HeaVy – HardRocK มันส์โคตรรุ่นป๋า
- 25 -

Wishbone Ash

ปี 1970 เป็นปีทองของวงฮาร์ดร็อคดังอย่าง “Deed Purple” พวกเราก็แกะเพลงกันเพลิน แล้วจู่ๆ ก็มีเพลงใหม่ๆ ทะลุลำโพงวิทยุออกมา จะว่าเป็น Duane Allman ก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้สไลด์สายกีตาร์ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่เชิงเพราะเล่นลีดกีตาร์กัดกัน 2 ตัว แต่สุดท้ายก็ได้รับคำตอบ

“ นี่เป็นเพลงของวงน้องใหม่แห่งวงการฮาร์ดร็อคอังกฤษ Wishbone Ash ครับ ”

มือกีตาร์ได้ฟังเพลงของวงนี้แล้วคงจะคิดเหมือนกัน “ มันทำยังไงของมันฟะ โซโลกีตาร์กัดกันยาวเหยียด ”

ยุคสมัยนั้นก็มีอยู่หลายวงเหมือนกันที่เล่นลีดกีตาร์คู่ และต้องยอมรับว่าฝีมือกีตาร์ของวงนี้ไม่เบาเลยทีเดียว ยิ่งได้มือโซโลรุ่นพี่อย่าง Ritchie Blackmore แห่งวง Deep Purple การันตีให้ยิ่งหายห่วง

เรื่องของเรื่องมีว่า Ritchie Blackmore กำลังปรับเครื่องเสียงอยู่บนเวทีอยู่ แล้วเจ้า Andy Powell (กีตาร์ “ กิบสัน ฟลายอิ้ง วี ” ) ก็ย่องเสียบแอมป์ขอแจมกีตาร์ด้วย สองคนคงฟัดกันมันมาก สุดท้าย Blackmore ก็ส่งเจ้าหมอนี่ไปหา Derek Lawrence มือโปรดิวเซอร์ระดับตำนานของวง Deep Purple เอง

“ ช่วยหนุนส่งพวกมันหน่อยเถอะ !”

นี่เป็นที่มาของ Wishbone Ash !

Martin Turner กับ Steve Upton เล่นดนตรีด้วยกันมาก่อน ตอนหลังเข้ามาลอนดอนก็เลยเล่นเป็นวงโดยมี Ted Turner กับ Andy Powell ร่วมด้วย รวมใหม่ๆ ก็เล่นเพลงสไตล์ Folk-Jazz ที่ผับ Henry's Bllues House ใน Birmingham แล้วมาเจอกับสมาชิกวง Deep purple นั่นแหละ

แล้ว “ Phoenix ” เพลงดังแห่งยุคก็เกิดขึ้นมาด้วยความยาว 13 นาที “ เถ้ากระดูกเสี่ยงโชค ” ก็เป็นที่รู้จักนับแต่นั้น

กลิ่นไอของ “Heavy Metal” โชยออกมาจากเพลง “Queen Of Torture” กับเพลง “Lady Whiskey”

ปี 1971 ออกอัลบั้มที่ 2 ชื่อ “Pilgrimage” ชุดนี้ส่วนใหญ่จะเล่นดนตรีให้ฟัง มีแค่บางเพลงและเนื้อร้องสั้นๆ ออกแผ่นมาแบบนี้เป็นที่ถูกอกถูกใจมือกีตาร์จริงๆ

แต่... “ ไม่ได้แกะ....เหมือนเดิม !

ได้แต่ฟังลูกเดียว ” !!

