ปีที่ 2 ฉบับที่ 590 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 3 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ
โดย อ.เจริญ สุพร
นิพพานเห็นได้ยาก เป็นเรื่องละเอียดอ่อน "อัตตา" และ "อนัตตา" |
เรื่องนิพพานเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง ผู้ที่มุ่งมั่นปรารถนา ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง อนัตตา ความไม่มีตัวตน กับอีกคำคือ อัตตา ความมีตัวตน แต่คำว่า นิพพาน เป็น อัตตา ณ ที่นี้ มิได้แปลความ เป็นปฏิปักษ์กับคำว่า อนัตตา
ประเด็นที่ว่านี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศาสนา นำมาวิพากษ์วิจารณ์ รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง การตำราอ่านบ้าง แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติ ขณะที่ผู้ปฏิบัติมาก ด้วยปัญญารู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว แต่กลับวางเฉย ไม่ยอมทำความจริงให้ปรากฏ โดยเพ่งพิจารณา แต่ อุเบกขา และบัว 4 เหล่า เป็นคติ
ตามที่มีผู้วิจารณ์ว่า มีการถือความเห็น ตามหัวข้อว่า เมื่อมีสภาวะนิพพาน ก็ต้องมีผู้ทรงสภาวะนั้น ที่นำมาตั้งไว้นี้ แต่หลักการที่แท้ของ พระพุทธศาสนาสอนไว้ ตรงข้ามกับความเห็นนี้คือ ท่านสอนไว้ชัดเจนว่า สภาวะนิพพานมีอยู่ แต่ผู้ทรงสภาวะนิพพานไม่มี หลักการนี้ ได้สืบทอดมา อย่างมั่นคง ในวงการศึกษาปฏิบัติพระพุทธศาสนา ดังมีคำกล่าวยืนยันปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ ที่ทรงจำและจารึกกันไว้ทั่วไปว่า
แท้จริง โดยปรมัตถ์สัจจะทั้งหลาย หมดทุกข้อทีเดียว พึงทราบว่า เป็นสภาพสูญ (ว่าง) เพราะไม่มีผู้เสวย (ผู้ครอบครอง) ผู้กระทำ ผู้นิพพาน และผู้ดำเนิน, เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ทุกข์มีอยู่แท้ แต่ไม่มีผู้ที่ทุกข์
การกระทำมีอยู่ แต่ผู้กระทำไม่มี
นิพพานมีอยู่ แต่ผู้นิพพานหามีไม่
มรรคก็มีอยู่ แต่ผู้ดำเนินไม่มี
(ปฏิสํ.อ. 1/214; 2/2129; วิภังค.อ. 95; วิสุทธิ.3/101)
นี้เป็นการแปลภาษาบาลีในอรรถกถาว่า
อตฺถิ นิพฺพุติ น นิพฺพุโต ปุมา
ที่ท่านแปลว่า นิพพานมีอยู่ แต่ผู้นิพพานหามีไม่ นั้น
ผิดหลักบาลีไวยากรณ์ 2 แห่ง จึงทำให้เนื้อหาความไขว้เขว แก่ผู้ไม่รู้ภาษามคธ (บาลี) คือ
คำว่า ปุมา ในบาทคาถานี้ ท่านผู้วิจารณ์ได้แปลว่า ผู้ เฉยๆ นั้น เป็นการแปลไม่ถูกต้อง เพราะเป็นศัพท์นามนาม ที่ถูกคำว่า ผู้ชายหรือคน เท่านั้น จะแปลว่า ผู้ เฉยๆ ซึ่งใช้เป็นศัพท์คุณนามไม่ได้ แต่เมื่อท่านแปลออกมาว่า ผู้นิพพาน เพื่อที่ท่านจะสรุปลงได้ว่า ผู้ทรงสภาวะนิพพาน นั่นเอง
