ปีที่ 2 ฉบับที่ 592 วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 5 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ
พุทธทาสชี้ นิพพานเป็นอัตตา ไม่มีสูญ |
ตูมตาม เร่งตรวจสอบ การขอเครื่องราชย์ของ วัดพระธรรมกาย ผ่านกรมการศาสนา หรือไม่ ส่วนหลักคำสอน นิพพานเป็นอัตตา พิมพ์ไทย พบว่า พระพุทธทาสบันทึกไว้ว่า ผู้ที่มีความคิด นิพพานคือ ความว่างเปล่าเป็นสูญ พุทธบริษัท ที่ตู่ทำลายพุทธศาสนา ด้วยมิจฉาทิฏฐิ อย่าได้ไปข้องแวะ เป็นอันขาด
ขณะที่หลายฝ่ายรอคำตอบ จากมหาเถรสมาคม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการเข้าไปสะสางปัญหา ในวัดพระธรรมกาย ทั้งเรื่องประเด็น เงินบริจาค และเรื่องคำสอน ที่ผิดเพี้ยนไปจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีการตรวจสอบเรื่อง การได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ของบุคคลที่บริจาคเงิน เพื่อสาธารณประโยชน์ ได้แก่วัด โรงเรียน และโรงพยาบาลของรัฐบาล
โดยนายอาคม เอ่งฉ้วน รมช. ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า แต่ละปี จะมีวัดเสนอรายชื่อผู้บริจาคเงินให้กับวัด ส่งมายังกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นจำนวนมาก โดยปีที่ผ่านมา วัดต่างๆ ได้ส่งรายชื่อผู้บริจาคเข้ามากว่า 300 คน ขณะที่กรมการศาสนา อนุมัติให้ไปเพียง 280 คนเท่านั้น ทั้งนี้จะมีการตรวจสอบรายชื่อ วัดพระธรรมกายว่า เสนอรายชื่อผู้บริจาคมากี่คน และผ่านกรมการศาสนาหรือไม่
ระหว่างการรอการชี้ถูกชี้ผิด พิมพ์ไทย จะเสนอเกี่ยวกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเรื่องพระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ซึ่งวัดพระธรรมกายมีคำสอนว่า พระนิพพานเป็นอัตตา คือความมีตัวตน ทั้งนี้จะหยิบยกการแสดงธรรมของพระพุทธทาสขึ้นมาพิจารณา
พระพุทธทาสกล่าวไว้ว่า การเกิดความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกู ขึ้นมาได้ใหม่ โดยสมควรแก่เชื้อที่เหลืออยู่ มากน้อยเพียงไร และก็เป็น ตัวกู ที่เบาบาง หาได้เป็น ตัวกู ที่เต็มที่ อย่างปุถุชนคนธรรมดา ซึ่งมีเชื้อกล่าวคือ กิเลสยังเต็มปรี่อยู่ อย่างเต็มที่ ไม่เคยถูกละไป แม้แต่ส่วนใดเลยนั้นไม่
นิพพานของพระอริยเจ้าขั้นต้นๆ ที่มีเชื้อเหลืออยู่บ้างนี้ เรียกว่า สุปาทิเสสนิพพาน แปลว่า นิพพานที่มีเชื้อเหลือ ดังนั้น นิพพานที่ยังมีเชื้อเหลือนี้ จึงยังมิใช่นิพพาน ที่เป็นอันเดียวกันกับ ที่เป็นความว่างอย่างยิ่ง หากแต่ว่าเป็นความว่าง ในระดับที่รองลงมา เพราะเหตุที่ยังไม่เป็นความดับ ที่ไม่มีเชื้อเหลือนั่นเอง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังนับว่า เป็นความประเสริฐยิ่งกว่า การที่ไม่ดับ หรือไม่ว่างเสียเลย อย่างที่จะเปรียบเทียบกัน ไม่ได้ทีเดียว และอยู่ในลักษณะ ที่ไม่น่ากลัว สำหรับ บุคคลธรรมดาสามัญ อย่างมาก จึงไม่เกิดปัญหายุ่งยาก เท่ากับความดับไม่เหลือ ชนิดที่คนธรรมดาสามัญฟังแล้ว รู้สึกว่า เป็นการสูญเสีย อย่างสิ้นเนื้อประดาตัว ทีเดียว นี้เรียกว่า เป็นความว่างในอันดับที่รองลงมา