ถัดมาปี 1972 ออก “Argus” มา ก็ยังมาแนวเดิม คือ ลีดกีตาร์กัดกันฟัดกันนัวเนีย แค่ 3 อัลบั้มก็เขย่าวงการ “Heavy Metal” แล้ว ชื่อชั้นติดอันดับโลกไม่แพ้วงรุ่นพี่ เพราะอัลบั้มนี้ได้รับเลือกเป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี 1972

ชุดที่สี่ “Wishbone Four” ชุดนี้ไม่มีโปรดิวเซอร์คนเดิม แต่ก็ติดตลาดเช่นเคย และฟังดูแล้วจะฟังง่ายกว่าอัลบั้มอื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้า

กีตาร์คู่คนหนึ่ง คือ Ted Turner ถนัดนิ่มๆ เมโลดี้หวานๆ อีกคนหนึ่ง คือ Andy Powe ถนัดดุดันรวดเร็ว ก็ยังคงไว้ในอัลบั้มชุดนี้ แต่การที่ทำเรียบเรียงเสียงประสานเอง เราก็ได้เห็นฝีไม้ลายมือกันชัดๆ ว่า ความสามารถของพวกนี้ไม่แพ้ใครจริง

โครตๆ กีตาร์ด้วยกันทั้งคู่ ลีดกันตลอดทุกเพลงว่างั้นเถอะ !

เพลงดังชุดที่ 4 ก็มีเพลง “Ballad Of The Beacon” กับ “Doctor” แต่สำหรับพวกเรากลับชอบเพลง “Everybody Need A Friends” กับ “Ballad Of The Beacon” มากกว่า ฟังแล้วติดหูดี ลีดกีตาร์ก็หวานซึ้งกินใจ

ความจริงพวกป๋าก็เล่นแค่เพลง “Everybody Need A Friends” เท่านั้น เพลงอื่นชอบฟัง แม้เพลง “Ballad Of The Beacon” จะไพเราะมาก ก็ได้แต่ฟัง ไม่มีปัญญาไปแกะเล่น

เพลง “Everybody Need A Friends” เป็นเพลงท่วงทำนองช้าๆ และเนื้อหาเพลงดี ถูกใจผู้ฟัง โซโลกีตาร์แม้จะยาวเฟื้อยและมี 2 ช่วง ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แกะเพลงเล่นได้สบายๆ ลูกโซโลออกหวานๆ ซึ้งๆ เสียด้วย

ยุคนั้นถ้าใครไม่เล่นเพลงนี้ก็นับว่าเชย เพราะถ้าไม่เล่นก็มีคนขอเพลงให้เล่นอยู่แล้ว และก็เล่นเพลงนี้เป็นเพลงประจำวงมายาวนาน แม้ถึงทุกวันนี้จะไม่มีวงดนตรีกับใครเขาแล้ว เวลาหยิบกีตาร์ขึ้นมา ก็อดจะไม่เล่นเพลงนี้ไม่ได้

เอาเป็นว่าเพลง “Everybody Need A Friends” กลายเป็น 1 ในหลายเพลงที่เป็นเพลงอมตะสำหรับ “ ป๋า ” ไปแล้ว

น้ำเสียงของกีตาร์วงนี้จะแปลกกว่าชาวบ้าน ลองฟังดูสิ บางทีก็เหมือนเสียงปี่ บางทีเสียงก็เหมือนลงไปโซโลในโอ่ง ยังไงยังงั้น !!

ชื่อเสียงของวงนี้และผลงานเพลงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่คิดว่าไม่ค่อยถูกคอคนรุ่นใหม่เท่าไหร่ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิกเล่น

สมาชิกวงรุ่นแรกๆ คือ ช่วง 1969-1973 ประกอบด้วย Martin Turner ร้องและกีตาร์เบส Steve Upton กลอง มือกีตาร์และร้องมี 2 คน คือ Andy Powell มือกีตาร์กิบสัน “ ฟลายอิ้ง วี ” กับ Ted Turner หลังจากนั้น Ted Turner ออกจึงได้ Laurie Wisefield มาเล่นแทนและอยู่กับวงนับ 10 ปี

ถ้ายังไม่มีก็ไปหา CD “Wishbone Four” มาฟังเสียดีๆ เป็นเพลงที่ไพเราะจริงๆ เพลงอื่นก็ฟังคุ้มค่าเงิน แต่ถ้าเกิดชอบก็ต้องไปกวาดชุด 1-3 มาฟังได้เลย เพราะลีดกีตาร์เพลินมากๆ

พวกชอบกีตาร์ Jazz จะไปหามาฟังบ้างก็ดีนะ แนะนำเอาชุด “Argus” จะเหมาะกว่า !!

