ปีที่ 2 ฉบับที่ 596 วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 10  ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ

ธรรมวิจารณ์

นิพพานเป็นธรรมเที่ยง-ถาวร ไม่ตาย

จะกล่าวเป็น "อนัตตา" สูญเปล่า
ไม่ได้

เทศนาของ ท่านเปมังกโร ภิกขุ แห่งวัดบรมนิวาส พระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตาดังนี้

แม้พุทธภาษิตที่ยกมาพูดนั้น พระองค์ก็ตรัสว่า เปลวไฟดับเหมือนกัน อาการของไฟจะกล่าวว่าสูญได้อยู่แล แต่ธาตุไฟซึ่งเป็นตัวประธาน จะสูญด้วยหรือ ถ้าธาตุไฟสูญ ธาตุดินและธาตุน้ำ ก็อยู่ในคติแห่งของสูญเป็นอย่างเดียวกัน ของที่สูญไปแล้วไม่กลับมีอีกได้

แต่เราเห็นเกิดอยู่ในที่นั้นๆ โดยปกตินั้น มาจากไหนเป็นอย่างไร ไฟเมื่อมีอาการดับหมดแล้ว ก็ไม่ปรากฏด้วยจักษุ คือตาเนื้อทั้ง 2 ของท่านได้ แต่ชมผู้มีปัญญาจักษุ ยังเห็นอยู่ว่ามี แต่จะชี้ให้เห็นว่า เป็นรูปอย่างไร ตั้งอยู่ที่ไหนนั้นยาก เพราะไฟไม่ใช่วิสัยของจักษุ เราจะต้องทราบได้ด้วยกายสัมผัส เพราะฉะนั้น ไฟที่ดับอาการแล้ว เป็นของมีคติ อันนับว่าอย่างไรไม่ได้ ก็เพราะไม่เห็นอาการ ให้หมายรู้กันนั้นเอง นี่แหละฉันใด พระอรหันต์ที่พ้นจากโลกนี้ไปแล้ว ก็มีคติอันถึง ซึ่งนับว่าเป็นอย่างไรไม่ได้

ก็เพราะสิ้นอาการที่สามัญสัตว์โลกจะพึงเห็น มีแต่อาการอันพระอริยเจ้าจะพึงเห็นได้ ด้วยปัญญาจักษุของท่านเท่านั้น ฉันนั้นแล จะกล่าวว่า “สูญ” นั้นไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าสูญแล้ว จะบัญญัติเรียกสิ่งนั้นว่า อสังขตธาตุหรืออมตธรรมนั้นผิด อสังขตธาตุที่ได้รับความบริสุทธิ์ เป็นนิพพานแล้ว ย่อมเป็นธรรมธาตุ ที่เที่ยงถาวรและไม่ตาย

แต่ขันธ์ 5 นั้นเป็นของไม่เที่ยง ไม่ถาวรก็ต้องแปรปรวนแตกดับไป เมื่อเป็นเช่นนั้น ขันธ์ 5 เท่านั้น เป็นของตายสูญ พระอรหันต์หาได้สูญด้วยไม่ พระอรหันต์ไม่ใช่ขันธ์ 5 นั้นจริงแท้ แต่เมื่อขันธ์ 5 ยังตั้งอยู่ พระอรหันต์ก็เกี่ยวเนื่องอยู่กับขันธ์ 5 ถ้าไม่เกี่ยวเนื่องกันแล้ว

ท่านจะครองขันธ์ 5 อยู่ทำอะไรเล่า ออกไปเสียมิดีกว่าหรือ ไม่พักรอให้กายตาย เพราะความจริงมีอยู่ว่า “ภารา หเว ปัญจักขันธา” ขันธ์ทั้ง 5 แล เป็นภาระหนักจะต้องบริหาร จะบริหารเอาประโยชน์อะไรเล่า แต่หนีออกไปไม่ได้ง่ายอย่างว่านั้น หากจะได้ ก็ต้องฆ่าตัวตายเท่านั้น เรื่องนี้เข้าใจว่า สังขตธรรม คือนามธรรม 4 เหล่านั้น

