Procol Harum
สมัยเดียวกันที่ตั้งหน้าตั้งตาฟังเพลงฮาร์ดร็อค ก็มีอยู่เพลงหนึ่งที่คนชอบ แกะ ไปเล่น คือ เพลง A Whiter Shade Of Pale ของวง Procol Harum จากอังกฤษ แนวดนตรีช่วงต้นๆจะมาในสไตล์ไซคีเดลิคร็อก ต่อมาพัฒนามาเป็น Progressive Rock
ก็สมราคาอยู่หรอกเพราะเพลงนี้คว้าแผ่นเสียงทองคำมาเหมือนกัน และนี่ก็เป็นอีกเพลงหนึ่งที่หาฟังยากในคลื่นวิทยุกรุงเทพฯ ปัจจุบัน
การมอบแผ่นเสียงทองคำสมัยนั้นเขาวัดจาก 2 ประเภท ถ้าเป็นแผ่น Single ขายถึง 1 ล้านแผ่นก็ได้ไปเลย แต่ถ้าเป็นอัลบั้มหรือ Long Play ต้องขายให้ได้เงิน(หน้าโรงงาน) 1 ล้านปอนด์หรือครบ 1 ล้านเหรียญก็ได้ไปเลยเช่นกัน
เขาไม่ได้ตั้งกรรมการมาตรวจพิจารณาแต่ละเพลงเหมือนกับบ้านเรา
เมื่อปลายปี 2549 ได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดอุดรธานี และมีโอกาสได้ฟัง Dr.No พี่ชายป๋ากับเพื่อนเขาเล่นให้ฟังที่ร้านอาหาร ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ สมัยก่อน
เพลง A Whiter Shade Of Pale เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองและเมโลดี้ออร์แกนไพเราะมาก จังหวะช้าๆ ร้องเสียงนุ่มๆ สมัยก่อนเขาก็มักจะเล่นเพลงนี้ช่วงขึ้นเพลงของแต่ละช่วง ได้ยินแค่ Intro ก็หูผึ่งกันแล้ว
ตอนออกเพลงมาก็มาชนกับเพลง Nights in White Satin ของวง The Moody Blues พอดิบพอดี ก็เลยกลายเป็นเพลงดังทั้งคู่ และร้องนิ่มๆ เนิบๆ เหมือนกันด้วย สมัยข้ามมาปี 1970-1971 วงไหนก็ร้องกันทั้งนั้น
สมัยนี้ใครหยิบ 2 เพลงนี้มาเปิด คิดว่าคนรุ่นเก๋าแบบป๋าคงจะอดร้องตามไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าเสน่ห์ของเพลงนี้ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำเลย
เพลง A Whiter Shade Of Pale ( ซึมจนซีด ) สร้างสรรค์ขึ้นมาตั้งแต่ปี 1967 แต่ก็ไม่เคยเลือนไปจากหูผู้ฟัง และได้กลับมาเป็นที่นิยมกันอีกช่วงปี 1970 ซึ่งหลังจากนั้นก็เป็นเพลงในลิสต์ของนักดนตรีสากลเกือบทุกวงที่จะต้องเล่น
เที่ยวตามบาร์หรือแม้กระทั่งไนต์คลับก็ยังเล่นกันอยู่หลายปี กว่าจะหลงๆ ลืมๆ กันไปหลังยุค 70's
วง Procol Harum มีเพลงดังติดหูคนฟังอยู่ไม่กี่เพลง ทั้งๆที่เพลงของพวกนี้ส่วนใหญ่จะไพเราะทั้งนั้น ไม่ว่าเพลง A Salty Dog ที่มาในลีลาโอเปรา คลาสสิค เพลง Long Gone Geek กับเพลง Wish Me Well ที่ฟังหนสองหนก็ ติดหู แล้ว
ถ้าถามว่าเพลงที่น่าฟังลองจากเพลง A Whiter Shade Of Pale แล้วมีเพลงอะไร ? ก็ขอแนะนำให้ฟังเพลง Boredom กับเพลง Whiskey Train เพราะเพลงแรกที่แนะนำนี้มีความโดดเด่นที่จังหวะและการประสานเสียงดนตรี
ขึ้นเสียงเคาะแทมโบรินก่อน ตามด้วยเสียงใสๆ ของกีตาร์โปรง ตามด้วยเสียงเบส และเสียงคล้ายเสียงฟรุ๊ต เมโลดี้ขึ้นเรียบง่ายแต่นุ่มนวล มีทั้งเสียงบองโก ระนาดไฟฟ้า ฟังแล้วเพลินดี
ส่วนเพลง Whiskey Train เล่นได้เจ๋งโครต ขึ้น ด้วยเสียงกีตาร์ และเล่นเป็น Riff ไปโดยปริยาย จะว่าไปแล้วเสียงกีตาร์ของเพลงนี้ก็ไม่ต่างจากเพลง Rock Bottom ของวง UFO นั่นแหละ ! ท่อนโซโลสำเนียงก็ไม่เชย ฟังเผินๆ จะนึกว่าเป็นเพลงยุคหลังๆ ไป
ถ้าชอบสไตล์บลูส์แบบโบราณก็มีเพลง Juicy John Pink ใช้กีตาร์ไฟฟ้าเป็นเครื่องดนตรีนำ ประสานกับเสียงหีบเพลงปาก และเสียงร้องที่ ใช่เลย !
