ปีที่ 2 ฉบับที่ 594 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 8  ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ

ธรรมวิจารณ์

สงสารนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก

พระอรหันต์นิพพานแล้วไม่สูญ

ผมเห็น เสฐียรพงษ์ วรรณปก ออกมาฟาดงวงยืนยันว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา ก็อดเหนื่อยแทนไม่ได้ มิหนำซ้ำ ท่านยังถูกมือมืด ใส่ร้ายป้ายสี

ความจริงผมไม่เห็นด้วยกับ ผู้ที่พิมพ์ใบปลิวแจกจ่าย ใส่ร้ายป้ายสีท่าน เพราะสังคมต่างรู้ดีว่าท่านคือ ราชบัณฑิต จะด่าของสูงๆ ขนาดไหน ก็ไม่มีใครว่าเลวว่าชั่ว อันที่จริงท่านปฏิบัติธรรมมานาน ไม่น่าจะต้องมาพบ กับคำครหาอย่างนี้ หรือจะเป็นผลกรรม แต่ปางใดหนอ

ท่านเข้าใจเองว่า ท่านเป็นคอลัมนิสต์ ที่คนเขายกย่องว่า เขียนหนังสือรู้เรื่องที่สุดคนหนึ่ง แต่ผมมันช่างโง่งมงาย อ่านเรื่องของท่าน แต่ละเรื่อง ก็มีแต่อวิชาหนอ อวิชชาหนอ อยู่ในหัวของผม ถามหลวงตาบัว ท่านก็ยืนยันว่า ถ้าพระนิพพานเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระนิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ ยิ่งชัดไปใหญ่

บทความเชิงวิชาการ เรื่องพระนิพพานเป็นอัตตา ที่ "พิมพ์ไทย" ลงอย่างต่อเนื่อง มีที่ไปที่มา พระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน ท่านก็ไม่เข้าใจ หาว่า ไปลอกหรือตีความกันเอง ตัดอคติ เบิกตาให้กว้างๆ แล้วจะพบสัจจธรรม เพราะการหมิ่นหยามความคิดของผู้อื่น ไม่ทำให้วิญญูชนฉลาดขึ้น

หยุดสงครามน้ำลายไว้แค่นี้ดีกว่า เพราะบัวมีอยู่ 4 เหล่า

ด้วยความเกรงใจอย่างยิ่ง วันนี้จะอ้างที่ไปที่มาเพียวแห่งเดียว คือเทศนาของท่านเปมังกโรภิกขุ แห่งวัดบรมนิวาส

ท่านเปมังกโร ยืนยันไว้ในเทศนาของท่านว่า พระอรหันต์ดับขันธ์ แล้วไม่มีสูญ เชิญติดตามต่อไปครับ

พระอรหันต์นิพพานแล้ว สูญไปไม่มีเหลือ หรือยังมีอยู่อย่างไร ปัญหาข้อนี้ นับเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง เหมือนกัน ตามที่ได้สังเกตมา เป็นส่วนมากมาย ที่เห็นกันว่า พระอรหันต์ตายสูญ ไม่มีอะไรเหลือ ที่เข้าใจอย่างนี้ มักอยู่ในจำพวกที่เห็นว่าอัตตาตัวตนไม่มี มีแต่อนัตตา แต่พวกที่ลังเลสงสัยไม่แน่ใจ อยู่อีกมากมาย จะสูญหรือจะยังอยู่ ตั้งอยู่อย่างไร พูดไม่ออก บอกไม่ได้

"สูญ" คำนี้ใช้ได้เฉพาะสังขารธรรม คือ สังขารธรรมเกิดขึ้นแล้ว ดับสูญไป ถึงแม้สังขารธรรมบางอย่าง เหตุประกอบให้อายุยืน ก็อยู่ในเกณฑ์สูญ ให้เป็นกิริยาวิเศษณ์ของคำว่า ดับ หรือ ตาย น่าจะได้อยู่คือ ดับสูญ ตายสูญ สำหรับสังขารธรรม แต่จะใช้กับ อสังขตธรรมนั้น ไม่ได้เลยทีเดียว เพราะอสังขตธาตุไม่ดับไม่ตายไม่สูญหายไปไหน

จะพูดว่า อสังขตธาตุสูญ นิพพานหรือพระอรหันต์สูญนั้นไม่ได้ เพราะอสังขตธาตุเป็นธาตุที่ไร้เหตุ ไม่ใช่อะไรๆ หรือ พระเจ้า ได้สร้างสรรค์มา เป็นของเดิมเป็นอยู่อย่างนั้นเอง พระนิพพานก็เป็นตัวความบริสุทธิ์ อยู่ที่อสังขตธาตุ พระอรหันต์ก็เป็นบัญญัติ ลงที่อสังขตธาตุ จะใช้คำพูดว่า สูญไม่ได้ ลูกคลื่นลูกหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว ดับสูญไป ไม่มีอะไรเหลือ ลูกใหม่เกิดขึ้นอีก ก็ดับสูญไป เช่นเดียวกัน เราพูดว่า ลูกคลื่นดับแต่สูญ ตามความเป็นจริงเช่นนั้น มนุษย์ผู้ลืมตาย่อมฟังได้ ถ้าจะพูดว่า น้ำสูญ มนุษย์ผู้ลืมตาฟังไม่ได้ หรือไฟสูญดินสูญ มนุษย์ผู้ลืมตา ก็ฟังไม่ได้ พูดว่าเลิกถอนบัญญัติ หรือสมมติออกเสีย แล้วไม่มีวัตถุอะไรเลย อย่างนี้มนุษย์ผู้ลืมตา ก็ฟังไม่ได้เหมือนกัน อสังขตธาตุ หรืออมตธรรมนั้น เป็นบัญญัติลงในวัตถุ หรือธรรมที่ปราศจากเหตุ เป็นของไม่ตาย จะกล่าวว่า พระอรหันต์ตายสูญได้อย่างไร พระอรหันต์เป็นขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา พระอรหันต์ก็ถอนอัตตานุทิฏฐิ ออกจากขันธ์ 5 แล้วเหตุใด พระอรหันต์จึงตายสูญอยู่อีกเล่า?

