กรณีศึกษาจากการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าด้วยกล้องส่องหาความร้อน
www.hellogear.com
ปัจจุบันการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าด้วยวิธีการบำรุงรักษาเชิงป้องกันเป็นกลยุทธหนึ่งที่ได้รับความนิยมใช้เป็นอย่างสูงในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม โดยรูปแบบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าวนั้นมีหลากหลายวิธีเช่นกัน บทความนี้เป็นการนำเสนอวิธีการบำรุงรักษาเชิงป้องกันโดยใช้กล้องส่องหาความร้อน ซึ่งในอดีตจนถึงปัจจุบันหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในการบำรุงรักษาเชิงป้องกันทั้งในระบบไฟฟ้าแรงสูงและในโรงงานอุตสาหกรรม
1.บทนำ
ในอดีตถึงปัจจุบันการไฟฟ้าได้มีการก่อสร้างสถานีไฟฟ้า,สายส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหลังจากได้มีการก่อสร้างเสร็จสิ้นและได้มีการใช้งานแล้ว การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าต่างๆก็เป็นกระบวนการที่หน่วยงานนั้นๆ จะต้องดำเนินการต่อไปเพื่อยังคงให้ระบบไฟฟ้าสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องและเกิดความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งกลยุทธ์การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้านั้นก็จะมีหลายหลายรูปแบบ อีกทั้งยังมีแนวทางการเลือกรูปแบบและวีธีการบำรุงรักษาให้เหมาะสมกับอุปกรณ์แตกต่างกันไป ซึ่งจะกล่าวในหัวถัดไป สำหรับการใช้กล้องส่องหาความร้อนเพื่อตรวจสอบจุดสัมผัสทางไฟฟ้านั้น ก็เป็นวิธีการหรือแนวทางหนึ่งในการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ซึ่งจะช่วยทำให้เราทราบการเกิดสิ่งผิดปกติในระบบไฟฟ้าล่วงหน้าได้ ซึ่งจากผลการตรวจสอบดังกล่าวทำให้สามารถวางแผน,จัดเตรียมอุปกรณ์-อะไหล่ที่จำเป็น และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขได้อย่างมีประสิทธภาพ,และเพิ่มความเชื่อถือได้อีกด้วย
ถึงแม้การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า โดยใช้กล้องส่องหาความร้อนเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าของหน่วยงานต่างๆมีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามผู้ตรวจสอบจำเป็นจะต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการใช้งานกล้องดังกล่าวเป็นอย่างดี เนื่องจากก่อนการใช้งานกล้องส่องหาความร้อนจำเป็นจะต้องมีการปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆเพื่อให้การวัดค่าอุณหภูมิมีความถูกต้องมากที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ตรวจสอบจะปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆเหมาะสมแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ยังทำให้การวัดค่าอุณหภูมิเกิดความผิดพลาดอยู่ดีแต่จะยังไม่ขอกล่าวในบทความนี้
ดังนั้นในบทความนี้จะเป็นการนำเสนอกลยุทธการบำรุงรักษาในรูปแบบต่างๆและวิธีการเลือกรูปแบบการบำรุงรักษาเบื้องต้น ตลอดจนมีการแนะนำการปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ของกล้องส่องหาความร้อนและสุดท้ายยังได้นำภาพถ่ายจริงที่ถ่ายด้วยกล้องดังกล่าวจากระบบไฟฟ้าจำหน่ายของการไฟฟ้าและในโรงงานอุตสาหกรรมมาเป็นกรณีศึกษาด้วย
2. รูปแบบการบำรุงรักษา
ในการที่จะใช้กลยุทธ์การบำรุงรักษาใดมาใช้กับระบบไฟฟ้านั้น ผู้ปฏิบัติงานด้านบำรุงรักษาจำเป็นจะต้องเข้าใจหลักการของการบำรุงรักษาเพื่อทำให้การบำรุงรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการบำรุงรักษาจะประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆเช่น การบำรุงรักษาแบบป้องกัน(Preventive Maintenance),การบำรุงรักษาแบบแก้ไข(Corrective Maintenance),การตรวจวัดสภาพ(Condition monitoring)และการบำรุงรักษาแบบปรับปรุง(Improvement Maintenance) ซึ่งเราสามารถแบ่งการบำรุงรักษาออกเป็น 3 ส่วนดังต่อไปนี้
