่
จึงเปิด ถุงย่ามหมายจะดูนกที่จับไว้ พอเปิดถุงย่ามเท่านั้น นกที่หายเมาก็พากันบินหนีไปหมด
จึงได้รู้ว่าน้ำนี้กินแล้ว เมา จึงได้ตัดกระบอกไม้ แล้วตักน้ำนั้นใส่เพื่อนำไปถวายเจ้าเมือง
เมื่อไปถึงเจ้าเมืองก็นำน้ำนั้นถวาย และทูลว่าน้ำนี้กินแล้วก็เมา และบอกว่าถ้ากินน้ำนี้ต้องกินกับไก่ขอให้ฆ่าไก่หลาย
ๆ ตัว และกินกันหลายคน จึงจะสนุก
ต่อมาเจ้าเมืองจึงสั่งให้ฆ่าไก่แล้วมากินเหล้ากันไปแล้วก็หมด แต่เนื้อไก่ยังไม่หมด
จึงใช้ทหาร และพรานนั้นไปเอามาอีก พรานจึงไปตักมาอีกเจ้าเมืองก็กินจนเมา ตักมาเท่าไรก็ไม่หมดจนเนื้อไก่หมด
เจ้าเมืองจึงให้ฆ่าเป็ดอีกจนเป็ดหมด จึงให้ฆ่าหมูกินกับเหล้าต่อไปจนเหล้าหมด ก็ใช้เสนาไปตักมาอีกแล้ว
กินต่อไปจนต้องฆ่าวัวควายช้าง ต่อไปเรื่อย ๆ ฝ่ายเมียก็โมโห จึงพูดว่าช้างก็หมด
อะไรก็หมด ฆ่าตัวข้า และลูกกินให้หมดก็ได้ เจ้าเมืองจึงให้ทหารจับเมียและลูกไปฆ่าด้วยความเมา
ทหารจึงฆ่าเมียและลูกของ เจ้าเมืองให้เจ้าเมืองกิน และตัดเอาท่อนแขนของเมียและลูกเจ้าเมืองใส่หม้อเอาฝาหม้อปิดไว้
๗ ชั้น ต่อมาก็เกิดความกลัวจึงได้หนีไปหมด เจ้าเมืองก็เมามากนอนฟุบอยู่
รุ่งเช้ามาเจ้าเมืองสร่างเมาแล้วก็ตามหาลูกหาเมียแต่หาที่ไหนก็ไม่พบ เจ้าเมืองโมโหจึงเอาฆ้อน
ไปตีกลองเรียกทหาร แต่ก็ไม่มีใครมาหา มีแต่เสนาเฒ่าคนหนึ่งมาหาเจ้าเมือง เจ้าเมืองได้ถามว่าทหาร
หายไปไหนหมดและลูกเมียของตนหายไปไหนหมด เสนาเฒ่าจึงบอกว่าลูกเมียของเจ้าเมืองนั้นเจ้าเมือง
ได้ฆ่ากินหมดแล้ว เพราะเจ้าเมืองใช้ทหารฆ่าแต่ทหารทำไปด้วยความกลัวจะถูกฆ่าแล้วจึงไม่กล้ากลับมา
เจ้าเมืองจึงบอกว่าไม่เป็นไรให้เรียกทหารมาเจ้าเมืองจึงถามว่า จริงหรือไม่ ทหารก็บอกว่าจริง
ตนได้ฆ่าและเอาท่อนแขนเก็บไว้ และก็ได้เอาท่อนแขนมาให้ดู แล้วเจ้าเมืองจึงให้ไป
เรียกพรานป่ามาถามว่าพรานน้ำนี้มันมาจากไหน พรานตอบว่ามาจากโพรงไม้ในป่าแห่งหนึ่ง
เจ้าเมืองจึงไปหาพระและเล่าเรื่องให้พระฟัง พระจึงเล่าเรื่องหญิงแม่หม้ายและมีลูกชายเกเรให้
เจ้าเมืองฟัง จนถึงตอนที่ลูกชายคนนั้นเอาของมาทิ้งไว้จนกลายเป็นเหล้า ฝ่ายเจ้าเมืองจึงคิดว่า
ยังดีที่ เราไม่ตาย ถ้ากินมากกว่านี้คงจะต้องตายเป็นแน่ เจ้าเมืองจึงคิดว่าให้เป็นศีลข้อหนึ่ง
ต่อมาเจ้าเมืองจึง ไม่กินเหล้าตลอดมา ศีลนั้นมีว่า สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณีสิกขาปทังสมาธิยามิ
เจ้าเมืองจึงใช้ เสนาอำมาตย์ไปฟันต้นไม้ต้นนั้น เสนาอำมาตย์จึงพบรากไม้ ผลไม้ พริก
ฯลฯ จึงได้เอามาทำเหล้าจน ตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนท่อนแขนของเมียเจ้าเมืองก็มาฝังไว้ที่ต้นไม้ไร่จามมอน
จาก ด้วยปัญญาและความรัก นิทานของชาวไทยวน นิทานของชาวไทลื้อ นิทานของชาว ไทใหญ่
นิทานของชาวไทเขิน