บางท่านเทศนาสั่งสอนเขาอยู่ว่า พระอรหันต์ท่านดับได้แต่ปกิณกทุกข์คือ ทุกข์ใจ แต่ส่วนสภาวทุกข์คือ ทุกข์กาย ท่านดับไม่ได้ ต้องแก่ เจ็บ ตาย อยู่เหมือนคนสามัญ เอาตำราเหลวไหลมาพูด ถ้าพระอรหันต์ยังแก่เจ็บตายอยู่ เหมือนคนสามัญจริงๆ แล้ว ที่ตรัสสอนว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นั้นก็ผิด ขันธ์ 5 เป็นเราซิ จึงพูดว่า พระอรหันต์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ ก็เมื่อขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแล้ว พระอรหันต์ แก่ เจ็บ ตาย ทำไมอีกเล่า พระอรหันต์เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธาตุนั้น หาได้แก่เจ็บไม่ ประการหนึ่ง ถ้าพระอรหันต์ แก่ เจ็บตาย แล้ว ที่ว่าอุปทาน การยึดถือ มีตัณหาเป็นปัจจัยนั้น ก็ผิดเหมือนกัน พระอรหันต์ท่านสิ้นตัณหาแล้ว อัตตานุปาทาน การยึดถือขันธ์5 ว่าเป็นตัวตนจริง ยังมีอีกหรือ จึงว่า พระอรหันต์ แก่ เจ็บ ตาย ถ้าไม่ผิด พระอรหันต์สิ้นตัณหาแล้ว อุปาทานก็ต้องสิ้นตาม เพราะสิ้นเหตุ ก็เมื่ออุปาทานสิ้นแล้ว จะเอาพระอรหันต์ที่ไหน ในขันธ์ 5 อีกเล่า จึงควรพูดว่า พระอรหันต์ไม่ตายไม่สูญ จึงจะชอบและพระองค์ก็ตรัสไว้ว่า

"ปภสฺสรมิทํภิกฺขเว ตญฺจโข อุปกิเลเสหิปุปกิลิฏฐํ" ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็แต่ว่าจิตนั้นแล อันอุปกิเลสทั้งหลายจรเข้ามา ทำให้เศร้าหมองเสียแล้ว ดังนี้ ที่พระองค์ตรัสว่า จิตเป็นของผ่องใสในที่นี้ โดยทรงหมายเลขเอาอสังขตธาตุ ซึ่งเป็นธรรมชาติผ่องใส และอาจทำให้ผ่องใสได้ ในเมื่อเศร้าหมองไป ก็ในสมัยเมื่อ จิตต้องตกอับยับเยิน ด้วยอำนาจอุปกิเลสเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่สูญเสียเล่า จิตซึ่งมีอสังขตธาตุอยู่ด้วยนั้น ก็ยังหาได้ดับสูญไปไม่ ครั้นทำให้บริสุทธิ์ผ่องใส เป็นนิพพานได้นามว่า พระอรหันต์แล้ว จะมาเกิดตายหายสูญขึ้นได้ ด้วยเหตุอันใด ฟังไม่เข้าใจในข้อว่า พระอรหันต์ตายสูญ หรือจะหมายความว่า เพราะได้ความบริสุทธิ์เป็นนิพพานขึ้นแล จึงตายสูญ เพราะสิ้นไปแห่งเหตุ คือตัวกิเลส อันเป็นเหตุเวียนเกิดเวียนตาย เมื่อเช่นนั้น เหตุใดจึงกล่าวว่า พระนิพพานเป็นของเที่ยงเล่า ก็เมื่ออสังขตธาตุ อันเป็นที่ตั้ง แห่งความบริสุทธิ์ คือพระนิพพานดับสูญไปแล้ว พระนิพพานก็ดับสูญไปตามกัน เหมือนความบริสุทธิ์ของภาชนะ เมื่อตัวภาชนะแตกยับเยิน หายสูญไปไหนหมดแล้ว ความบริสุทธิ์ของภาชนะนั้น จะต้องปรากฏอยู่อย่างไรได้ หากจะมีได้ ก็คงฟังกันได้ ในบุคคลจำพวกหนึ่งแต่ผู้เขียนเรื่องนี้ฟังไม่เข้าใจ

อสังขตธาตุนั้นจะเป็นรูปหรือนามก็ตาม หากมีแล้วจะดับสูญไม่ได้เลยทีเดียว เพราะเป็นของเดิม เป็นธรรมชาติไม่ตาย และตั้งอยู่ ตามลำพังตนเองได้ ไม่ต้องอาศัยสังขารธรรม สังขารธรรมเท่านั้น ซึ่งตั้งอยู่โดยลำพังตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยอสังขตธาตุ ของไม่ตาย กับของตาย ย่อมมีเป็นคู่กัน ของตายย่อมอาศัยของไม่ตายตั้งอยู่ เหมือนกับน้ำกับลูกคลื่น ลูกคลื่นนั้นแม้มีวัตถุอย่างอื่น เช่น ลม เป็นต้น เป็นปัจจัยก็จริงแล แต่ต้องอาศัยน้ำ ถ้าไม่มีน้ำ คลื่นย่อมมีไม่ได้ ส่วนน้ำ หากคลื่นไม่มีก็มิได้นำไม่ต้องอาศัยคลื่น