เป็นลักษณะอาการแห่งอสังขตธาตุ อย่างที่ได้พูดมาแล้วแต่ต้นๆ แยกให้ออกจากกันยาก ในเมื่อเหตุตั้งอยู่ นามขันธ์ 4 ซึ่งเป็นลักษณะอาการ แห่งอสังขตธาตุนั้น อาศัยผัสสะจึงเกิดขึ้น ผัสสะนั้นเล่าก็อาศัยอายตนะ มีตาเป็นต้น จึงเกิดขึ้น อายตนะนั้นเล่า ก็อาศัยรูปขันธ์คือ อัตตภาพร่างกายนี้แหละตั้งอยู่ ก็เมื่อรูปขันธ์ยังไม่แตกตาย อายตนะก็ยังตั้งอยู่ได้

ก็เมื่ออายตนะยังมีอยู่ ผัสสะก็ยังมีอยู่ เมื่อผัสสะยังมีอยู่ นามขันธ์ 4 ก็ยังมี เมื่อนามขันธ์ 4 ยังเป็นไปอยู่ พระอรหันต์ก็ยังเกี่ยวเนื่อง แต่ต้องทำความเข้าใจให้มั่นว่า พระอรหันต์นั้นไม่ใช่ขันธ์ เพราะฉะนั้นจึงว่า พระอรหันต์จะออกไปเสียง่ายๆ ก่อนที่รูปขันธ์จะแตก ตามประสงค์นั้นไม่ได้ ในเมื่อเหตุยังตั้งอยู่

เหมือนเปลวและแสงสว่างของดวงประทีป จะดับไปก่อนเหตุนั้นไม่ได้ ก็ครั้งรูปขันธ์กล่าวคือ อัตตภาพร่างกายอันนั้น ถึงความพิบัติตายลง เพราะสิ้นไปแห่งเหตุ แล้วเมื่อใด เมื่อนั้นนามขันธ์ 4 ก็ดับไปตามหมดสิ้น เมื่อนั้นพระอรหันต์ จึงเกิดเป็นอสังขตธาตุเต็มที่ พระอรหันต์หาได้สูญไปไหนไม่ ดังว่ามานี้แล

เรื่องอริยสัจ 4 หรือนิพพาน ตามที่ได้พูดมามากมาย ถึงเพียงนี้ หากจะพูดว่า ยังไม่แจ่มแจ้งชัดเจน ยังมืดมนมัวซัวอยู่อีกมากก็ตาม ก็พอเป็นเงื่อนเงาเลาทาง ให้แก่ผู้ที่สนใจในทางนิพพาน หรือจิตศาสตร์ชั้นสูงได้บ้างแล้ว การแจ่มแจ้งชัดเจนนั้น เป็นเพราะอำนาจบารมี การอบรมสร้างสม ของผู้อ่านผู้ฟังด้วยก็ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะผู้แสดงผู้เขียนอย่างเดียว ก็ควรจะเอวังจบกันเสียเท่านี้ที

อริยสัจ 4 หรือนิพพานนี้ เป็นความรู้ของพระมหาบุรุษรัตน์ สิทธัตถราชกุมารคนเดียวโดยตรง แปลว่า พระองค์เป็นคนที่ 1 ในความรู้เรื่องนี้ ไม่มีศาสตราจารย์คนใดในโลก มีส่วนร่วมเกี่ยวข้องด้วย เมื่อพระองค์ตรัสรู้ความรู้นี้แล้ว ก็ทรงได้เนมิตตกนามว่า

พุทโธ เป็นพระพุทธเจ้า พ้นจากความเป็นสามัญชน หรือสัตว์โลก คือพ้นจากอำนาจของกิเลสมารหมด แปลว่า กิเลสน้อยใหญ่ทั้งปวง ต้นเหตุ รากฐาน สมุฏฐาน ไม่รวมลงที่อวิชชาอ้ายโง่บ้าตัวเดียวเท่านั้น

พระพุทธองค์ได้เป็นผู้วิเศษประเสริฐเลิศกว่าเทวดามนุษย์ทั้งหลาย ได้อิสรภาพเสรีภาพ เต็มสมบูรณ์ เพราะตรัสรู้สัจจะ   ตรัสรู้อริยสัจ 4 หรือนิพพาน ดังแสดงมานั้น ณ ภายใต้ไม้วัสสถอสัตถพฤกษ์ หรือโพธิพฤกษ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา อุรุเวลาประเทศ อำเภอเสนา เขตแคว้นแดนดินมคธ อาณาจักรชมพูทวีปภารตวรรตอินเดีย เมื่อวันพุทธขึ้น 15 ค่ำ เพ็ญกลางเดือนหก ก่อนพุทธศก 46 ปี มีโดยประการดังนี้

(อ่านต่อฉบับวันพรุ่งนี้)