ปีที่ 2 ฉบับที่ 589 วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 2  ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ

ธรรมวิจารณ์

โดย อ.เจริญ สุพร

นิพพานเห็นได้ยาก

เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

"อัตตา" และ "อนัตตา"

ต่อจากเมื่อวานพูดถึงที่มาที่ไป ของรายงานพิเศษ เรื่อง “อัตตา-อนัตตา” สองคำที่ไม่สามารถลดศักดิ์ศรี ความศักดิ์สิทธิ์ของ พระนิพพาน ฉบับนี้ จะเป็นรายละเอียดต่อเนื่อง ดังนี้

เรื่องพระนิพพพาน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน สุขุมลุ่มลึก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสว่า “เห็นได้ยาก ตรัสรู้ตาม (พระองค์) ได้ยาก (แต่) เป็นวิสัยที่บัณฑิตพึงรู้” ดังพระบาลีพุทธภาษิตว่า

อธิคโต โข มยายํ ธมฺโม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรนฺโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย

ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้แล เป็นสภาพลึกซึ้งเห็นได้ยาก ตรัสรู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบระงับ ประณีตไม่เป็นวิสัย ที่หยั่งลงได้ด้วยตรรกะ เป็นธรรมละเอียด อันบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง

วินย. 4/7/8

เพราะเหตุนั้น การพิจารณาสภาวะนิพพานว่า เป็น “อนัตตา (เที่ยงแท้)” ตามที่มีข่าวกันอยู่ในปัจจุบันนี้ มิใช่เป็นเรื่องที่จะ พิจารณาจากข้อมูล ที่ได้อย่างลวกๆ หรือมักง่าย แล้วจะสามารถสรุปลง อย่างถูกต้องว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ได้โดยง่าย

ถ้าเห็นถูก ก็ตรงนิพพานเลยทีเดียว แต่ถ้าลงความเห็นผิด หรือหลงตามคนเห็นผิด ก็จะต้องเดินทางผิดไปอีกไกล อย่างเบาก็ อเวจีนรก ส่วนผู้ที่เห็นผิดแล้ว นำคนอื่นให้เห็นผิดตามไปด้วย ย่อมได้รับผลกรรมหนักถึง โลกันตนรกได้ง่าย จึงเป็นเรื่องที่จะประมาทมิได้

ผู้ศึกษาและพิจารณาข้อมูลจ ากทั้งเอกสาร หลักฐาน ที่เชื่อถือได้ ที่ถูกต้อง ที่ตรงประเด็นและที่สมบูรณ์พอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พึงศึกษาเปรียบเทียบข้อมูล จากทั้งพระปริยัติธรรม และทั้งปฏิบัติ พระสัทธรรม   ของพระสุปฏิปันโน ผู้ได้ผ่านการศึกษาอบรม อบรมตนด้วย อธิศีลสิกขา (ศีลอันยิ่ง) อธิจิตตสิกขา (จิตอันยิ่ง) และ อธิปัญญาสิกขา (ปัญญาอันยิ่ง) มาดีพอสมควรแล้ว จึงจะสามารถ อาศัยปัญญาจาก สุตมยปัญญา (การอ่าน/การฟัง) จินตมยปัญญา (การคิดพิจารณา) และ ภาวนามยปัญญา (การเจริญปัญญา ด้วยการเห็นแจ้งรู้แจ้ง) ด้วยตน

สรุปลงได้ถูกต้อง เพราะพระศาสนา มิใช่เป็นแต่เพียงความเชื่อตามใคร แล้วจะสามารถ รู้แจ้งเห็นจริงได้ แต่เป็นศาสนาคือ คำสอนให้ปฏิบัติ ให้รู้แจ้งเห็นแจ้ง ด้วยตนเอง เป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เท่านั้น

ขอเสนอหลักการการพิจารณาพระนิพพานว่า เป็น “อนัตตา” หรือ “อัตตา (เที่ยงแท้)” ดังต่อไปนี้

  • นิพพาน คืออย่างไร?

