นายผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย กล่าวว่า กระแสข่าวที่โจมตีวัดพระธรรมกายในขณะนี้ เป็นขบวนการของผู้ไม่ประสงค์ดีต่อพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะท่านเจ้าอาวาสที่เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ในการพัฒนาพระพุทธศาสนา และมีประชาชนให้ความเลื่อมใสจำนวนมาก จึงปล่อยข่าวออกมาโจมตีต่างๆ นานา
การโจมตีส่วนมากก็เป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้จ่ายเงินที่ประชาชนบริจาคมา และอีกเรื่องที่ทำให้พระสงฆ์เสียหายได้ คือเรื่องของสตรี ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตนขอรับรองว่า ท่านเจ้าอาวาสไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวหาแต่อย่างใด เพราะหากเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาจริง ประชาชนจะไม่มาทำบุญที่วัดมากมายเช่นในปัจจุบันนี้
อย่างไรก็ตาม ตนอยากขอให้พุทธศาสนิกชนช่วยกันพิจารณา และให้ความยุติธรรมกับวัดพระธรรมกายด้วย เพราะที่ผ่านมา วัดพระธรรมกาย ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ โดยพวกเรายังปฏิบัติตัวตามปกติโดยสงบ ไม่ได้โต้ตอบข่าวเหล่านั้น เพราะพวกเรารู้ตัวดีว่า พวกเรากำลังทำอะไร
เมื่อวันที่ 12 ก.พ.2537 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ได้รายงานถึงผลการประชุมกรรมการบริหารวัดพรหมคุณาราม ถึงขั้นมีมติรุมแอนตี้ และถือว่าพระเมตตานันโท ภิกขุ ไม่มีสถานภาพเป็นพระสงฆ์ในพระบวรพุทธศาสนา อีกต่อไป
โดยหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ รายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 37 นายชูศิลป์ พันธุเสวี ประธานคณะกรรมการบริหารวัดพรหมคุณาราม เมืองฟินิกซ์ มลรัฐอริโซน่า เปิดเผยว่า คณะกรรมการและคนไทยในอริโซน่า ได้ติดตามพฤติกรรมของพระเมตตานันโท ภิกขุ แกนนำคนสำคัญของกองทุนสู้คดี นายโจนาธัน ดูดี้ พลเมืองอเมริกันเชื้อสายทไย ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า พระเมตตานันโท กระทำการหลายอย่างไม่เหมาะสมกับการเป็นพระสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนา
คณะกรรมการบริหารวัดพรหมคุณาราม ได้นำเรื่องของพระเมตตา เข้าพิจารณาในที่ประชุม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ม.ค. 37 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปี ที่ประชุมได้มีมติที่สำคัญเกี่ยวกับพระเมตตานันโท รวม 3 เรื่อง คือ
ขาดจากการเป็นภิกษุ
วัดพรหมคุณาราม และคณะกรรมการบริหารวัดไม่ขอต้อนรับ และไม่ต้องการให้พระเมตตาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจวัตรของวัดพรหมฯ อีกต่อไป
คณะกรรมการบริหารวัดไม่ถือว่าพระเมตตา เป็นสงฆ์ในบวรพุทธศาสนา เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมา มีการกระทำที่ผิดวินัยสงฆ์ เช่นการพูดหรือเขียนโกหกหลายๆ ครั้ง เพื่อหาชื่อเสียงและหาปัจจัย
