ปีที่ 2 ฉบับที่ 593 วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 7 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ
แก๊งเฒ่าส.เหิม หมิ่นพระเถระ เรี่ยไรเงินทองกู้วิกฤติ กลับหาเป็นทาส IMF |
มหามารแก๊งเฒ่าส. (คนละคนกับมหาส.) เล่นแร่แปรธาตุ สามหาวจาบจ้วงพระผู้ใหญ่ ทั้งมหาเถรสมาคม และพระผู้ปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบ หากใครได้ฟังการบรรยาย ของแก๊งมิจฉาทิฏฐิ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีความว่า... พระองค์หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหา เต็มบ้านเต็มเมือง พระผู้มีเมตตาเป็นที่ตั้ง มีผู้คนเคารพนบนอบ กราบไหว้อย่างสนิทใจ กลับถูกแก๊งเฒ่ามหาส. จาบจ้วงว่า เป็นพระไม่ดี เรี่ยไรเงินชาวบ้าน ไปให้ไอเอ็มเอฟ
กองบรรณาธิการ พิมพ์ไทย จะกระจอกงอกง่อย แต่เราจะทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา อันเป็นสถาบันที่สูง สถาบันหนึ่งไว้ (ส่วนสมาชิกท่านใด ประสงค์จะเป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย ขอเรียนว่า เราเปิดรับสมัครสมาชิกที่มีใจเป็นธรรม เป็นพุทธแท้ ส่วนพวกมากมีซึ่งเงินบาป เราปิดตายรับสมัคร หากต้องการหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย ไปประดับความรู้ เรายินดีให้ฟรี ก๊อปปี้เป็นธรรมทาน)
โดยเฉพาะจุดยืนในการเสนอข่าววัดพระธรรมกาย ที่สื่อมวลชนเกือบทุกแขนง มุ่งเน้นล้มล้างทำลาย โดยไม่มีใครเสนอทางออก ให้กับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่กลับมีการโป้ปดมดเท็จต่อวัด และเจ้าอาวาส เกินจากตรรกะความจริง หลายเรื่องหลายประเด็น
สำคัญที่สุด ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระนิพพาน จะเป็นอัตตาหรืออนัตตา สิ่งนี้เป็นแก่นแท้ของ พุทธศาสนา นักปรัชญา ทางพระพุทธศาสนาผู้มากด้วยภูมิปัญญาหลายคน ยังเกิดความลังเลใจ กับเรื่องดังกล่าว ขณะที่ผู้ลงมือปฏิบัติ ไม่มีอะไรต้องสงสัยกับเรื่องนี้ อย่างเด็ดขาด ผู้ชำนาญการทางศาสนาหลายคน เดินไปถึงปากประตูพระนิพพาน แต่กลับลังเลระหว่าง คำว่า นิพพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นบรมสุข ก็ธรรมใดเล่าไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บไข้ ไม่ตาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า เป็น อัตตา
อวิชชาแท้ที่กัดเซาะศีล ทาน บารมี ของนักปรัชญาทางพระพุทธศาสนา แม้จะเดินไปถึงปากประตูพระนิพพาน แต่ก็ไม่อาจเข้าไปได้ เพราะมีอวิชชา เป็นเครื่องร้อยรัดกองกิเลสน้อยใหญ่นั้นเอง
แม้จะมีจารึกว่า สัตว์มนุษย์ใดเล่ามีบุญบารมีสูงส่งอุบัติเกิดมาในสมัยพุทธกาล แต่ขบวนการมหามาร ที่กำลังปฏิบัติการทำลาย พระพุทธศาสนา ในห้วงเวลานี้ ต่อให้มีบุญวาสนา มีชีวิตเป็นสัตว์โลกในสมัยพุทธกาล ก็ไม่อาจไปถึงนิพพาน หรือเข้าใจแก่นแท้ของ พุทธศาสนาได้เลย
อนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีสื่อมวลชนสำนักหนึ่ง ได้จัดเสวนาเกี่ยวกับทิศทางพระพุทธศาสนา โดยเชิญพระภิกษุและ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศาสนา มาร่วมวงเสวนา ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง วิทยากรผู้นี้อยู่ในแก๊งผู้เฒ่าส. กล่าวตอนหนึ่งมีนัยยะว่า ทุกวันนี้พระสับสนในหน้าที่ พระอัปรีย์เรี่ยไรเงิน ทองคำ จากประชาชนให้ไอเอ็มเอฟ คำพูดของวิทยากรผู้นี้ ซึ่งสังคมยกย่องให้เป็นนักคิด นักพูด นักเขียน ฯลฯ สร้างความงุนงง ให้กับผู้ร่วมงาน เป็นอย่างมาก แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อพระภิกษุ แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่า เป็นพระคุณท่านรูปใด
เพื่อให้ปัญหาความสับสนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ไม่บิดเบี้ยวไปจากหลักธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิมพ์ไทย ได้นำบทความ เชิงวิชาการเกี่ยวกับ พระนิพพาน มาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ แล้ว
