ปีที่ 2 ฉบับที่ 595 วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 9 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ
พระอรหันต์ดับแล้วไม่สูญ ความพ้นไปแห่งจิตเหมือนเปลวเพลิงที่ดับไป |
ท่านเปมังกโร ภิกขุ แห่งวัดบวรนิวาส เทศนาธรรม พระอรหันต์ดับขันธ์แล้วไม่มีสูญ
บางท่านเข้าใจคิดว่า จิตเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ ดังได้พูดครั้งหนึ่งแล้วในเรื่อง สัสสตทิฏฐิ เกิดแล้วก็ดับไปๆ ในวันหนึ่ง ๆ จิตได้เกิดดับแล้ว แทบจะว่านับไม่ถ้วน อันเป็นสำนวนในหนังสือ พระอภิธัมมัตถ สังคหะอรรถกถา พระอนุรุทธาจารย์ซึ่งถือกันว่า เป็นอย่างสูง ในคัมภีร์อรรถกถาโดยอรรถและธรรม บ่นกันว่า เข้าใจยากที่สุด คล้ายว่าเป็นหนังสือบอกจำนวนจิต
น่าจะทำความเข้าใจว่า ในคนหนึ่งๆ ก็มีจิตหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสอง แต่ทว่ามากโดยกิริยาอาการจิต เช่น โลภะก็เป็นอาการอันหนึ่ง โทสะก็เป็นอาการอันหนึ่ง โมหะก็เป็นอาการอันหนึ่ง เป็นอาทิ เหมือนคนเรากับ อัตภาพร่างกาย ก็มีอยู่หนึ่ง ไม่ถึงสอง แต่สำแดงกิริยาอาการ ได้หลายสิบอย่างในวันหนึ่งๆ
พึงเห็นตามพระพุทธภาษิตนี้ว่า "ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา" ดังนี้ ความว่า ชนใดจะสำรวมจิต ซึ่งเป็นธรรมชาติดวงเดียว ไม่มีสรีระ มีคูหาเป็นที่อาศัย เที่ยวไปสู่ที่ไกลได้ เขาย่อมพ้นจากเครื่องผูก คือกิเลสมาร ดังนี้ ถ้าหากว่าจิตเกิดดับ จิตก็เป็นอาการ ของอะไรต่อไปอีกสิ่งหนึ่ง ต้องหาตัวประธานของจิตนั้นมาให้ได้
ถ้าได้เป็นการดี ถ้าไม่ได้ก็ฟังไม่ขึ้น แต่ในที่นี้เข้าใจว่า จิตนั้นเองเป็นบัญญัติลง ในสิ่งซึ่งเป็นประธานอยู่แล้ว อันธรรมดา สิ่งซึ่งเป็นประธาน ย่อมเกิดดับไม่ได้ สิ่งซึ่งเกิดดับไปนั้น เป็นกิริยาอาการ ของจิตใจ คือ วิญญาณหก (ข้อที่ 6) เรียกว่า มโนวิญญาณ ความรู้แจ้งในทางใจ นี้ชี้ให้เห็นว่า วิญญาณเป็นอาการของมโน เกิดขึ้นในขณะผัสสะกระทบ มโน ใจ หรือจิตนั้น เป็นตัวประธาน มโนปุพฺพงฺคมาธมฺมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มโนเสฏฺฐา มโนมยา มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ จิตฺเตน นียติโลโก โลกมีจิตเป็นนายผู้นำ พระพุทธภาษิตที่ว่ามาเหล่านี้ ก็ชัดความอยู่รู้แล้วว่า ใจหรือจิตนั้น เป็นประธานสังขารธรรม ทั้งหลายในภายใน หรือนามขันธ์ 4 เป็นกิริยาอาการของใจ ในชีวิตของผู้เขียนเรื่องนี้ จิตยังไม่เคยดับเลย สักครั้ง เกิดดับแต่กิริยาอาการ เป็นแต่เปลี่ยนอารมณ์นี้ ปล่อยจากอารมณ์นี้ จับอารมณ์นั้น ปล่อยจากอารมณ์นั้น จับอารมณ์โน้น อื่นๆ ต่อไปอีก