Thin Lizzy

นี่เป็นวงเก่ารุ่นตั้งแต่ปี 1969 แต่มาออกแผ่นครั้งแรกปี 1970 และเพลงที่รู้จักสมัยนั้นมีอยู่ไม่กี่เพลง ที่ดังสุดๆ คือเพลง “Whiskey In The Jar” ฝีไม้ลายมือกลุ่มนักดนตรีชาวไอลิชนี่ไม่เบา เพราะชื่อเสียงขายได้มาจนถึงทุกวันนี้ บางช่วงของวงก็เกิดหนึ่งในตำนานมือกีตาร์ลีดที่หวานแห๋วขึ้นมาเหมือนกัน เพราะ Gary Moore เคยมาอยู่กับวงนี้ตอนทำอัลบั้มที่ 3 เพราะฉะนั้นถ้าใครซื้อ CD รวมชุดเพลงดังของวง อย่าได้แปลกใจเลยทำไมมีเพลง Parisene Walkways เข้ามาอยู่ด้วย

ความต่างของเพลงเดียวกันแต่คนละชุดจะอยู่ตรงที่ เล่นกับ Thin Lizzy จะเล่นดนตรีเนิบนาบและช้ากว่าอัลบั้มโซโลของ Gary Moore

สังเกตดูหนุ่มกรุงเทพฯทุกวันนี้ดูจะเป็นแฟน Gary moore กันมากเลยทีเดียว

ก็ไม่น่าจะแปลกใจอะไร เพราะทางเมโลดี้จะออกมาหวานเจี๊ยบ และนุ่มนวลแบบมีเอกลักษณ์นั่นเอง ถ้าใครชอบเพลงนี้ก็ลองไปหาเพลงเก่าของ V.I.P. ฟังดู ท่วงทำนองไม่ค่อยต่างกันกับเพลง “Night In Bangkok ” นี่หมายถึงว่า....ถ้าหาเทปตลับนั้นได้นะ

ความจริงเพลง “Whiskey In The Jar” เป็นเพลงพื้นเมืองของชาวไอริช บอกเล่าเรื่องราวของคนแถบภูเขา Cork กับ Kerry ที่มีต่อคนรัก มีคนเอามาร้องมาทำเพลงกันหลายเจ้า ถ้าเป็นของ Thin Lizzy จะเมโลดี้กีต้าร์ชัดๆ ขึ้นนำเพลง ฟังรอบเดียวก็ “ ติดหู ” และอยากหยิบกีตาร์ขึ้นมาแกะเพลงเลยทีเดียว

เพลงอื่นๆ เท่าที่จำได้ก็มีเพลง “The Boys Are Back In Town” กับเพลง “Cowboy Song” จากอัลบั้ม “Jailbreak” เพลงอื่นๆ ก็มีแต่ไม่คุ้นหู สถานีวิทยุบ้านเราก็ไม่ค่อยจะเปิดให้ฟังด้วย ทั้งๆที่ในยุโรป ดังติดอันดับเลยทีเดียว วงนี้ยังมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้

ฮาร์ดร็อคแบบ “ ไม่ ดุเดือดโครมคราม ” วงนี้ ตั้งวงกันที่ Dublin เมืองหลวงของไอร์แลนด์ หัวหน้าวงก็คือ Phil Lynott มือเบส ร้องและแต่งเพลง Eric Bell กีตาร์ Brian Downey กลอง และ Eric Wrixon คีย์บอร์ด ช่วงปี 1974 เหลือกันอยู่ 3 คน และมีคนใหม่เข้ามาด้วย คือ Phil Lynott, Brian Downey กับ Gary Moore เล่นกีตาร์ ต่อมาในกลางปี 1974 มือกีตาร์คนใหม่คือ Gary Moore ก็ออกเลยปรับปรุงสมาชิกวงใหม่และอยู่กันยาวถึงปี 1978 ซึ่งรุ่นนี้ก็มี Phil Lynott เล่นในตำแหน่งเดิม Brian Downey ตีกลองให้เหมือนเดิม แต่ได้มือกีตาร์มา 2 คน คือ Brian Robertson กับ Scott Gorham