เกี่ยวกับเรื่องนิพพาน เป็นอัตตาหรืออนัตตา พระราชญาณวิสุทธิโสภณ หรือหลวงตามหาบัว แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี เมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2542 ณ วัดป่าบ้านตาด ว่า.... ถ้าพูดตามหลักธรรมชาติ ของผู้ปฏิบัติแล้วนะ นิพพานเป็นอัตตา เป็นอนัตตาได้อย่างไร นั่นมันก็ต้องเอาเข้าตรงนั้นสิ ถ้านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์สิ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ซึ่งเป็นทางพระนิพพาน แล้วพระนิพพานวิเศษวิโสได้อย่างไร
นิพพานพ้นจากสมมติไป โดยประการทั้งปวง แล้วยังมากลับเป็นอนัตตาอยู่อีก นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้เป็นทางก้าวเพื่อพระนิพพาน เมื่อผ่านนี้หมดแล้ว จิตจึงจะเป็นพระนิพพานได้ แล้วนิพพานนั้น จะกลับเป็นอนัตตานี้ ได้อย่างไร ถ้าไปเป็นอนัตตาได้ นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์สิ วิเศษวิโสอะไร เข้าใจไหมล่ะที่พูดนี้ เอาละเพียงแค่นั้น ปฏิบัติให้ถึงของจริงก็แล้วกัน ไม่ต้องไปถามใคร
ปุจฉา-วิสัชนา นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา โดยพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ถาม ตอนนี้มีเรื่องเกี่ยวกับพระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา หลวงตามีความเห็นอย่างไรครับ
ตอบ ไม่ตอบ เข้าใจไหม (หัวเราะ) มันสมควร จะตอบ ตอบทันทีเลย สมควร จะตอบ ยังไม่ถามก็ตอบ เมื่อไม่สมควรจะตอบ ถามเท่าไรก็ไม่ตอบ ไม่เกิดประโยชน์ (หัวเราะ)... (พูดว่าเคยเห็นหลวงตาบัวในทีวีไหม ในทีวีเป็นตัวปลอม แล้วถามว่า ตัวจริงกับตัวปลอม ต่างกันอย่างไรบ้าง)
ถาม นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตางั้นหรือ ตะกี้นี้ มันงมเงากันทั้งนั้นแหละพวกเรา ผู้รู้พระนิพพานเห็นพระนิพพานจริงๆ ท่านไม่ถาม ถามอะไร ไอ้พวกงมเงานั่นแหละมันถาม ทั้งๆ ที่ไม่สนใจกับคำนะ (ก็ยังมาถามว่า) นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา (หัวเราะ)
ในหนังสือมี เคยอ่านหรือยัง ทุกคนนั้นแหละ เรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ไปรู้คำชื่อพระนิพพาน พระนิพพานแท้เป็นยังไง ไม่เคยรู้ แล้วปฏิบัติเพื่อพระนิพพานก็ไม่เคยปฏิบัติ แต่ก็ถามโก้ๆ ไปยังงั้นแหละ เพราะฉะนั้นการตอบโก้ๆ เราจึงไม่อยากตอบ ต้องเอาตัวจริงเข้ามาเลย...
มีผู้มาถามเหมือนกัน พวกมหาเปรียญเขามาถาม เราเป็นหลวงตาบัว มาถามสิ่งเหล่านี้แหละ แต่เมื่อมันพอเป็นคติบ้าง เราก็นำมาพูดให้ฟัง อันไหนที่ไม่เป็นประโยชน์เราไม่พูด เราจะพูดเพื่อประโยชน์อย่างเดียว
นิพพานเป็นอนัตตา ว่าอย่างนั้น บางทีอ้างคัมภีร์มาก็มี นิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตามาถาม ถ้าหากว่ามีความจริงใจที่จะปฏิบัติต่อ แล้วจริงๆ แล้ว นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตา ก็ไม่สำคัญยิ่งกว่า การปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อความสว่างกระจ่างแจ้ง เพื่อปลดทุกข์ ออกจากใจของตน โดยลำดับๆ จะดีกว่าถามหาชื่อพระนิพพาน เป็นไหนๆ นะ มันมีความหมายอยู่อย่างนั้น ถ้าพูดตามหลักธรรมชาติแล้วนะ ของผู้ปฏิบัติแล้ว นิพพานเป็นอนัตตาได้อย่างไรนั่น มันก็ต้องต้อนเอาตรงนั้นซิ
ถ้านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ซิ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นทางพระนิพพาน แล้วพระนิพพานวิเศษวิโสได้อย่างไร นิพพานพ้นจากสมมติโดยประการทั้งปวงแล้ว ยังมากลับเป็นอนัตตาอยู่อีก นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ซินั่น คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน เมื่อผ่านนี้หมดแล้วจิตถึงจะนิพพานได้ แล้วนิพพานจะมากลับเป็นอนัตตานี้ได้อย่างไร อนัตตา ถ้าไปเป็นอนัตตาได้ นิพพานนี้ เป็นไตรลักษณ์ซิ วิเศษวิโสอะไร เข้าใจไหมล่ะที่พูดนี่....???