แต่สำหรับการบำรุงรักษาแบบป้องกันนั้นยังสามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วนคือการบำรุงรักษาแบบป้องกันทางตรง(Direct Preventive Maintenance) ซึ่งมักจะถูกควบคุมโดยเวลาซึ่งอาจจะเป็นเวลาตามปฏิทิน,จำนวนชั่วโมงการทำงานหรือจำนวนการทำงานของอุปกรณ์เป็นต้นและส่วนที่สองจะเป็นการบำรุงรักษาแบบทางอ้อมซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อระบบหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า และมักจะถูกเรียกว่าการตรวจวัดสภาพ(Condition monitoring) หรือเรียกว่าการบำรุงรักษาตามสภาพ(Condition Based Maintenance หรือ CBM) โดยการเปลี่ยนชิ้นส่วนของอุปกรณ์นั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพจริงของอุปกรณ์นั้นๆดังแสดงในรูปที่1
รูปที่ 1
ผังการบำรุงรักษาแบบป้องกันสำหรับการตรวจวัดสภาพนั้นสามารถแบ่งได้สองวิธี คือการตรวจวัดสภาพแบบใช้ความรู้สึก(Subjective Condition Monitoring) ซึ่งจะเป็นการใช้ความรู้สึกผู้ผู้ตรวจสอบเช่นการฟังเสียง การมองดู การดมกลิ่น และจากผลการตรวจสอบสามารถนำมาใช้ประเมินสภาพของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้และวิธีที่สองจะเป็นการตรวจสภาพแบบใช้อุปกรณ์(Objective Condition Monitoring) ทำโดยการใช้อุปกรณ์ช่วยในการตรวจวัด และค่าที่ตรวจวัดได้สามารถบอกสภาพของอุปกรณ์หรือส่วนประกอบต่างๆได้ และการตรวจวัดสภาพแบบใช้อุปกรณ์ยังสามารถแบ่งได้เป็นอีกสองวิธีคือการตรวจสภาพตามช่วงเวลา(Off-line condition monitoring)ซึ่งหมายถึงพนักงานพร้อมอุปกรณ์ตรวจสอบดำเนินการตรวจสอบอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้านั่นเอง ซึ่งการบำรุงรักษาโดยใช้กล้องส่องหาความร้อนนั้นก็จะอยู่ในวิธีการนี้และอีกวิธีการหนึ่งก็คือการตรวจวัดต่อเนื่อง(On-line condition monitoring) ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์วัดที่ต่อโดยตรงกับอุปกรณ์และค่าที่ได้จากการวัดจะมีการแสดงผลออกมาอย่างต่อเนื่อง
3. การปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ของกล้องส่องหาความร้อน
การวัดค่าความร้อนด้วยกล้องส่องหาความร้อนซึ่งค่าความร้อนและภาพจะได้จากปล่อยรังสีอินฟราเรดจากวัตถุหรืออุปกรณ์ที่ต้องการวัดความร้อน ซึ่งจากการแผ่รังสีอินฟราเรดของวัตถุนั้นก็จะเป็นค่าอุณหภูมิของพื้นผิวของวัตถุนั้นๆนั่นเองและกล้องส่องหาความร้อนจะคำนวณและแสดงผลค่าอุณหภูมิออกมา
รูปที่ 2
การแผ่รังสีในรูปแบบต่างๆถึงอย่างไรก็ตาม การวัดการแผ่รังสีอินฟราเรดโดยใช้กล้องส่องหาความร้อนนั้นจะไม่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของวัตถุเพียงอย่างเดียวแต่จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการปล่อยรังสีของวัตถุนั้นๆด้วย อีกทั้งยังมีการปล่อยรังสีจากวัตถุใกล้เคียงและถูกสะท้อนจากวัตถุด้วย ดังรูปที่ 2 และไม่ว่าการแผ่รังสีทั้งจากวัตถุและจากวัตุถุใกล้เคียงก็จะถูกบรรยากาศซึมซับรังสีทำให้การแผ่รังสีถูกลดทอนลง ดังนั้นการวัดค่าอุณหภูมิจะถูกต้องนั้นจะต้องมีการชดเชยจากผลกระทบต่างๆดังนี้
3.1 ค่าการปล่อยรังสี (Emissivity)
ค่า Emissivity เป็นค่าพารามิเตอร์ที่สำคัญมากค่าหนึ่ง ซึ่งค่าดังกล่าวจะเป็นการแสดงถึงความสามารถในการปล่อยรังสีอินฟราเรดออกจากวัตถุเมื่อเปรียบเทียบกับวัตถุดำ(Blackbody)หรือวัตถุที่ไม่มีการสะท้อนของรังสีอย่างสมบูรณ์