ถัดจากนั้นก็มีผลงานเพลงและปรับปรุงสมาชิกวงเป็นระยะ ซึ่งก็น่าจะถือว่านี่เป็นอีกหนึ่งวงที่มีชื่อเสียงในอดีต แต่มีเพลง “ โดน ” จริงๆ อยู่ไม่เท่าไหร่

Vanilla Fudge ฮาร์ดร็อคโคตรเก๋า

ก่อนจะถึงงานมหกรรมดนตรี Woodstock 1969 ประมาณ 2 ปีกว่า ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาก็มีกลุ่มนักดนตรี “ ผ่าเหล่า ” ปรากฏขึ้น พวกนี้เล่นเพลงในสไตล์ที่ยุคนั้นเรียกว่า “ ไซคีเดลิก ร็อค ” แต่ “ ป๋า ” บอกว่า พวกนี้เป็นต้นกำเนิด Hard Rock ชัดๆ เพราะกีต้า เบส กลอง ออร์แกน กระหน่ำหูคนฟังแทบจะแตก ด้วยเสียงเพลง “You Keep Me Hangin' On” แล้วเพลงนี้ก็ติดอันดับยอดนิยมในช่วงปี 1967 ด้วย

ถ้าเราชอบเพลงอย่างวง Uriah Heep ก็น่าจะลองฟังดู บางเพลงของวงนี้เดินดนตรีไปทางเดียวกัน ทั้งๆ ที่อยู่กันคนละซีกโลกและอยู่กันคนละช่วงเวลา

ทุกวันนี้ถ้าใครหา CD ฟังได้ ก็น่าจะซื้อหามาลองฟังดู เล่นและร้องได้ดีทีเดียว ความมันจะอยู่ที่เครื่องดนตรีที่เล่นเป็นไปตามยุคสมัย มีแต่ออร์แกนยังไม่มีคีย์บอร์ด

ลีลาเล้าใจต้องยกให้ Vanilla Fudge ขนาด Steppenwolf เจ้าของเพลง “Born To Be Wild” ที่ดังในช่วงเดียวกันยังขยาดเลย

ความจริงทั้ง 2 วงก็เคยออกรายการดังในสถานีโทรทัศน์ซานฟรานซิสโก รายการ “Ed Sullivan's” Rock ‘n' Roll ซึ่งรายการนี้จะเลือกเอาสุดยอดแต่ละวงมาออกอากาศ ขนาดวง The Beatles ยังต้องมาออกรายการนี้เลยเมื่อปี 1964 ตอนนั้นวงอเมริกันก็มี “Bea..” เหมือนกัน แต่เป็น “The Beach Boy” แต่ก็สู้ 4 หนุ่มจากอังกฤษไม่ได้ !

ออกเพลงมาไม่กี่อัลบั้มในช่วงปี 1967-1970, ส่วนนักดนตรีมี Mark Stein เล่นออร์แกน Tim Bogert กีตาร์เบส Vince Martell กีตาร์ลีด และ Carmine Appice กลอง เพลงเด่นเพลงอื่นๆ ที่รู้จักกันก็มี “Take Me For A Little While”, Where Is My Mind, Ticket To Ride,Season Of The Witch, Shotgun และเพลง “Good Good Lovin” ก็เล่นได้มันระเบิดถึงใจ

ป๋าว่าวงนี้น่าจะเป็นต้นแบบให้กับนักดนตรีอเมริกันรุ่นหลังๆ หลายวงเลยทีเดียว โดยเฉพาะการเล่นดนตรีที่สนุก ดุเด็ด เผ็ดมัน !!

ยังไงๆ ก็ไปควานหามาเป็นสมบัติให้ได้นะ เพราะนับชนปีนี้ (2007) เวลาก็ผ่านมาร่วม 40 ปีแล้ว สมัยนั้นก็ยังมีคนเล่นดนตรีแบบสมัยนี้ได้เหมือนกัน !

Next

Home