จับตาผู้ที่นำชื่อวัดพรหมคุณารามไปรณรงค์ เพื่อหาชื่อเสียงและปัจจัย
นายชูศิลป์ กล่าวอีกว่า พระทุกรูปที่ประจำอยู่ที่วัดพรหมคุณาราม ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ทุกรูป แต่ทุกท่านไม่มีสิทธิ์ออกเสียง และทางคณะกรรมการฯ จะได้ทำจดหมายแจ้งมติที่ประชุมเกี่ยวกับพระเมตตาให้กับสมัชชาสงฆ์ไทยทั่วสหรัฐอเมริการับรู้ด้วย
จอมโกหก
นายชูศิลป์ อธิบายถึงเรื่องที่กล่าวหาพระเมตตาโกหก โดยละเอียดว่า คดีฆ่าพระและวัดพรหมคุณาราม พระเมตตาได้เขียนจดหมายถึงนายริชาร์ด รอมเล อัยการของมาริโคป้า เค้าท์ซิตี้ ในนามประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา และให้ประธานสมัชชาลงชื่อ ซึ่งเนื้อความในจดหมายพูดโกหกว่า รู้จักกับ นายโจนาธัน ดูดี้ และยืนยันว่า นายโจนาธัน ดูดี้ และยืนยันว่า นายโจนาธัน เป็นเด็กดี ซึ่งความจริงพระเมตตาและท่านประธาน ไม่เคยรู้จักนายโจนาธันเลย
อีกอย่าง พระเมตตา ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์และทีวีในเมืองไทยว่า พระสงฆ์และคนไทยในอเมริกา ถูกคุกคาม ซึ่งไม่เป็นความจริง
ปลุกระดมนักศึกษา
นอกจากนั้น ยังมีการปลุกระดมให้นักศึกษา ไปวางหรีดหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศไทย แต่ถูกยับยั้งไว้ก่อน และยังมีการโกหกอีกหลายเรื่องในคดีของนายโจนาธัน ดูดี้ ที่สำคัญ พระเมตตาได้แถลงต่อศาลว่า สงสัยในวัดพรหมคุณารามมียาเสพติด และการฆาตกรรม มีสาเหตุมาจากยาเสพติด และการฆาตกรรม มีสาเหตุมาจากยากเสพติด ซึ่งไม่เป็นความจริง และเจ้าหน้าที่ได้สรุปแล้ว่วาเป็นไปไม่ได้ ซึ่งการกล่าวร้ายเป็นการกล่าวต่อหน้าอัยการ และศาลในกรณีที่ศาลเปิดโอกาสให้พยานจำเลย มาให้ข้อมูลครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินที่มีขึ้นในวันที่ 11 ก.พ. 37
การพูดโกหกเช่นนั้น เป็นการส่งผลร้ายต่อนายโจนาธัน ดูดี้ อีกด้วย
นายชูศิลป์ ยังได้กล่าวอีกว่า การแถลงข่าวของพระมโน ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2536 ว่า จะต้องใช้จ่ายค่าทนายความคดี นายโจนาธัน เป็นเงิน 20 ล้านบาท โดยให้นายสุทิน นพเกตุ ประสานงานกระทรวงการต่างประเทศ จึงหางบประมาณให้เกี่ยวกับเรื่องเงินจำนวนนี้
แต่แกนนำต่อสู้ในคดีนายโจนาธัน เผยว่า อาจจะได้รับการช่วยเหลือองค์การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่ต้องเดือดร้อนถึงรัฐบาลไทย
วัดพรหมแถลงการณ์
แถลงการณ์ฉบับพิเศษ ของคณะกรรมการบริหารวัดพรหมคุณาราม
สรุปการประชุมของคณะกรรมการบริหารวัด เมือวันที่ 23 ม.ค.37 ในวาระการประชุมเรื่องอื่นๆ ซึ่งได้กล่าวถึงการกระทำของพระมโน เมตตานันโท วัดพุทธเมย์วูด แคลิฟอร์เนียร์ เกี่ยวกับคดีที่รณรงค์ช่วยเหลือผู้ต้องหาชื่อ นายโจนาธัน ดูดี้ ได้ฆาตกรรมพระสงฆ์และคณะในวัดพรหมคุณาราม เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2534