  • นิพพาน ภาษาบาลี นิพพานํ ภาษาสันสกฤตว่า นิรวาณ หมายความถึง (1) ความดับ (อตฺถคมน) , (2) วิราคธรรม เป็นที่สิ้นไปแห่งสรรพกิเลส (อปวคฺค)

    (พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธ,

    พระคัมภีร์อภิธานนัปปาทีปิกา, พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุงเทพฯ โรงพิมพ์ มหามกุฏ ราชวิทยาลัย, 2530) , หน้า 259)

    สรุปความหมาย “นิพพาน” คือ

      สภาวะนิพพาน คือ ความดับสนิทจากกิเลสตัณหา เครื่องร้อยรัด และกองทุกข์ นี้ได้ ในความหมายว่า “ความดับ” เป็นต้น

    คุณลักษณะโดยย่อของนิพพาน คือ เที่ยงเป็นบรมสุขยั่งยืน และเป็น อมตธรรม เป็นต้น มีปรากฏใน พระไตรปิฎก ดังต่อไปนี้

    นิพพาน เป็น บรมสุข ดังพระพุทธดำรัสว่า

    นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ

    นิพพานเป็นสุขยิ่ง

    ขุ.ธ. 25/25/42

    นิพพานเป็น ธรรมที่ไม่มีความเกิด ไม่มีความเสื่อมสลาย คือ ไม่มีความแตกดับ เมื่อตั้งอยู่ ไม่มีความแปรปรวน ดังพระพุทธดำรัสตรัส อสังขตลักษณะ ซึ่งเป็นลักษณะของนิพพานว่า

    น อุปปาโท ปัญญายติ

    ไม่ปรากฏความเกิด

    น วโย ปญฺญายติ

    ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย

    เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน (เป็นอื่น)

    นฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ

    อังติก. 20/487/192

    นิพพานเป็นธรรมชาติ เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังพระสารีบุตรมหาเถระ ได้แสดงไว้ว่า

    นิพฺพานํ นิจฺจํ ธุวํ สสฺสตํ อวิปริณาม ธมฺมนฺติ อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํ

    ปริณาม ธมฺมนฺติ อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํ

    นิพพาน เป็นธรรมชาติเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มิได้มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงได้ชื่อว่า อันอะไรๆ นำไปมิได้ ไม่กำเริบ

    ขุ. จูฬ. 30/659/315

    นิพพานเป็นอมตธรรม ธรรมที่ไม่มีความเกิด ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ ไม่มีความตาย ดังที่พระสารีบุตรมหาเถระท่านได้แสดงวิปัสสนาวิธีไว้ว่า

    ปญฺจกฺขนฺเธ ชาติธมฺมโต ปสฺสนฺโตฯ

    เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นของมีความเกิด, มีความแก่, มีความป่วยไข้,   มีความตาย… ฯลฯ … เป็นธรรมดา ย่อมได้อนุโลมขันติ (ได้วิปัสสนาปัญญา คือ เห็นไตรลักษณ์) เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่ง เบญจขันธ์เป็นนิพพาน ไม่มีความเกิด, ไม่มีความแก่, ไม่มีความป่วยไข้, ไม่มีความตาย… ฯลฯ

    ย่อมหยั่งสู่สัมมัตตนิยาม (หยั่งลงในขณะมรรคและผล)

    ขุ.ปฏิ. 31/735/633-64

    ผู้ทรงสภาวะนิพพาน คือ พระนิพพานธาตุ ได้แก่ วิราคธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งสรรพกิเลส นี้ได้ความหมายว่า “วิราคธรรม, ธรรมอันออกแล้วจากตัณหา” และได้ในพระพุทธดำรัสว่า

    เทวเม ภิกฺขเว นิพฺพานธาตุโย กตมา เทฺว สอุปาทิเสสา จ นิพฺพานธาตุ อนุปาทิเสสา จ นิพฺพานธาตุ

    ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ 2 ประการ 2 ประการนี้ เป็นไฉน คือ สอุปาทิเสส นิพพานธาตุ 1 อนุปาทิเสส นิพพานธาตุ 1.

    ขุ. อิติ. 25/222/258

    สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ได้ในพระบาลีว่า

    เอกาหิธาตุ อิธ ทิฏฺฐธมฺมิกา

    สอุปาทิเสสา ภวเนตติสงฺขยา

    ธาตุอันหนึ่งแล เป็นไปในธรรม อันแลเห็นแล้วในโลกนี้ เป็นนิพพานธาตุ มี อุปาทิ (เบญจขันธ์) ยังเหลือ เพราะสิ้นธรรมชาติ (คือ ตัณหา) ผู้นำไปสู่ภพ

    ขุ. อิติ. 25/222/259

    อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ได้ในพระบาลีว่า

    อนุปาทิเสสา ปน สมฺปรายิกา

    ยมฺหินิรุชฺฌนฺติ ภวานิสพฺพโส

    ส่วนธาตุเป็นไปในธรรม อันจะพึงถึงข้างหน้า ที่ภพทั้งปวง ดับด้วยประการทั้งปวง เป็นนิพพานธาตุ หาอุปาทิ (เบญจขันธ์) เหลือมิได้

    ขุ.อิติ. 25/222/2529