ผู้ศึกษาพึงสังเกตและพิจารณาดูเองเถิดว่า ความดับแห่ง ตัวกู สิ้นเชิงไม่มีเหลือ ที่เป็นความว่างอย่างยิ่งนั้นก็ดี ความดับแห่ง ตัวกู ที่ยังมีเชื้อเหลือ ซึ่งเป็นความว่าง ชนิดพอประมาณก็ดี ควรจะถูกมองเห็น เป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือไม่น่ากลัวเพียงไร
ทั้งนี้มันขึ้นอยู่แก่ความเข้าใจผิด หรือความเข้าใจถูกต่อสิ่งๆ นี้เท่านั้น และควรจะจับใจความสำคัญให้ได้ว่า ว่าง-ว่าง นี้มีความหมาย ที่ดิ้นได้ไปหลายอย่าง
หรือใช้พูดกันอยู่ในความหมายหลายชนิด คำบาลีว่า สุญญ นั้น ที่ถูกควรแปลว่า ว่าง แต่ที่มาแปลกันผิดๆ ว่า สูญเปล่านั้น ใช้ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นความหมาย ที่ไกลกันอย่างยิ่ง หรือตรงกันข้ามทีเดียว
ที่ว่า ว่าง-ว่าง นั้น มิได้หมายความว่า มีอยู่ทุกอย่างที่ควรจะมี และใช้ประโยชน์อย่างยิ่งได้ทุกอย่าง หากแต่ว่า ว่างจากความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกู เท่านั้นเอง
ดังนั้นการที่ไปแปลคำนี้ว่า สูญเปล่า หรือการไม่มีอะไรนั้น เป็นการตู่พุทธศาสนา หรือถึงกับทำลาย ศาสนาของตนเองโดยน้ำมือของ ผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นพุทธบริษัท นี้แหละเป็นสิ่งที่น่ากลัว อย่างยิ่ง หาใช่สิ่งที่เรียกว่า ความว่าง เป็นสิ่งที่น่ากลัวไม่
บางคนเพ่งเล็งไปแต่ในแง่ของวัตถุ จึงเกิดความรู้สึกขึ้นมาเอง เป็นธรรมดาว่า มันต้องว่าง ไม่มีอะไรเลย คือว่างในทางสงสาร ไม่มีสสารประเภทใด เหลืออยู่เลย แล้วก็เข้าใจว่า เป็นความว่างชนิด ที่เป็นนิพพาน ความเข้าใจอย่างนี้ผิด ตรงกันข้าม และไม่ใช่พุทธศาสนา ดังนั้น จึงต้องจัดเป็น มิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่ง อย่าพึงไปข้องแวะด้วย เป็นอันขาด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ได้ถือเอาสสาร หรือสิ่งที่มิใช่สสารเป็นหลัก เพราะเราไม่ได้ถือเอาสิ่ง ซึ่งเป็นผู้กระทำหรือ ผู้ถูกกระทำเป็นหลัก แต่ถือเอาสิ่งซึ่งอยู่นอกเหนือ ไปจากนั้นเป็นหลัก คือว่าสิ่งที่เป็นผู้กระทำก็ดีหรือ ถูกกระทำก็ดี ต้องเป็นสิ่งที่ว่าง คือไม่ถูกยึดถือว่าเป็น ตัวตน หรือ ของตน ด้วยกันทั้งนั้น
ดังนั้นโลกหรืออารมณ์ต่างๆ ในโลกหรืออารมณ์ต่างๆ ในโลก ซึ่งเป็นฝ่าย Passive ก็ดี และจิตซึ่งจะเป็นสิ่งที่รู้หรือ สัมผัสต่อสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นฝ่าย Active ก็ดี ต้องถูกพิจารณา เห็นตามที่เป็นจริงว่า มันเหมือนกัน และเป็นของว่างโดยประการทั้งปวง ทุกฝ่ายจริงๆ มันว่างจากความเป็น ตัวตน ในตัวมันเอง และว่างจากคุณค่าที่ควรถูกยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตน แก่ผู้ที่มองเห็นมันนี่แหละ คือข้อเท็จจริง ที่ว่ามันไม่เกี่ยวกันกับ ความว่างทางสสาร หรือสิ่งที่มิใช่สสาร แต่ประการใดเลย
ดังนั้นเราจะต้องตั้งหลักแห่งสมมติฐาน สำหรับการมอง และการพิจารณาขึ้นมา ในอีกลักษณะหนึ่ง ตามแบบของพุทธศาสนา โดยตรง เราจึงจะไม่เข้าใจผิดต่อคำว่า สุญญ หรือความว่าง และทำให้มันปรากฏแก่จิตใจได้ และเข้าถึงความว่าง ชนิดที่เป็นที่มุ่งหมายของเรา ในกรณีนี้ได้