คณะกรรมการและประชาชนส่วนใหญ่ในอลิโซน่า ได้ติดตามดูการกระทำของ พระมโน เมตตานันโท มาเป็นระยะเวลาหลายเดือน เห็นว่า พระมโน เมตตานันโท ไม่เหมาะสมกับการเป็นพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา เช่น
ตามที่มีคนส่วนมาก ติดตามข่าวฆาตกรรมที่วัดพรหมคุณาราม คงจะจำได้ว่า พระมโน เมตตานันโท ได้เขียนจดหมายถึง Mr.Richard Romley (อัยการของ Maricopa Country) ในนามของประธานสมัชชาสงฆ์ไทย ในสหรัฐอเมริกา และได้ให้ท่านประธานสมัชชาฯ เซ็นชื่อ ซึ่งเนื้อความในจดหมายกล่าวว่า ได้พบกับนายโจนาธัน ดูดี้ (ผู้ต้องหา) ว่าเป็นเด็กดี มีความอ่อนโยน ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ทั้งพระมโน เมตตานันโท และประธานสมัชชาฯ ไม่เคยรู้จัก หรือไม่เคยเห็น นายโจนาธัน ดูดี้ มาก่อน จึงไม่ทราบว่ารู้ได้อย่างไร ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีมาก่อน คำกล่าวของพระมโน จึงเป็นการโกหก ข้อที่ 1 และยังเสนอความเท็จเหล่านี้ต่อท่านประธานสมัชชาฯ ทำให้ท่านประธานสมัชชา ได้รับคามมัวหมองในการกล่าวเช่นนั้นไปด้วย
พระมโน เมตตานันโท ได้ไปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ทีวี ที่รัฐสภาเมืองไทยว่า พระสงฆ์และชาวไทยในอริโซน่า และรัฐต่างๆ ถูกคุกคาม (ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2536) เรื่องนี้สมัชชาสงฆ์ และฝ่ายราชการได้ปฏิเสธว่า ไม่มีวัดใดถูกคุกคาม ตามกล่าวอ้าง จึงเป็นการโกหกข้อที่ 2
ให้สัมภาษณ์ น.ส.พ. Bangkok Post ว่านายโจนาธัน ดูดี้ เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เมื่อทางอัยการได้ซักถามในศาลระหว่าง Mitigation ว่ามีเหตุผลอะไรที่ให้สัมภาษณ์ไปอย่างนั้น พระมโน เมตตานันโท ตอบว่า นายโจนาธัน ดูดี้ ไม่ได้อยู่ที่วัดในคืนเกิดเหตุสังหารโหด ซึ่งข้อนี้ นายโจนาธัน ได้สารภาพกับพ่อแม่เองว่า มาที่วัดในตอนเกิดเหตุ และคืนนั้น นายดูดี้ ไม่ได้อยู่ที่บ้าน การกล่าวอ้างเช่นนี้จัดเป็นการโกหกข้อที่ 3 (คือคนโกหกเชื่อคนโกหกด้วยกัน)
ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ Bangkok Post อีกว่าตนเชื่อแน่ว่าคดีนี้มีสาเหตุมาจาก Hate Crime (รังเกียจเชื้อชาติผิวพรรณ) พออัยการซักว่า มีหลักฐานอะไรบ้าง จึงคิดอย่างนั้น ก็ตอบเลี่ยงไปว่า เป็นข้อสันนิษฐานอันหนึ่ง และก็ตอบเอาตัวรอดไปแบบน้ำขุ่นๆ ว่า ไม่เคยให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ เขาพิมพ์ผิดและลงเอยด้วยการสรุปว่า จำไม่ได้ จัดเป็นโกหกข้อที่ 4