ถ้าจิดดับเสียแล้ว ก็คิดเขียนเรื่องนี้ไม่ได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์พุทธสาวกก็ดี เมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพาน (ตาย) เข้าใจว่า จิตของท่านพ้นไป จากโลกนี้เท่านั้น หาได้ดับสูญไปด้วยไม่ โดยความหมายถึง อสังขตธาตุหรืออมตธรรม
พึงพิจารณาดูตามความในบาลีต่อไปนี้ จะยกมากล่าวเฉพาะข้อที่ต้องประสงค์มีอยู่ในพระสุตตันตปิฎกอังคุตตรนิกาย ติกนิบาตสิกขาสูตรข้อ 530 ว่า วิญญาณสฺส นิโรเธน ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโน ปชฺโชตสฺเสว นิพฺพานํ วิโมกฺโข โหติ เจตโส ดังนี้ ความว่า ความพ้นไปแห่งจิตของพระขีณาสพ เหมือนเปลวเพลิงที่ดับไป เพราะดับไฟแห่งวิญญาณ ดังนี้ ศัพท์ว่า ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโน เป็นคุณบทแปลว่า "พ้นพิเศษ เพราะเหตุสิ้นตัณหา" แต่เอาเป็นชื่อพระขีณาสพ เพราะท่านได้คุณสมบัตินั้น เพื่อต้องการความสะดวกฟังง่ายขึ้น
คราวนี้จงกลับไปดูคำแปลนั้นเสียอีกหนหนึ่งว่า ความพ้นไปแห่งจิต ของพระขีณาสพ เหมือนเปลวเพลิงที่ดับไป เพราะดับไปแห่งวิญญาณ ดังนี้ ที่เข้าใจกันว่า จิตกับวิญญาณเป็นอันเดียวกันนั้น ในที่นี้ ท่านผู้อ่านจะได้เห็นว่า มีอยู่ทั้ง 2 วิญญาณ ใช้กิริยาว่า ดับ (นิโรธ) จิตว่า พ้น (วิโมกข์) จะเหมือนกันหรือต่างกัน คงจักได้ทราบ
และในที่นี้ แสดงว่า เพราะเหตุวิญญาณดับ จิตของพระขีณาสพ (พระอรหันต์) จึงพ้นไป วิญญาณนั้นเป็นสังขตนามธรรม ในพวกนามขันธ์ 4 คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านยกมาพูดไว้แต่วิญญาณขันธ์ ถึงดังนั้น ก็ได้ชื่อว่า เป็นอันพูดหมดทั้ง 4 ขันธ์ด้วย เมื่อพูดถึงวิญญาณดับ แล้วนามขันธ์นั้น ๆ จะอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องดับไปตามกันหมด แม้ไม่ปรากฏเป็นถ้อยคำ ก็หมายหมดทั้ง 4 ขันธ์ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ควรทำความเข้าใจว่า เพราะรูปขันธ์ตาย นามขันธ์ 4 เหล่านั้นดับ เพราะนามขันธ์ 4 เหล่านั้นดับ จิตของพระขีณาสพ จึงพ้นไป เมื่อจิตของ พระขีณาสพ พ้นไปจาก สังขตนามธรรม สิ้นเสร็จเช่นนี้แล้ว สภาพแห่งอสังขตธาตุ ของท่าน ก็เกิดปรากฏการณ์เต็มที่ พร้อมด้วย อริยผล เข้าเป็นเครื่องกำกับ ไม่กลับเกิดในโลกอีกต่อไป