ปฏิบัติให้ถึงของจริงก็แล้วกัน ไม่ต้องไปถามใครเหมือนกันว่า ความอิ่มนี่ เมื่อเรากินให้อิ่มเต็มที่แล้ว ความอิ่มของเราเป็นอัตตาหรืออนัตตา ถามบ้าอะไรอย่างนั้น ใครก็เคยกิน ใครก็เคยอิ่ม รู้ด้วยกัน แล้วถามหาอะไรว่า เป็นอัตตาหรืออนัตตา มันก็เต็มท้องนี่ว่าไง ถามลมๆ แล้งๆ อย่างนั้นแหละ เอากระพี้มาอวดกัน
สมัยนี้เป็นสมัยคัมภีร์ ไม่ได้สนใจปฏิบัติ ศาสนากลายเป็นศาสนาคัมภีร์ ศาสนากระดาษไปหมด ไม่ได้อยู่กับความประพฤติหัวใจคน เลยเวลานี้ ชาวพุทธเราจึงเป็นชาวพุทธกระดาษ ศาสนากระดาษ ศาสนาตู้คัมภีร์ใบลาน ไม่ได้เข้ามาสู่หัวใจ ที่จะทรงมรรคทรงผล ที่จะขึ้นตามทางพระพุทธเจ้าสอนเลยนะ
เวลานี้ห่างเหินขนาดนั้นแหละชาวพุทธเรา เรียนไปมากน้อยได้เพียงความจำ กิเลสตัวเดียวก็ไม่ถลอกปอกเปิกออกจากความจำ เรียนถึงพระนิพพาน กิเลสก็ไม่ถลอกปอกเปิกแม้สักนิดนึงนะ แล้วก็มาอวดรู้อวดฉลาด อวดลมปากเจ้าของเพียงความจำเท่านั้น มาเป็นมรรคนิพพานได้อย่างไร ต้องปฏิบัติซิ
ท่านสอนให้ปฏิบัติว่าอย่างไร ต้องทำมรรคผลนิพพาน สอนตั้งแต่เริ่มตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา สอนนักปฏิบัติเรา ศีลรักษาให้ดี อะไรที่เป็นภัยต่อศีล อย่าให้มายุ่ง ตัดขาดสะบั้นออกไปเลย นั่นผู้ก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน สมาธิเป็นอย่างไร พิจารณาที่จิต เวลาเราวุ่นวายอยู่เวลานี้ คือจิตทำลายสมาธิความสงบเยือกเย็นของใจ ไม่มีบังคับมันออก
สิ่งเหล่านี้ ด้วยจิตภาวนาของเรา มันก็แจ้งขึ้นมา สมาธิก็ปรากฏเด่นขึ้นมา ถามหาอะไร แจ้งเข้าไปๆ ถึงขั้นปัญญาก็กระจ่างไป กิเลสมีเท่าไร ขาดสะบั้นๆ ไปในหัวใจ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นออกไปหมด จิตหลุดพ้นแล้วถาม หาอะไร นิพพาน แล้วหาตั้งชื่อนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา มีประโยชน์อะไร นั่นภาคปฏิบัติ ภาคแก้กิเลส ภาคฆ่ากิเลส พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้นะ สอนให้แก้กิเลส ฆ่ากิเลส ไม่ได้สอนให้จดจำ คัมภีร์ใบลานแล้วเอาน้ำลายมาอวดกันเฉยๆ
ว่าคนนั้นเรียนได้มาก ชั้นนั้นชั้นนี้ ชั้นขี้หมาอะไรก็ไม่รู้ มันไม่มีความหมายเลย มีแต่ลมปาก เอาความจำมาอวดกัน เอามรรคเอาผล มาอวดกัน ท่านทรงไว้แล้ว นั่นเรามีแต่ลมปาก ลมๆ แล้งๆ มาอวดกัน มันก็เป็นศาสนาลมปาก เป็นหนอนแทะกระดาษไปเลย
เรียนเท่าไรๆ ก็ไม่มีความหมาย ไม่สนใจที่จะแก้กิเลส มีแต่จะสั่งสมกิเลส สำคัญว่าตนเรียนรู้หลักนักปราชญ์ ยิ่งเขามายกยอว่า พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ นี่เป็นบ้าในส่วนล้านเลยนะ นี่เรียนสูงเรียนได้มาก นี่พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ เป็นบ้าของส่วนล้านเลยเชียว หากผู้ปฏิบัติจริงๆ เห็นจริงๆ ท่านไม่ตื่น ตื่นหาอะไร เงาก็รู้ ตัวก็รู้ เงากับตัวมันก็ต่างกัน มันก็รู้ทันทีเลย อะไรจริงอะไรปลอม รู้ทันทีเลย