ปีที่ 2 ฉบับที่ 592 วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 5 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ
โดย อ.เจริญ สุพร
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา |
เพื่อไม่ให้เสียเวลาขอเริ่มเรื่อง "พระนิพพาน" ต่อจากฉบับเมื่อวานดีกว่า
อนัตตาคืออย่างไร?
คำว่า "อนัตตา" คือสภาวะที่เป็นเองของธรรมชาติทั้งหลาย ที่ไม่มีแก่นสารสาระในความเป็นตัวตน บุคคล เรา-เขา ของเรา-ของเขา กล่าวโดยย่อคือ ความเป็นสภาพมิใช่เป็นตัวตน (อนตฺตตา)
คำว่า อนัตตา คือ สภาพที่มิใช่ตัวตนนี้ ภาษาบาลีว่า "อนตฺตา" เป็นศัพท์สมาส (อุภยตัปปุริสสมาส) มี "น" อยู่หน้า ซึ่งหากจะวิเคราะห์ศัพท์ตามหลักบาลีไวยากรณ์แล้ว ก็จะได้ดังนี้
น อตฺตา = อนตฺตา (อิทํ ขนฺธปญฺจกํ ขันธปัญจกนี้) มิใช่ตน เหมือนการวิเคราะห์ศัพท์สมาสที่มี "น" อยู่หน้าศัพท์อื่นๆ เช่น
น อริโย = อนริโย (อยํ ชโน ชนนี้) มิใช่พระอริยเจ้า หรือ นอสฺโส = อนสฺโส (อยํ สตฺโต สัตว์นี้) มิใช่ม้า
โดยนัยนี้ คำว่า "อนัตตา" จึงหมายถึงสภาพที่มิใช่ตัวตน กล่าวคือ ไม่มีแก่นสารสาระในความเป็นตัวตน
ลักษณะที่แสดงความเป็นสภาพมิใช่ตน (อนตฺตลกฺขณํ) อันบัณฑิตผู้ศึกษา สัมมาปฏิบัติ พึงกำหนดรู้ด้วยอาการเหล่านี้ คือ
เป็นธรรมชาติตรงกันข้ามกับอัตตา (อตฺตปฏิเขปโต) ดังพระพุทธดำรัส (อนัตตลักขณสูตร) ตรัสสอนพระปัญจวัคคีย์ ณ อิสิปตนมฤคทายวันว่า รูปํ ภิกฺขเว อนตฺตาฯ
ภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา ภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้วไซร้ รูปนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลพึงได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นไปอย่างนั้นเลย ภิกษุทั้งหลาย ก็แลเพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูป รูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
วินย. 4/20/24-25
ไม่เป็นไปในอำนาจ (อวสวตฺตนโต) หรือฝืนความปรารถนา ดังปรากฏตามพระพุทธดำรัส ในอนัตตลักขณสูตรข้างต้นนั้น แสดงว่า ถ้าเบญจขันธ์ (มีรูปขันธ์เป็นต้น) จักได้เป็นอัตตาแล้ว ก็จะได้เบญจขันธ์ ตามปรารถนาว่า ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บไข้ และไม่ต้องตายเลย
แต่เพราะเบญจขันธ์ (มีรูปเป็นต้น) เป็นอนัตตา (คือไม่มีแก่นสารสาระในความเป็นตัวตน) จึงไม่ได้เบญจขันธ์ (มีรูปเป็นต้น) ตามปรารถนาอย่างนี้ และจึงต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ และต้องตายเป็นธรรมดา
เป็นสภาพที่ไม่มีเจ้าของที่แท้จริง (อสฺสามิกโต) ดังปรากฏตามพระพุทธดำรัสในสูตรทั้งหลาย แม้ในอนันตลักขณสูตรนี้เอง ก็ได้ตรัสไว้ว่า ..
สพฺพํ รูปํ เนตํ มม เนโสหมสฺมึ น เมโส อตฺตา.
