ปีที่ 2 ฉบับที่ 597 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 11 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ

สงครามศาสนาในอนุทวีป ปะทุรุนแรง รัฐบาลดึงการเมืองเข้าพัวพัน สถานการณ์ในอินเดีย กำลังร้อนแรง ความขัดแย้งในเรื่องความเชื่อ ในลัทธิศาสนา กำลังถูกดึงเข้าไปเป็นประเด็นการเมือง ก่อนที่พรรคภาราติยะชนะตะ หรือบีเจพี ของนายอะตาล   วัชปายี   จะเกิดขึ้นบริหารประเทศ  มีการปะทะกัน ระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิม   เพียงปีละไม่เกิน 15 ครั้ง แต่หลังจากที่พรรคบีเจพี ขึ้นเป็นรัฐบาล มีการปะทะขึ้น บาดเจ็บ ล้มตาย เพราะเรื่อง ความแตกต่าง ในการนับถือศาสนา เกิดขึ้นถึง  108 ครั้งแล้ว และกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เหตุการณ์ปะทะกันครั้งร้ายแรงที่สุด  เกิดขึ้นที่เมืองอาห์วา  เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีพลเมืองเพียง 10,000 คน อยู่ทางภาคตะวันตก ของรัฐกุจราช ชาวฮินดูหลายพันคน เดินขบวนไปตามท้องถนน ประนามการจัดงานเทศกาล ตามคตินิยมของคริสเตียน

ต่อมาม็อบถูกกระตุ้นให้เกิดความโกรธแค้นอย่างหนัก   ถึงกับยกพวกเข้าทำลายโรง เรียนของชาวคริสเตียน ที่ ดีพ ดาร์ชาน ในขณะที่แม่ชีกำลังสอนนักเรียนอยู่ ในวันต่อมา  โรงเรียนที่ดำเนินการโดย  คณะเจซูอิต ในอีกหมู่บ้านหนึ่ง ถูกม็อบในลักษณะเดียวกัน เข้าจู่โจมทำลาย ทำให้บาดหลวงเจซูอิต ได้รับบาดเจ็บหลายคน ในสัปดาห์ต่อมา ชุมชนคริสเตียน อีก 20 แห่งถูกม็อบฮินดูบุกเข้าทำลาย

ทางด้าน  นายอะตาล บิหารี วัชปายี นกยกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำพรรคฮินดู หัวรุนแรง วางเฉยกับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น นายอโศก  สิงฮาล ผู้นำกลุ่มวิศวะ ฮินดู ปาริชัด หรือวีเอชพี อันเป็นกลุ่มฮินดูหัวรุนแรง กล่าวว่า เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นการสร้างสถานการณ์ของชาวคริสต์เอง เพื่อเป็นการเรียกความสนใจจากสังคม และหวังจะกำจัดฮินดู ออกจากถิ่นของตน

นายพลเดนซิล คีลเลอร์ นายทหารอากาศที่มีชื่อเสียง ที่นับถือคริสเตียนคนหนึ่ง กล่าวว่า กลุ่มวีเอชพี มีแผนการ 3 ปี ที่จะเปิดศึกขั้นเด็ดขาด กับกลุ่มมิชชนนารีคริสเตียน และเปลี่ยน ชาวคริสเตียน ให้มานับถือฮินดู ให้หมด แม้ว่าชาวคริสเตียนในอินเดีย   จะถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อยในอินเดีย   แต่ก็มีผู้นับถือศาสนาคริสต์อยู่ถึง 23 ล้าน

ส่วนในปากีสถาน สถานการณ์รุนแรงกว่าหลายเท่า เพราะกฎหมายปากีสถานบัญญัติว่า ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ถือเป็นการประกอบอาชญากรรมอย่างหนึ่ง มีการจับกุมคุมขังผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ไปดำเนินคดี  และมักลงเอย ด้วยการจะเสียชีวิตของจำเลย  ด้วยเหตุต่างๆ ก่อนการดำเนินคดีจะสิ้นสุด บางรายจะถูกประชาทัณฑ์จนถึงแก่ชีวิต ก่อนที่จะถึงมือตำรวจ เป็นที่น่าเป็นห่วง ว่าหากถึงจุดที่สุดจะทนทาน ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น อาจจับอาวุธเข้าต่อสู้ก็ได้

สงครามศาสนา ในอินเดีย  เกิดขึ้นมานานแล้ว ในปี 1980 พรรคบีเจพี อันเป็นพรรคฮินดูหัวรุนแรง  ได้ปลุกม็อบเข้ารื้อสุเหร่าในเขตเมืองอโยธยา  เพื่อสร้างโบสถ์ฮินดูขึ้นบริเวณนั้น เพราะถือว่า เคยเป็นที่ตั้งของ วัดฮินดูเก่าแก่ สงครามระหว่างฮินดูกับมุสลิมในอินเดีย ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีการยกพวกเข้า ปะทะกัน ในที่ต่างๆ  ทั่วประเทศ  และลุกลามเข้าไปในเมืองบอมเบย์ อันเป็นเสมือนเมืองหลวงของมุสลิมในอินเดีย เมื่อถึงขั้นนี้ มุสลิมในอินเดีย ซึ่งมีอยู่ถึง 120 ล้านคน ประกาศสู้ โดยวางแผนการตั้งรับและตอบโต้อย่างมีระบบ ทำให้ฮินดูหัวรุนแรงเข็ดขยาด ไม่กล้าตอแยมุสลิมนับแต่นั้น

อย่างไรก็ตาม  การปะทะกันของผู้นับถือศาสนาต่างๆ  ในอินเดีย  ยังจะสงบไม่ได้   ตราบใดรัฐบาล ไม่ได้รับความเชื่อถือ จากกลุ่มคนศาสนาอื่น     โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลของพรรคบีเจพี  ซึ่งโปรฮินดูอย่างเต็มที่ บริหารประเทศ  การใช้กำลังทหารเข้าระงับเหตุ ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผล เพราะต่างถูกมองว่า จะต้องเข้าข้างฮินดู ซึ่งเป็นศาสนาเดียวกับผู้นำรัฐบาล

ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอินเดียแล้ว   รู้สึกเศร้าสลดใจ  ที่ผู้คนหันมาทำร้ายประหัตประหารกัน เพราะ การที่ต่างมีความศรัทธาเชื่อถือกันคนละอย่าง ได้แต่หวังว่า  รัฐบาลไทย  คงวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด จัดการอย่างเฉียบขาด ตามความถูกต้อง ไม่ใช่ลื่นไหลไปตามกระแสผลักดัน หรือหวังแต่คะแนนนิยม ของคนหมู่ มากเพียงอย่างเดียว

จึงขอเตือนสติผู้ที่อยู่ในคณะรัฐบาลว่า   ให้ไตร่ตรองดูให้ดีว่า  กระแสที่เกิดขึ้นจาก บุคคลบางกลุ่ม บางเหล่านั้น เป็นมติมหาชนจริงหรือเปล่า อย่าหลับหูหลับตา เชื่อแต่กระแสอย่างคนสมองนิ่ม ปัญญาทราม เพราะหากไม่ใช่กระแสแท้ ผลที่ได้รับจะเป็นในทางตรงกันข้าม

ขอร้องเถอะ นักเลือกตั้งทั้งหลาย อย่าทำอะไรโง่ๆ ให้คนปลงสังเวชาเลย

ทวิชัย สุวพานิช