โดยปกติแล้ววัสดุและพื้นผิวของวัตถุนั้นจะมีค่า Emissivity อยู่ระหว่าง 0.1 ถึง 0.95 สำหรับวัสดุที่มีพื้นผิวเงามันจะมีต่ำกว่า 0.1 แต่ขณะที่วัสดุที่มีสนิมหรือถูกทาสีทับนั้นจะมีค่า Emissivity สูง โดยเฉพาะสีน้ำมันจะมีค่า Emissivity มีค่าสูงกว่า 0.9 สำหรับผิวหนังของมนุษย์ก็จะมีค่า Emissivity สูงเกือบมีค่าเท่ากับ 1 ดังตารางที่ 1 ได้แสดงค่า Emissivity วัสดุแต่ละชนิด
ตารางที่ 1
ค่า Emissivities ของวัสดุต่างๆ
Material |
Emissivity |
metals |
|
Aluminum: Polished anodized |
0.05 0.55 |
Brass: rubbed with 80-grit emery heavily oxidized |
0.03 0.61 |
Copper: Polished heavily oxidized |
0.05 0.78 |
Gold: polished |
0.02 |
Iron: cast, polished |
0.21 0.64 0.69 |
Magnesium: polished |
0.07 |
Nickel: electroplate, polished |
0.05 0.37 |
Silver: polished |
0.03 |
Stainless steel (18-8) Buffed oxidized |
0.16 0.85 |
Steel: Polished oxidized |
0.07 0.79 |
Tin: plated sheet |
0.07 |
Others |
|
Brick |
0.93 |
Carbon: candle soot graphite |
0.95 0.98 |
Concrete |
0.92 |
Glass: polished plate |
0.94 |
Lacquer: White matte black |
0.92 0.97 |
Oil: thick coating |
0.82 |
Paint: oil-based |
0.94 |
Paper |
0.93 |
Plaster |
0.91 |
Sand |
0.90 |
Skin, human |
0.98 |
Water: Distilled Ice snow |
0.95 0.96 0.98 |
Wood: planed oak |
0.90 |
3.2 อุณหภูมิของสภาพแวดล้อม
สำหรับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมหรือ Ambient Temperature นั้น ก็เป็นอีกพารามิเตอร์หนึ่งที่ใช้สำหรับชดเชยการสะท้อนของรังสีอินฟราเรดในวัตถุ และการปล่อยรังสีจากบรรยากาศระหว่างกล้องส่องหาความร้อนกับวัตถุ ถ้าวัตถุมีค่า Emissivity ต่ำและกล้องมีระยะห่างจากวัตถุมากอีกทั้งอุณหภูมิของวัตถุมีค่าใกล้เคียงกับอุณหภูมิรอบข้าง การปรับตั้งค่า Ambient Temperature จะมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพื่อชดเชยการตรวจจับอุณหภูมิของวัตถุได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
3.3 ระยะห่างและความชื้นสัมพัทธ์
ระยะห่างนั้นจะหมายถึงระยะห่างระหว่างวัตถุที่ต้องการตรวจจับจนถึงหน้าเลนส์ของกล้องส่องหาความร้อน โดยพารามิเตอร์นี้จะใช้เพื่อปรับแก้ค่าการแผ่รังสีอินฟราเรดให้ถูกต้องเนื่องจากการถูกดูดกลืน(absorb)รังสีระหว่างวัตถุที่ต้องการตรวจจับจนถึงกล้องส่องหาความร้อน อีกทั้งยังปรับแก้การถูกลดทอนของการส่งคลื่นรังสีที่แปรผันกับระยะทาง แต่ถึงอย่างไรกล้องส่องหาความร้อนยังคงจำเป็นต้องมีการชดเชยค่าที่ถูกต้องของการส่งคลื่นรังสีเนื่องจากค่าดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับค่าความชื้นสัมพัทธ์ของบรรยากาศมาก ดังนั้นการปรับค่าความชื้นสัมพัทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมก็จะทำให้การวัดค่าอุณหภูมิของวัตถุถูกต้องและแม่นยำขึ้น สำหรับการวัดอุณหภูมิของวัตถุซึ่งมีระยะค่อนข้างใกล้และมีความชื้นที่สภาวะปกตินั้นโดยปกติการปรับตั้งค่าเริ่มต้นของค่าความชื้นสัมพัทธ์จะปรับตั้งมีค่าเท่ากับ50%
4. กรณีศึกษาของการบำรุงรักษาแบบป้องกันด้วยกล้องส่องหาความร้อน
