ปีที่ 2 ฉบับที่ 591 วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 4 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ
โดย อ.เจริญ สุพร
บัณฑิตผู้กางตำรา อ่านฟังลวกๆ ไม่อาจรู้แจ้ง เห็นพระนิพพานได้ |
พูดถึงพระนิพพานด้วยภาษายากๆ มาสองวันแล้ว ยอมรับว่า หนักเอาการ หลายคนโทรศัพท์เข้ามา ให้ตัดภาษาบาลีออก รวมถึง ที่มาที่ไป ในพระไตรปิฎก เรียนตรงๆ เลยครับ ของดีอยู่ตรงนี้ ตัดไม่ได้จริงๆ ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ อยู่ตรงนี้ "พิมพ์ไทย" เราไม่ปรารถนา เสนอข่าว-บทความใด ชนิดเลื่อนลอย ไร้ที่ไปที่มา
ต่อเรื่อง พระนิพพาน เป็น อัตตา จากฉบับเมื่อวานดีกว่า ... เมื่อวานเขียนถึง อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่ วิจารณ์ความหมายข้างต้น ให้ชัดลงไปว่า "นิพพาน" ตามธรรมชาติที่เป็นจริง มิใช่เป็นแต่เพียง สภาวะ คือ ความว่าง หรือความดับสนิทจากิเลสตัณหา เครื่องร้อยรัด และกองทุกข์เท่านั้น หากแต่ยังหมายความถึง ผู้ทรงสภาวะนิพพาน คือ พระนิพพานธาตุ นั้นเองด้วย
เพราะถ้าไม่มีผู้ทรงสภาวะนิพพานนี้แล้ว สภาวะนิพพานนี้ก็ย่อมจะมีไม่ได้ เหมือนสภาวะคือ ความดี ความชั่ว ความทุกข์ ความสุข เป็นต้น ถ้าไม่มีผู้ทรงสภาวะเหล่านี้ ได้แก่มนุษย์หรือสัตว์โลกเป็นต้นแล้ว สภาวะนี้ (ความดี ความชั่ว ฯลฯ) ก็ย่อมมีไม่ได้ ฉันใด ฉันนั้น
อนึ่ง ผู้ทรงสภาวะนิพพานนี้ ก็จักต้องมิใช่สังขาร หรือสัขตธรรม คือมิใช่ธรรมชาติ ที่ประกอบด้วยปัจจัย (กิเลส ตัณหา ราคะ) ปรุงแต่ง หากแต่เป็น วิราคธรรม อันเป็นที่สิ้นไป แห่งสรรพกิเลสทั้งปวง ชื่อว่า "วิสังขาร" หรือ "อสังคตธรรม" (ธรรมที่ไม่ประกอบ ด้วยปัจจัยปรุงแต่ง)
เมื่อผู้ทรงสภาวะ ก็จะต้องมีที่สถิตอยู่ของผู้ทรงสภาวะนั้น เหมือนโลกเป็นที่อาศัยของสัตว์โลก แต่ที่สถิตของผู้ทรงสภาวะนิพพานนั้น เป็นแดนปราศจากสังขาร จึงเป็นสถานที่อันไม่จุติ คือ ไม่เคลื่อนจากภพหนึ่ง ไปอีกภพหนึ่ง เป็นที่พระอเสขมุนี ไปแล้วไม่เศร้าโศก
อนึ่ง ที่สถิตอยู่ของพระนิพพานธาตุนั้น เป็นธรรมที่สามารถรู้เห็นได้ด้วยการปฏิบัติ คือ ผู้ปฏิบัติอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา (ผู้ศึกษาและปฏิบัติในศีลอันยิ่ง จิต (สมาธิ) อันยิ่ง และในปัญญาอันยิ่ง) อันมีนัยอยู่ใน อริยมรรคมีองค์ 8 ผู้ได้บรรลุคุณธรรม ตั้งแต่โคตรภูญาณขึ้นไป ย่อมเห็นพระนิพพานได้ ดังที่พระมหานามเถระ ได้อรรถาธิบายไว้ในคัมภีร์สัทธัมมปกาสินีว่า