วงนี้แม้จะอยู่นานเป็น 30 กว่าปีแต่สมาชิกวงเปลี่ยนบ่อยมาก คงจะเป็นเพราะความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนมีมากกระมัง หลังจากออก Single และออกอัลบั้มชุด A Whiter Shade Of Pale ได้ไม่นานสมาชิกวง 2 คนคือมือกีตาร์กับมือกลองก็แยกทางไปตั้งวงใหม่ ต้องหาคนมาแทน
สมาชิกวงรุ่นบุกเบิกก็มีนักแต่งเพลงรวมหัวกันกับ Ray Royer มือกีตาร์และ David Knights มือเบส อัดแผ่น Single เพลง A Whiter Shade Of Pale ออกมา นักดนตรีอื่นๆใช้มืออาชีพหรือมือแบ็กอัพ พอเพลงได้รับความนิยมก็เลยตั้งเป็นวงเป็นเรื่องเป็นราว
สมาชิกวงตอนออกอัลบั้มที่สองที่สาม สมาชิกประกอบด้วย David Knights เบส B.J. Wilson กลอง Matthew Fisher ออร์แกนและร้องนำ Gary Brooker เปียโนและร้องนำ และมี Robin Trower กีตาร์และร้องนำ ส่วนคนแต่งเนื้อเพลงก็คือ Keith Reid
ถึงแม้ผลงานระยะหลังจะไม่สามารถทำแต้มคนฟังได้อย่างเก่า แต่ก็ยอดเยี่ยมพอที่จะกลายเป็นตำนานเพลง เฮฟวี่ - ฮาร์ร็อค ได้สบายๆ
The Moody Blues
วง The Moody Blues เป็นวงจากอังกฤษ มีชื่อเสียงที่สุดจากเพลง Nights In White Satin ที่ดังมาพร้อมๆ กับ A Whiter Shad Of Pale ของวง Procol Harum ปลายยุค 60's
วงนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1964 มีสมาชิก คือ Ray Thomas เล่นฟรุ๊ต / ฮาร์โมนิกา Michael Pinder คีย์บอร์ด ทั้งสองคนนี้เป็นสมาชิกรุ่นก่อตั้ง Denny Laine กีตาร์ / ร้องนำ Graeme Edge กลอง และ Clint Warwick เล่นเบส อายุของวงประมาณ 20 ปี มีการเปลี่ยนแปลงนักดนตรีเป็นระยะ
สไตล์การเล่นเป็นแบบ Progressive Rock รุ่นเก๋า ออกอัลบั้มแรก Days of Future Passed ในปี 1967 แต่ไม่ดัง
สำหรับยุคสมัยป๋าแล้ว เพลงเด่นๆ จากวงนี้ก็มีเพลง Question ที่ออกมาเมื่อปี 1970 ความจริงเพลงนี้เป็นของสมาชิกวงและ แวะ ไปทำแผ่นส่วนตัว บังเอิ๊ญบังเอิญเพลงมันดัง
ถัดมาอีก 2 ปีก็มีเพลงฮิตอีกเหมือนกัน คือ เพลง After You Came กับเพลง Isn't Life Strange
พูดถึงเพลงอื่นๆแล้ว.....ก็ดี แต่ไม่ ติดหู เท่าไหร่
เพลงจากวงนี้ก็เห็นเล่นกันแต่เพลง Nights In White Satin เท่านั้น
Yes ดนตรีใสสะอาด