ปัจจุบันหน่วยงานของผู้เขียน ได้มีการประยุกต์ใช้กล้องส่องหาความร้อนในการบำรุงรักษาระบบสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้า อีกทั้งยังมีนโยบายให้บริการแก่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมด้วย ซึ่งจากประสบการณ์ของ ผู้เขียนที่ได้นำกล้องส่องหาความร้อนมาช่วยในการบำรุงรักษาระบบสายส่งและจำหน่ายไฟฟ้าและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมนั้น สามารถพบสิ่งผิดปกติในระบบไฟฟ้าเนื่องจากสาเหตุต่างๆ อาทิเช่น ค่าความต้านทานสูงที่จุดต่อทางไฟฟ้า,อุปกรณ์หรือสายไฟฟ้ารับภาระทางไฟฟ้าเกินพิกัด,การจัดภาระทางไฟฟ้าแต่เฟสไม่สมดุลย,เกิดกระแสไฟฟ้าไหลในสายศูนย์มากผิดปกติ,เกิดการชำรุดภายในอุปกรณ์ไฟฟ้า และอื่นๆ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวนั้นเป็นสาเหตุที่มีการเกิดเป็นปกติอาจจะมากจากคุณภาพของอุปกรณ์หรือความชำนาญของผู้ปฏิบัติงาน แต่กรณีศึกษาในบทความนี้จะเป็นการนำเสนอเหตุการณ์และรูปภาพที่ได้จากการตรวจระบบไฟฟ้าทั้งในระบบของหน่วยงานของผู้เขียนและโรงงานอุตสาหกรรม ที่ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นบ่อย แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเกิดสิ่งผิดปกติดังกล่าวก็จะส่งผลทำให้เกิดความสูญเสียพลังงานไฟฟ้าและลดความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าไม่ว่าทั้งในส่วนของการไฟฟ้าหรือ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
4.1 การเกิดความร้อนที่ลูกถ้วยในระบบจำหน่ายไฟฟ้า
จากรูปที่ 3 เป็นภาพถ่ายด้วยกล้องส่องหาความร้อนซึ่งพบสิ่งผิดปกติ คือมีเกิดความร้อนขึ้นระหว่างลูกถ้วยลูกที่ 1 และ ลูกถ้วยลูกที่ 2 และจากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่าสิ่งผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุ Preformed มีการสัมผัสกับโลหะด้านบนของลูกถ้วย
รูปที่ 3
การเกิดความร้อนที่ลูกถ้วย4.2 การเกิดความร้อนที่สายดินของสายเคเบิลใต้ดินในสถานีไฟฟ้า
จากรูปที่ 4 เป็นการตรวจสอบระบบไฟฟ้าในสถานีไฟฟ้า พบว่าเกิดความร้อนในสายดินของสายเคเบิลใต้ดินในสถานีไฟฟ้า และจากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้องและได้สันนิฐานว่าสิ่งผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นน่าจะมีเนื่องจากสาเหตุการจัดเรียงลำดับเฟสของสายเคเบิลใต้ดินไม่เหมาะสม และหลังจากทราบสาเหตุเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขเป็นปกติแล้ว
รูปที่ 4
การเกิดความร้อนที่ลูกถ้วย4.3 เกิดความร้อนที่กับดักฟ้าผ่าภายในสถานีไฟฟ้า
จากรูปที่ 5 เป็นภาพการเกิดความร้อนขึ้นที่ตัวกับดักฟ้าผ่าในสถานีไฟฟ้า ซึ่งการเกิดความผิดปกติดังกล่าวอาจทำให้เกิดการระเบิดของอุปกรณ์ดังกล่าวขึ้นได้โดยไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
รูปที่ 5
เกิดความร้อนที่ตัวกับดักฟ้าผ่า
4.4 เกิดความร้อนที่จุดต่อของสายดินเหนือหัวของเสาไฟฟ้าที่มีการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า
จากรูปที่ 6 เป็นภาพการเกิดความร้อนที่จุดต่อของสายดินเหนือหัวของเสาไฟฟ้าที่มีการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า จากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้องและได้ดำเนินการแก้ไขพบว่าเกิดจากสายศูนย์ของระบบไฟฟ้าแรงต่ำที่เสาไฟฟ้าข้างเคียงสัมผัสกับดินเหนือหัว(Overhead Ground wire) ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าแยกไหลผ่านสายดินเหนือหัวกลับไปยังหม้อแปลง และจากภาพแสดงให้เห็นถึงการจัดโหลดไม่สมดุลยของระบบไฟฟ้าแรงต่ำ รวมทั้งการกวดขันจุดต่อของระบบสายดินเหนือหัวไม่แน่นเพียงพออีกด้วย
รูปที่ 6
เกิดความร้อนที่จุดต่อของสายดินเหนือหัว4.5 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในกระบอกฟิวส์
จากรูปที่ 7 เป็นภาพที่พนักงาน กฟภ. ได้ไปดำเนินการให้บริการแก่ผู้ไฟภาคธุรกิจอุตสาหกรรม จากภาพดังกล่าวเป็นฟิวส์ป้องกันของคาปาซิเตอร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า กระบอกฟิวส์เฟส C จะมีความร้อนสูงกว่าเฟสข้างเคียงซึ่งสันนิฐานว่าชุดฟิวส์ link ภายในกระบอกฟิวส์ดังกล่าวเริ่มเกิดการหลอมละลายทำความความร้อนสูงขึ้นผิดปกติ