ทุกฺขา สงฺขารา, สุโข นิโรโธ อิติ ทสฺสานํ ฯลฯ
หลายบทว่า "ทุกฺขา สงฺขารา, สุโขนิโรโธ อิติ ทสฺสนํ, ทุภโต วุฏฺฐิตา ปญฺญา ผสฺเสติ อมตํ ปทํ
ปฏิสํ. อฎ. 1/300
(การเห็นว่า
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์
นิโรธเป็นสุข ชื่อว่า
ปัญญาที่ออกจากธรรมทั้งสอง
ย่อมถูกต้อง อมตบท) ความว่า
สังขารทั้งหลาย
เป็นทุกข์นิโรธคือ นิพพาน
เป็นสุข เพราะเหตุนั้น
การเห็นนิพพาน คือ อริยมรรคญาณ
ของผู้ปฏิบัติ
ชื่อว่า ปัญญาออกจากธรรมทั้ง 2 นั้น ก็ปัญญานั้นนั่นแล ย่อมถูกต้อง อธิบายว่า ย่อมได้อมตบทคือ นิพพาน ด้วยถูกต้องอารมณ์ ก็นิพพานชื่อว่า อมตํ เพราะเป็นเช่นกับอมตะ ด้วยอรรถว่า ไม่เดือดร้อน ชื่อว่า อมตํ แม้เพราะนิพพานนั้น ไม่มีความตาย ความเสื่อม ท่านกล่าวว่า ปทํ เพราะอรรถว่า ย่อมปฏิบัติด้วยปฏิปทาใหญ่ ด้วยความอุตสาหะใหญ่ ตั้งแต่ส่วนเบื้องต้น ... ฯลฯ
ส่วนบทว่า ทสฺสนํ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค เพราะว่า โสดาปัตติมรรคนั้น ท่านกล่าวว่า ทสฺสนํ (การเห็น) เพราะเห็นนิพพานก่อน ส่วน โคตรภูญาณ ย่อมเห็นนิพพานก่อนกว่า ก็จริง, ถึงดังนั้น โคตรภูญาณนั้น แม้เห็นนิพพาน ท่านก็เรียกว่า ไม่เห็น เพราะไม่มีการละกิเลสที่ตนควรทำ
เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้มาสู่สำนักของพระราชาด้วยกิจอย่างใด อย่างหนึ่งเท่านั้น แม้เห็นพระราชา ผู้ประทับบนคอช้าง เสด็จมาตามถนน แต่ที่ไกลเทียว ถูกเขาถามมว่า ท่านเฝ้าพระราชาแล้วหรือ แม้เห็นแล้วก็กล่าวว่า ข้าพเจ้ายังมิได้เฝ้า เพราะความที่กิจ อันบุคคลพึงกระทำ ตนยังมิได้กระทำฉะนั้น. จริงอยู่ โคตรภูญาณนั้น ตั้งอยู่ในที่อาวัชชนะ (การนึกถึง) มรรค.
บัณฑิตผู้เจริญปัญญาด้วยการที่ได้ทั้งรู้หลักปริยัติ
และเห็นธรรมตามสมควรแก่ธรรม
ด้ววการปฏิบัติพระสัทธรรม
อบรมกาย วาจา และใจ (รวมทั้งปัญญา)
ด้วยอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา
และอธิปัญญาสิกขา
มาดีพอสมควรแล้ว
จึงจะพึงรู้แจ้งเห็นแจ้งพระนิพพาน
ตามที่เป็นจริงได้ ถ้าเพียงแต่ได้ข้อมูล
จากการอ่าน หรือการฟังอย่างลวกๆ
ก็จะไม่มีทาง
ได้รู้แจ้งเห็นจริงพระนิพพานตามที่เป็นจริงได้เลย...!!!