ช่วงปี 1970 1971 พวกเราก็ได้ยินได้ฟังเพลงของวง Yes แล้ว เพราะวงนี้ออกอัลบั้มแรกในยุโรป ( อังกฤษบ้านเกิด ) ประมาณกลางปี 1969 และช่วงปลายปีก็วางแผ่นเสียงในสหรัฐฯ และก็แน่นอนพวก Gis ก็หิ้วแผ่นออกมาจากแคมป์มาเปิดสู่กันฟัง ชีวิตทหารอเมริกันเป็นไปอย่างเรียบง่าย ถึงคราวออกสนามรบก็ไปรบ ถึงคราวพักก็พักผ่อนกัน การมีฐานทัพอเมริกันในจังหวัดอุดรฯก็มีส่วนดี เพราะทำให้เงินสะพัด ผู้คนคึกคัก
ถ้าเป็นฝรั่งระดับเจ้านายก็หาบ้านพักหรูๆ ริมหนองประจักษ์บ้าง อยู่แถวหลังซอยวิทยาลัยครูจังหวัดอุดรธานีบ้าง ซึ่งแต่ละแห่งก็ไม่ไกลจากสนามบิน ขับรถไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง ส่วนข้อเสียก็มีไม่ใช่มองเฉพาะอุดรธานีกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ไป เพราะฝรั่งบางคนก็ ล่อ ยาเสพติด ส่วนใหญ่จะนิยมดูดกัญชา บางคนยังริอ่านค้ายาด้วย ส่งตู้ลำโพงกลับบ้านแต่ไส้ในยัดกัญชาหอถุงพลาสติกแน่น ก็แล้วแต่จะคิดจะสรรหาวิธีปิดบังอำพราง
บางคนก็เอา มอร์ฟีน ที่เขาเอาไว้ใช้เวลาบาดเจ็บเพื่อลดอาการเจ็บปวด เอามาสูดดมให้เมาเล่นๆ รูปร่างของมันเป็นแท่งแก้วห่อหุ้มด้วยผ้าตาข่ายสีเหลือง แค่หักเป๊าะ....ก็ใช้ได้แล้ว
ช่วงปี 1969 บ้านเรายังไม่มีกระแสต่อต้านไล่ทหารอเมริกัน โกโฮม แต่ที่เมืองนอกมีอยู่แล้ว พวกเขาไม่ต้องการสงคราม พวกเขาต้องการให้ทหารกลับบ้าน พวกเขาต้องการสันติภาพ อย่างที่คนอเมริกันแสดงออกด้วยการปลุกระดมมวลชน เปิดเวทีปราศรัย บางคนก็แต่งเป็นเพลงต่อต้านสงคราม (Protest Song)
ยุคสมัยนี้ (2007) ก็เพิ่งจะเห็นข่าวออกทางโทรทัศน์เมื่อวันสองวันมานี้ มีการเดินขบวนในหลายพื้นที่กระจายไปทั่วสหรัฐอเมริกา เรียกร้องให้ถอนทหารอเมริกันออกจากสนามรบอิรัก ดูๆ ไปชัก ประวัติศาสตร์ จะซ้ำรอยแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเพลงที่ออกมาต่อต้านสงครามจริงๆ จังๆ เลยนะ
เสียงเพลงจากวง Yes เป็นเพลงที่ฟังดี ฟังแล้วสบายหู เพราะแต่งเพลงได้สะอาดหมดจด การเรียบเรียงเสียงดนตรีทำได้ยอดเยี่ยมเสมอต้นเสมอปลาย แต่การแสดงออกของวงนี้ได้รับอิทธิพลจากพวกไซคีเดลิกชัดเจน เล่นสีฉูดฉาดตามยุคสมัยฮิปปี้กำลังมาแรง แนวเพลงต้องบอกว่าเป็นแนว Progressive Rock หรือถ้าจะให้ชัดเขาจะเรียกว่าแนว Art Rock
เมื่อวง The Who ถือว่าเป็น Rock Opera สำหรับวงนี้ก็ต้องถือว่ามาในแนวเดียวกัน แต่จะขาดความดิบ เพราะ Yes จะขัดเกลาทุกอย่างจนเพลงออกมาจนฟังดูแล้วสะอาดหมดจด
สะอาด....จนเหมาะจะเปิดฟังเพลินๆ ไม่คิดจะแกะเพลงมาเล่น หรือถ้าจะเอามาเล่นก็ต้องเล่นเป็นวงใหญ่ให้ครบเครื่องไปเลย ถึงจะมัน !