ส่วนจิตของคนสามัญเมื่อตายแล้ว ต้องกล่าวว่า วิญญาณย่อมถือปฏิสนธิ เกิดอีกในโลกต่อไป ด้วยอำนาจสังขตธรรมที่เจือปน ดังกล่าวแล้ว ตามความในพระพุทธภาษิต ที่ยกมากล่าวนี้ เห็นได้ว่า จิตพ้นไปจากโลกนี้เท่านั้น หาได้ดับสูญหายไปไหนไม่ พระอรหันต์ก็เป็น บัญญัติลงที่จิต จิตนั้นเล่าก็เป็นบัญญัติลง ที่อสังขตธาตุๆ ก็เป็นบัญญัติลงในธรรมธาตุสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของเดิมเป็นธาตุที่ไม่ตาย
เพราะฉะนั้น เราก็พยากรณ์ได้ว่า พระอรหันต์ตายแล้วไม่สูญ เรื่องนี้ มีนัยอันสุขุมลุ่มลึก เห็นได้ยาก ในเมื่อไม่พิจารณาให้ถึงใจ ในสมัยเมื่อครั้งพุทธกาล ใครๆ เมื่อเกิดความสงสัย เข้าไปเฝ้าทูลถามเรื่องนี้ อยากทราบว่า มีคติเป็นอย่างไร พระองค์ทรงแสดง ยกคติแห่งเปลวไฟที่ดับ มาเปรียบเทียบให้ได้ฟังเสมอ
เท่าที่ได้เห็นเช่นที่มาอีกแห่งหนึ่งว่า "อจฺจิ ยถา วาตเวเคน ขิตฺตํ อตฺถํ ปเลติ สงฺขํ เอวํ มุนี นามกายา วิมุตฺโต อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ" ดังนี้ ความว่า เหมือนเปลวไฟที่ถูกลมพัดโดยแรง ย่อมดับไป ไม่นับว่าตั้งอยู่อย่างไร ที่ไหน มุนี (พระอรหันต์) ที่พ้นแล้วจากนามกาย (นามขันธ์ 4) ก็อย่างนั้นย่อมดับไป ไม่นับว่า ไปตั้งอยู่อย่างไร ที่ไหน
ดังนี้ ถ้าพระอรหันต์พ้นจากอัตภาพนี้แล้วสูญไป อย่างความเข้าใจของคนบางจำพวกแล้ว เหตุใด จึงไม่ทรงแสดงว่า สูญไว้ให้ชัดความเล่า เข้าใจว่า เพราะพระองค์เป็น สัพพัญญูแท้จริงทีเดียว เป็นเอกอัครมหาบัณฑิต โดยเที่ยงแท้ ความเป็นหนึ่งของพระองค์ ย่อมบังคับพระวาจา ไม่ให้ผิดจากความเป็นจริง
ถ้าพระองค์ตรัสว่า สูญแล้ว ความรู้ของพระองค์เอง ในที่ทั้งปวงจะขัดกันขึ้น ทำให้ฟั่นเฝือ ผู้รู้ตริตรองแล้ว จะไม่เชื่อว่า พระองค์เป็นสัพพัญญู โดยแท้จริง การที่ทรงแสดงยกเอาคติแห่งไฟ เข้ามาเปรียบเทียบนั้น ทำให้เห็นว่า คติของพระอรหันต์ คล้ายกันกับ คติแห่งไฟมาก
จึงควรยกไฟขึ้นพิจารณาก่อน ไฟเท่าที่เรารู้จัก ก็คือ ร้อนอย่างหนึ่งเปลวอย่างหนึ่ง แสงสว่างอย่างหนึ่ง 3 อย่างนี้ ไม่เหมือนกัน ก็ที่เรียกว่า ไฟนั้นหมายเอาอย่างไหน เข้าใจว่า หมายเอาความร้อนเรียกว่า อัคคีไฟ ส่วนเปลวและแสงสว่าง เป็นอาการไฟ หรือ คุณภาพของไฟ อาการย่อมเป็นของเกิดดับ
(อ่านต่อฉบับวันพรุ่งนี้)