ปีที่ 2 ฉบับที่ 595 วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 9  ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ

วิวาทะ

สาส์นจากนักข่าวกระจอก

ถึงราชบัณฑิต "เสฐียรพงษ์"

"อัตตา-อนัตตา" ต้องพึ่งกัน

คุณเสฐียรพงษ์ วรรณปก ไม่ทราบจริงๆ หรือครับว่า ไตรลักษณ์มี 3 อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คืออะไร? ถ้าทราบ ทำไม ยังยืนยันว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา นั่นคือ ความไม่มีตัวตน ไม่แน่แท้ หาแก่นสารสาระใดๆ จากพระนิพพาน ไม่ได้เลย

คุณเสฐียรพงษ์ อ้างพระไตรปิฎก เล่มที่ 8 หรือหลายๆ เล่มที่ท่านยกขึ้นมาเขียน แม้พระไตรปิฎกจะถูกชำระ มาหลายครั้ง แต่ท่านก็เชื่อในตำรา ที่ร่ำเรียนมา ตั้งแต่สมัยเป็นเณรน้อย จนถึงปัจจุบัน สรุปเจาะจงก็ตรงที่ "สัญญา" ความรู้จำ

คุณเสฐียรพงษ์ ลืมพุทธพจน์บทนี้แล้วหรือครับ แม้พระไตรปิฎกจะเป็นของจริง ก็อย่าได้เชื่อถือโดยอ้างตำรา อย่าได้เชื่อถือ โดยเห็นว่า ต้องกันกับทิฏฐิของตน และอย่าได้เชื่อถือโดยเห็นว่า สมณะนี้เป็นครูของเขา

แต่จงเชื่อถือโดยนำไปทดลองปฏิบัติ และได้ผลสมจริงดังที่ตำราลิขิตไว้

หากหลงลืมพุทธพจน์คุณเสฐียรพงษ์ สามารถหาอ่านได้จาก "เกสปุตตสูตร เล่มที่ 20 ข้อ 505 หน้า 212-213

ที่ผ่านมา คุณเสฐียรพงษ์ สามารถด่ากราดพระสงฆ์ หรือบุคคลที่มีความคิดเห็น ไม่เหมือนท่านเป็นนิจ และก็ยังมองว่า ความเห็นของผู้อื่น ไม่ถูกต้องบิดเบี้ยว ไม่เหมือนกับตำราที่ท่านร่ำเรียนมา

หากวิชาที่ท่านศึกษา ปฏิบัติเจริญธรรมมาตลอดชีวิต เป็นของแท้แน่นอน เป็น นิจจัง สุขขัง อัตตา แล้วทำไมคุณเสฐียรพงษ์ สึกหาลาเพศ ออกมาเป็นคอลัมนิสต์ เกลือกกลั้วกองกิเลสน้อยใหญ่ ในสังสารวัฏ ทำไมกันล่ะครับ...??

พูดไปท่านก็ไม่สบายใจ แต่อยากให้ท่านเปิดใจกว้างสักนิด รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ด้วยปัญญาบ้าง น่าจะเป็นประโยชน์ต่อ บวรพระพุทธศาสนาของเรา ดีกว่าตั้งแง่ตั้งงอน เอาชนะคะค้านกัน ไม่ใช่หรือ

ท่านอาจมองผมเรียนน้อย รู้น้อย พลอยรำคาญก็เป็นเรื่องถูกของท่าน

ท่านมองหนังสือพิมพ์ "พิมพ์ไทย" เป็นศูนย์รวมของไอ้พวกกระจอก นั่นก็เป็นความรู้สึกของท่าน ที่มีสภาวะจิตไม่นิ่ง ไม่เที่ยง ไม่เบิกบาน ไม่ผ่องใส ด้วยท่านไม่พอใจ ที่ทีมงานของเรา มีความเห็นไม่เหมือนท่าน ไม่ตรงกับท่านและไม่สอดรับกับท่าน

ผมไม่แปลกใจและไม่กังขา เพราะทราบดีว่า เป็นเรื่องที่ถูกจริตของท่านอยู่แล้ว

ผมทราบแต่ว่า ท่านบวชเรียนมามากกว่าผม มีคุณวุฒิ วัยวุฒิสูงส่งกว่าผม มีชื่อเสียงเกียรติยศมากกว่าผม เป็นคนดีในสายตาของสังคม

รอบรู้เรื่องพระนิพพานมากกว่าผม

เพราะท่านร่ำเรียนได้ข้ออรรถข้อธรรมปริยัติธรรม 9 ประโยค

ส่วนผมแค่นักธรรมตรีกระจอกๆ ธรรมสนามหลวง ยังไม่มีบุญบารมีวาสนา ได้สอบได้เทียบกับเขาเลย แล้วจะเอาภูมิรู้ปัญญาขุมไหน มาเสนอหน้า สรรเสริญท่าน วันละ 3-4 เวลา เช้า สาย บ่าย เย็น

ท่านมีครอบครัว ที่แสนจะอบอุ่น เพี้ยบพร้อมไปทุกด้าน....!!!

ส่วนผมไม่มีครอบและครัว บ้านเช่น ข้าวซื้อ กินเงินเดือนเป็นกรรมกรข่าวล้วนๆ ไม่มีจ๊อบนอกจ๊อบใน

เมื่อครั้งที่ท่านสึกหาลาเพศ จากสมณะ ญาติโยมอุปัฏฐาก ถึงกับหลั่งน้ำตา ตะลึงไปทั้งบ้านเมือง

ส่วนผมอยากจะอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ให้นานๆ แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากกงกิเลสตัณหาได้ ด้วยปัจจัยเงื่อนไขทางโลกหลายประการ สู้ลาสิกขาดีกว่า ก่อนที่จะลุต่อกิเลส ทำเรื่องไม่เหมาะสม ไม่ควร ขณะครองเพศบรรพชิต เพราะเห็นว่า เป็นกรรมหนัก ตกนรกหลายขุม

เมื่อท่านอยู่ในเพศฆราวาส ท่านก็เป็นนักดื่มมือหนึ่ง ส่วนผมมันคออ่อน คอแป๊บ มิบังอาจดวดชนแก้วกับท่านแน่ ที่สำคัญ ผมไม่สามารถแสดงธรรม ในวงเหล้าได้อย่างท่าน จนนักเขียนชื่อดังชมชื่นท่านว่า คุยกับพี่เสฐียรได้ทั้ง ธรรมรส และ เมรัยรส ในเวลาเดียวกัน

โซตัส