ถ้าเอาไปเปรียบกับวง Pink Floyd ก็มีความต่างที่วง Pink Floyd ฟังดนตรีแล้วจะติดหูมากกว่า และถ้าจะเอาไปเปรียบกับวง King Crimson ก็ดูจะใกล้เคียง แต่เพลงจากวง Yes ฟังสบายกว่า
วงนี้ก็อายุยืนราวสามสิบปีเหมือนกัน คือ ตั้งวงที่กรุงลอนดอนเมื่อปี 1968 สมาชิกวงช่วงปี 1969-1970 ประกอบด้วย Jon Anderson ร้องนำ Peter Banks กีตาร์ Tony Kaye คีย์บอร์ด Cris Squire เบสกีตาร์ และ Bill Bruford กลอง
อยู่กันได้ประมาณปีก็เปลี่ยนนักดนตรี คือ Peter Banks มือกีตาร์ออกแล้วได้ Steve Howe มาแทน คนอื่นยังอยู่ครบ ถัดมาเจ้า Tony Kaye มือคีย์บอร์ดออกก็ได้ Rick Wakeman มาแทน ก็มีการปรับเข้าปรับออกเป็นระยะอย่างนี้ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เมื่อปี 2002 สมาชิกวงประกอบด้วย Jon Anderson นักร้องนำคนเก่ายังอยู่ Steve Howe มือกีตาร์ยังอยู่ ( ตอนหลังออกไปและไปก่อตั้งวง Asia) Rick Wakeman ยังอยู่ Cris Squire มือเบสยังอยู่ และมือกลอง Alan White ยังอยู่เช่นกัน ความจริงมือกลองคนนี้เข้ามาอยู่กับวงตั้งแต่ปี 1972 แล้วเคยออกไปพักหนึ่งก็กลับมาใหม่ ถ้าจะบอกว่า เจ้าหมอนี่ เป็นมือกลองตัวจริงของวงก็คงไม่ผิด เพราะตีกลองให้กับวงมาเป็นสิบๆ ปี
เพลง Survival เป็นเพลงแรกที่วงการดนตรียอมรับ ขึ้น Intro ด้วยเสียงกีตาร์ติด วาว เมโลดี้ขึ้นเพลงจำได้ง่ายๆ แต่ท่วงทำนองคล้ายๆ กับดนตรีคลาสสิค คือ เล่นเร็วๆ ช่วงต้นแล้วไปเล่นช้าๆ ก่อนจะปล่อยเสียร้องที่ไพเราะ นุ่มหู มีเสียง คอรัส เป็นช่วง ๆ
ช่วงต้นๆ ปี 1970 ก็มีเพลง Time And A Word ติดตามออกมา เพลงนี้ก็ฟังได้เพลินเหมือนกัน มีคอรัสเป็นช่วงๆ เช่นเดิม ท่วงทำนองก็มาแนวเดียวกัน คือ สไตล์เพลงคลาสสิก ดนตรีกระหึ่มดีทีเดียว
ในปีถัดมาก็มีเพลง Star Trooper ก็ยังคงเส้นคงวาตามสไตล์ของวง แต่เพลงนี้เดินเบสได้มันดี ไหลยังกะน้ำ เสียงร้องก็ด้วย เรียกว่าไต่ไปตามตัวโน๊ตยังไงยังงั้น
เพลงจากวงนี้เป็นเพลงที่ดีมาก แต่ก็หาคนเล่นไม่ได้เหมือนกัน
ก็อย่างที่บอกนั่นหล่ะ คงได้แต่ฟังอย่างเดียว
อย่าว่าแต่ให้แกะดนตรีมาเล่นเลย เอาแค่ร้องอย่างเดียวก็ อ๊วก แล้ว !
เพลงที่คนหยิบมาเล่นจะเป็นเพลงในรุ่นหลังของวง Yes คือ เพลง Owner Of A Lonely Heart ซึ่งออกเพลงนี้มาตั้งแต่ปลายปี 1983
ร้องกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะจังหวะ ท่วงทำนองออกมาทางตลาดหน่อยๆ แต่ขอบอก เล่นไม่ใช่ง่ายเลยนะ
ยิ่งท่อนโซโลต้องแกะกันเหงื่อตก ไหนจะต้องแต่งเสียงออกมาให้เหมือน ....โอ้ย ! ทรมานจริงๆ
ถ้าจะถามว่าควรจะซื้อ CD ชุดไหนมาฟัง ก็ต้องบอกว่าให้ซื้อรวมชุดเลยดีกว่า เพราะเพลงเขาเยี่ยมทุกเพลง และแต่ละเพลงส่วนใหญ่จะเล่นนานด้วย
รับรองฟังแล้วไม่ผิดหวังแน่ เชื่อป๋าเถอะ !

Home
|