รูปที่ 7
การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในกระบอกฟิวส์4.7 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในเซอร์กิตเบรคเกอร์
จากรูปภาพที่ 8 ได้แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในเซอร์กิตเบรคเกอร์ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากเซอร์กิตเบรคเกอร์มีการรับภาระทางไฟฟ้ามากทำให้หน้าสัมผัสหรืออุปกรณ์ภายในตัวเซอร์กิตเบรคเกอร์ชำรุด การแก้ไขนั้นอาจจะต้องมีการถอดเซอร์กิตเบรคเกอร์เพื่อดูส่วนประกอบภายในของเซอร์กิตเบรคเกอร์ดูว่าอุปกรณ์ใดชำรุดบ้างก่อนที่จะเกิดความเสียหายหรือระเบิดขึ้น
รูปที่ 8 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในเซอร์กิตเบรคเกอร์
4.8 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่สายศูนย์
จากรูปที่ 9 แสดงถึงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่สายศูนย์ภายในโรงอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งสาเหตุเกิดจากการจัดภาระทางไฟฟ้าไม่สมดุลย์ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลที่สายศูนย์ขึ้น
รูปที่ 9
การเกิดความร้อนสูงผิดที่สายศูนย์4.9 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำ
จากรูปที่ 10 ได้แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำภายในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นได้สันนิษฐานเบื้องต้นเกิดจากการจุดต่อมีการกวดขันไม่แน่นเพียงพอ แต่เมื่อพนักงานได้ทำการตรวจสอบหม้อแปลงลูกอื่นๆบริเวณใกล้เคียงแล้วพบว่าที่ลักษณะที่ใกล้เคียงกัน และจากการสอบถามช่างเทคนิดของโรงงานได้ให้ข้อมูลว่าระบบไฟฟ้าดังกล่าวมีระบบเหมือนกับประเทศญี่ปุ่น(110/220 โวลท์) และจากข้อมูลพื้นฐานดังกล่าวจึงพอสันนิษฐานได้ว่าสาเหตุการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำน่าจะเกิดจากการจัดภาระทางไฟฟ้าของหม้อแปลงไม่สมดุลย์ภายในโรงงาน
รูปที่ 10 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำ
4.10 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่น็อตยึด BUSBAR
จากรูปที่ 11 แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่น็อตยึด BUSBAR ซึ่งเกิดจากสาเหตุการสั่นสะเทือนของหม้อแปลงซึ่งเป็นชนิดติดตั้งภายในอาคารทำให้น็อตยึด BUSBAR ดังกล่าวสั่นสะเทือนด้วยและเกิดการเสียดสีทำให้เกิดความร้อนขึ้น
รูปที่ 11 การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่น็อตยึด BUSBAR
5. สรุป
บทความนี้ได้นำเสนอหลักการการบำรุงรักษาแบบต่างๆและได้แสดงให้เห็นว่าการบำรุงรักษาโดยใช้กล้องส่องความร้อนได้ช่วยพนักงานบำรุงรักษาสามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาในระบบไฟฟ้าได้ถูกต้องและรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามการปรับตั้งค่าพารามิเตอร์ต่างๆของกล้องส่องหาความร้อนเพื่อให้เกิดความแม่นยำในการวัดอุณหภูมิก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าด้วยกล้องส่องหาความร้อนควรให้ความสำคัญกับการปรับค่าพารามิเตอร์ต่างๆให้มีความเหมาะสมกับประเภทของอุปกรณ์ที่ดำเนินการตรวจสอบด้วย
เอกสารอ้างอิง
[1] ศูนย์ศึกษาการจัดการบำรุงรักษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, เอกสารประกองการสัมมนา
กลยุทธในการจัดการบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิผลเพื่อการเติบโตและการอยู่รอดของธุรกิจ, 24-25 กุมภาพันธ์ 2543.[2] AGEMA infrared Systems AB, Thermovisionâ 550 Operation Manual, September 1997.
[3] http://www.fas.org/