แถลงการณ์ในศาลว่า ข้อสงสัยอีกประการหนึ่งว่า ทางวัดพรหมฯ มียาเสพติดและการฆาตกรรมอาจเนื่องมาจากยาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาหลักฐานแล้วว่าไม่มี และเป็นไปไม่ได้ พระมโน เมตตานันโท ก็ยังเอามาพูดอีก นับเป็นการโกหกข้อที่ 5 การโกหก อย่างนี้ไม่เป็นผลดีแก่พระพุทธศาสนา และประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากวัดพระธรรมกายถูกโจมตีอย่างหนัก ตลอดเวลากว่า 2 เดือนที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ แม้ว่าบางประเด็นทางวัดจะเคลียร์ได้อย่างโปร่งใส แต่ยังดูเหมือนว่าความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้ามที่มุ่งทำลายวัดด้วยความอิจฉาริษยา ยังไม่ลดทิฏฐิจนทำให้ขณะนี้บรรดาลูกศิษย์ที่ศรัทธาทางวัดพระธรรมกาย เพิ่มกระแสแห่งความไม่พอใจเป็นทวีคูณ โดยรู้สึกว่าสังคมส่วนหนึ่งจงใจแบบเอากันให้ตาย
ทำให้พระผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลต่อกระแสที่เกิดขึ้นอย่างมาก
อย่าหาทางต้อนแมวให้เป็นเสือ ถ้าแมวถือศีลถูกตีมากๆ ระวังจะกลายเป็นเสือขึ้นมา รังแต่จะเสียหายกับทุกฝ่าย ดังนั้นผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง หรือไม่รัฐบาลต้องห้ามปรามอย่าเต้นตามกระแส เพราะถึงอย่างไรคนที่ศรัทธาวัดพระธรรมกายมีความรู้สึกในจิตใจเสมอว่า วัดพระธรรมกายเป็นวัด ไม่ใช่ซ่องโจร แล้วทำไมถึงถูกกระทำถึงขนาดนี้ แหล่งข่าวซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ในบ้านเมืองกล่าว
ทางด้านพระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดและเลขาธิการมูลนิธิวัดพระธรรมกาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 17 ม.ค.2542 เกี่ยวกับความรู้สึกภายหลังทราบข่าวอย่างไม่เป็นทางการวา การตรวจสอบกรีนการ์ดของกระทรวงการต่างประเทศว่า เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่มีกรีนการ์ดอย่างที่กล่าวหาท่าน และยังพบว่าท่านไม่เคยเดินทางด้วยนั้น เรื่องนี้ก็ขออนุโมทนาให้กับทุกฝ่ายที่ทำความกระจ่างให้กับหลวงพ่อเจ้าอาวาส
สำหรับการโจมตีว่าทางวัดพระธาตุผาเงา จ.เชียงราย ย้ายต้นโพธิ์ที่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทรงปลูกไว้นั้น พระปลัดสุธรรมได้ยืนยันหนังสือสำนักพระราชวัง ลงวันที่ 28 มิ.ย.2531 ที่อนุญาตให้ย้ายตามขอ แต่แปลกใจที่ทางวัดถูกโจมตีอย่างรุนแรง พยายามเน้นให้เห็นว่า เป็นการละเมิดเบื้องสูง โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
พระปลัดสุธรรม ได้กล่าวถึงโครงการบวชอุบาสกแก้ว ว่าอยากให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ว่า ทางวัดไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยการจัดบวชุอบาสกแก้วเป็นไปตามกำหนดการที่ทางวัดกำหนดไว้เดิม คือระหว่างวันที่ 28 มกรา ถึงวันที่ 31 ม.ค. ไม่เปลี่ยนแปลง
ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย มาประมาณ 2-3 วัน ที่ผ่านมานี้ ก่อนอื่นต้องขอชมเชย คณะผู้จัดทำว่า มีวิสัยทัศน์ของการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายที่น่าทึ่ง ที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะ ทุกวันนี้มีเรื่องของวัดพระธรรมกาย ได้มีการนำเสนอข่าวในแง่มุมเดียวที่เป็นแง่ลบมาโดยตลอด จนบางครั้ง ทำให้ผมสงสัยว่า การที่หนังสือพิมพ์ทั่วๆ ไปจะขายข่าว ต้องใช้วิธีโจมตีอย่างเดียวเท่านั้นหรือ ต้องเอาข้อมูลมาเสนอในแง่ลบอย่างเดียวเท่านั้นหรือ ก็ในเมื่อสื่อมีหน้าที่เสนอความเป็นจริง
แล้วการเสนอข่าวในแง่ลบอย่างนี้ (บางเรื่องก็ลบมาก จนกลายเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง) จะดำรงจรรยาบรรณของสื่อไว้ได้อย่างไร ในที่สุด พิมพ์ไทย ก็ได้สวนกระแส และแสดงให้เห็นแล้วว่า ควรจริงต่างหากที่ทุกคนต้องการ เพราะคนทั่วไป บริโภคสื่อเท็จ โดยเข้าใจว่าเป็นความจริงสูงสุด มามากจนเกินพอแล้ว วิสัยทัศน์ของการนำอีกด้านหนึ่งของความเป็นจริงในสังคมมานำเสนอนั้นเอง คือสิ่งที่ผมเรียกว่า วิสัยทัศน์อันน่าทึ่ง
มีกระแสข่าวเรียกร้องให้ธรรมกายออกมาพูดอะไรบ้าง เพราะที่ผ่านมาวัดเงียบมาโดยตลอด ที่จริงแล้ววัดใช่จะไม่เคยพูดอะไรเลย เรามองไม่เห็นประโยชน์ในการตอบโต้กับใคร และไม่เคยคิดจะตอบโต้ แต่ข้อแท้จริงของเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น วัดได้นำเสนอมาโดยตลอด น่าเสียดายที่ไม่มีสื่อใดนำไปลง อาจเป็นเพราะ กลัวว่าความจริงที่วัดแถลงไปนั้น จะเป็นข้อยืนยันชัดเจนว่า สื่อของตนกำลังเสนอข่าวเท็จ
ผมขอออกตัวก่อนว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าวัดพระธรรมกาย ข้อคิดเห็นของผมย่อมอาจถูกมองได้ว่า ไม่เป็นกลาง นั่นรวมถึงว่า พิมพ์ไทย ก็อาจถูกมองว่าไม่เป็นกลาง และอาจมีคนมองไปถึงว่ารับเงินจากวัดมาเขียนข่าวหรือเปล่า สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณ พิมพ์ไทย ในการนำเสนอข้อมูลที่ช่วยให้คนหลายคนในโลกแห่งสังคมข่าวสาร ได้มุมมองใหม่ เขาไม่จำเป็นต้องเชื่อใคร แต่เขาจะได้มุมมองในการตัดสินเรื่องต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ผมขอเป็นกำลังใจและขออวยพรให้กองบรรณาธิการ พิมพ์ไทย ประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายนี้
นี้คือโทรสารหนึ่งจากหลายร้อยฉบับที่ส่งเข้ามาถึงทีมงาน พิมพ์ไทย มีการติชมการสะกดตัวอักษรผิดๆ ตกหล่นมากมาย รวมถึงการจัดวางจำหน่ายของเรา กองบรรณาธิการ พิมพ์ไทย ขอน้อมรับไว้ด้วยจิตคารวะยิ่ง เราให้คำมั่นอีกครั้งว่า เราไม่สนใจว่า เพื่อนสื่อมวลชนใด จะมองเราในแง่เสียหาย หรือแม้แต่เหน็บแนมเราว่า วัดพระธรรมกาย เทกโอเวอร์ พิมพ์ไทย ไปแล้ว เพราะเรามีจุดยืนที่ชัดเจนในการนำเสนอข่าววัดพระธรรมกาย ไม่มีนอก ไม่มีใน แต่เราต้องการทำอย่างมืออาชีพ ปราศจากคำสั่งบีบรัดของนายทุน ที่กระหายแต่เม็ดเงิน ถึงเวลาแล้ว ที่สมาคมผู้สื่อข่าวและสมาพันธหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จะกลับมาปัดกวาดบ้านเรือนของตนเองบ้าง