ส่วนคำว่า นิพฺพุโต นั้นเป็นกิริยากิตก์ ไม่ได้เป็นไวพจน์ของ นิพพาน (ดูคัมภีร์อภิธานนัปปทีปิกา คาถาที่ 6-9 แต่คำว่า นิพฺพุติ ในบาทคาถาเดียวกันนี้ เป็นไวพจน์ของ นิพพาน ดูคาถาที่ 9 และ 1015 ประกอบ) เพราะเหตุนั้น คำว่า นิพฺพุโต จึงต้องแปลว่า ผู้ดับแล้ว จึงถูกต้อง จะแปลว่า นิพพาน ตามที่ท่านผู้วิจารณ์ได้แปลไว้นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะผิดหลักบาลีไวยากรณ์
กล่าวคือ คำว่า นิพฺพุโต นี้ มาจาก "นิ" บทหน้า "วุ" ธาตุ ในความสำรวม, สังวร (เมื่อมี "นิ" อุปสัค มาเปลี่ยนความหมายของธาตุ ดังนั้น "วุ" ธาตุ ในที่นี้ จึงใช้ในความหมายว่า ดับ) ลง "ต" ปัจจัยในกิริยากิตก์ แปลว่า แล้ว แปลง "ว" ที่ "วุ" ธาตุ เป็น "พ" แล้วซ้อน "พ" หน้า "พ" เป็น นิพฺพุต แล้วจึงลง "สิปฐมาวิภัตติ เอกวจนะ" เป็น "ปุงลิงค์" สำเร็จรูปเป็น "นิพพุโต" แปลว่า "ดับแล้ว" (ดูคำแปลในหนังสือ ปทานุกรมบาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับพระบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ หน้า 413 ประกอบ) ในบาทคาถานี้ พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย ใช้ เป็นวิเสสนะ (บทขยาย) ของปุมา ดังนั้น คำว่า นิพฺพุโต จึงแปลว่า ผู้ดับแล้ว
เพราะเหตุที่มีการแปลผิดหลัก บาลีไวยากรณ์ดังกล่าว จึงทำให้ความหมาย ตามอรรถกถานี้ คลาดเคลื่อนไป จากความจริง เถลไถลเข้าทาง ที่ท่านผู้วิจารณ์ต้องการ ทำให้ผู้ไม่รู้ภาษามคธ (บาลี) หลงเข้าใจผิดประเด็น จากหน้ามือเป็นหลังมือ
เนื้อความแห่งอรรถกถาในเรื่องนี้มีว่า
สพฺพาเนวปเนตา นิสจฺจานิปรมตฺเถน เวทกการกฺนิพฺพุตฺคมกาภาวโต สุญฺญานีติ เวทิตพฺพานิ. เตเนตํ วุจฺจติ
ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต
การโก น กิริยาว วิชฺชติ,
อตฺถิ นิพฺพุติ น นิพฺพุโต ปุมา
มคฺคมตฺถิ คมโก น วิชฺชตี ติ.
ที่ถูกต้องควรแปลว่า .อนึ่ง โดยปรมัตถ์ สัจจะเหล่านี้ทั้งหมด นั่นแหละ พึงทราบว่า สูญ (เป็นธรรมชาติว่าง) เพราะไม่มีผู้เสวย ผู้ทำ ผู้ดับแล้ว และผู้ดำเนิน เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
ความจริง ทุกข์เท่านั้นมีอยู่ แต่ไม่มีใครๆ ถึงทุกข์
การกระทำมีอยู่ แต่ผู้กระทำไม่มี
ความดับ (นิพพาน) มีอยู่ แต่คนผู้ดับแล้วไม่มี
มรรคมีอยู่ แต่ผู้ดำเนินไม่มี
จึงจะได้ความจริงว่า .แต่คนผู้ดับแล้วไม่มี เพราะคนเป็นสังขาร/สังขตธรรม จึงเป็นอนัตตา ท่านจึงกล่าวว่า ไม่มี เพราะมีแล้วกลับไม่มี จึงเรียกว่า ไม่มี นั่นเอง ส่วนว่า ผู้ทรงสภาวะนิพพานนั้น พระอรรถกถาจารย์มิได้กล่าวว่า ไม่มี แต่ประการใด
ที่สถิตอยู่ของผู้ทรงสภาวะนิพพาน คือสถานที่อันไม่จุตินี้ได้ ในพระพุทธดำรัสว่า
อหึสกา เย มุนโย นิจฺจํ กาเยน สํวุตา
เต ยนฺติ อจฺจุตํ ยตฺถ คนฺตวา นโสจเร.
มุนีเหล่าใด เป็นผู้ไม่เบียดเบียน สำรวมแล้วด้วยกายเนืองนิตย์ มุนีเหล่านั้น ย่อมไปสู่สถานที่อันไม่จุติ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ พระอเสขมุนีทั้งหลาย ไปแล้วไม่เศร้าโศก
ขุ.ธ.25/27/45 (อ่านต่อฉบับหน้า)