รูปทั้งปวง นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวเรา (และได้ตรัสสภาวะของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แบบเดียวกัน)
วินย. 4/22/27
เป็นสภาพสูญ (สุญฺญโต คือกลายเป็นธรรมที่ว่า (ริตฺตํ) เปล่า (ตุจฺฉํ) กล่าวคือ เสื่อมสลาย (วโย) หมดสภาพเดิมของมันไปในที่สุด
เป็นธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง(ยถาปจฺจยํ ปวตฺตมานา สงฺขารา) จึงเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง (อนิจฺจภาวโต)
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังได้ตรัสอีกว่า
ยทนิจฺจํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
สํ.ข. 17/42/28
นี้เป็นหลักสำคัญรวบยอดที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
ตรัสประทานไว้ให้สำหรับพิจารณาว่า
ธรรมใดเป็นอนัตตาหรือไม่
หลักธรรมตามพระพุทธดำรัสนี้
แสดงถึงความเป็นเหตุ-ผล
ที่เกี่ยวเนื่องกันของสภาวธรรม 3
อย่างคือ ความเป็นของไม่เที่ยง (อนตฺตตา)
1
อันจะแยกกันเป็นสภาวะของสิ่งอื่นที่ตรงกันข้ามกันมิได้
เป็นดุจโซ่ 3
ห่วงคล้องติดกันเป็นพวกเดียวกัน
ไม่ว่าจะยกห่วงใดขึ้นอีก 2
หว่งก็ติดกันขึ้นมาด้วย
จึงชื่อว่า "ไตรลักษณ์"
คือ ลักษณะ 3
พระธรรมปาลเถระ ได้อรรถาธิบายไว้ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนีว่า
อนิจฺจลกฺขเณหิ ทิฏฺเฐ อนตฺตลกฺขณํ ทิฏฺฐเมว โหติ ติสุหิลกฺขเณสุ เอกสฺมึ ทิฏฺเฐ อิตรทฺวยํ ทิฏฐเมว โหติ
แท้ที่จริง เมื่อเห็นอนิจจลักษณะ ก็เป็นอันเห็นอนัตตลักษณะเหมือนกัน. ก็บรรดาลักษณะทั้ง 3 เมื่อเห็นลักษณะหนึ่ง ก็เป็นอันเห็นลักษณะอีก 2 อย่างนอกนี้เหมือนกัน
อุทาน.กฏ.251
ตามความหมายของ"อนตฺตา" ว่า คือสภาพที่มิใช่ตน ซึ่งได้จากรูปวิเคราะห์ตามหลักไวยากรณ์ว่า
น อตฺตา = อนตฺตา (อิทํ ขนฺธปญฺจกํ ขันธปัญจกนี้) มิใช่ตัวตนนี้ ย่อมหมายถึงว่า "อัตตา" คือสภาพที่เป็นตัวตน ก็ย่อมมี จึงกล่าวเปรียบเทียบ สภาวะที่ตรงกันข้ามกันได้ ถ้า "อัตตา" คือสภาพที่เป็นตัวตนไม่มีแล้ว จะเปรียบสภาวะ ที่ตรงกันข้ามมิได้เลย ทำนองเดียวกันกับ รูปวิเคราะห์ศัพท์สมาสอื่น ดังเช่น
น อริโย = อนริโย (อยํ ชโน ชนนี้) มิใช่พระอริยเจ้า
น อสฺโส = อนสฺโส (อยํ สตฺโต สัตว์นี้) มิใช่ม้า
ก็หมายถึงว่า "พระอริยเจ้า" ก็ย่อมมี และ "ม้า" ก็ย่อมมี จึงกล่าวเปรียบเทียบสภาวะที่ตรงกันข้ามได้ว่า "ชนนี้มิใช่พระอริยเจ้า" และ "สัตว์นี้มิใช่ม้า" นี่คือประเด็นสำคัญที่ผู้ศึกษาพึงสังเกต