ปีที่ 2 ฉบับที่ 599 ประจำวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แรม 14 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ

หน้า 1

"ผ่อง เล่งอี้"จวกคนไม่มีศีล

บังอาจมาวิพากษ์วิจารณ์ศาสนา

สู่รู้ไปถึง "พระนิพพาน"

พูดแต่ละเรื่อง "เท็จ" ล้วนๆ

ติงหมู่มาร ก่อนใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ควรดูกฎหมายรัฐธรรมนูญก่อน เรื่องความเชื่อ ความศรัทธา และการนับถือศาสนา เป็นสิทธิส่วนบุคคล อันผู้อื่นจะละเมิดมิได้ เตือนอย่าเชื่อตำราเพียงอย่างเดียว ควรยึดถือตามหลักพระพุทธองค์ในกาลามสูตร 10

นายผ่อง เล่งอี้ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยว่าขณะนี้มีการโจมตีวัดพระธรรมกายทุกวัน ซึ่งคนที่โจมตีวัดส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม บางคนก็ติดสุรา มีใจไม่เป็นกุศล ถ้าเป็นคนมีคุณธรรม ต้องการติติง ด้วยความสุจริตใจ ก็จะสามารถคุยกันง่าย พูดจาตกลงกัน ได้ด้วยดี คนมีคุณธรรม เขาจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น บนหน้าหนังสือพิมพ์

การที่วัดพระธรรมกายจัดบวชอุบาสก มีคนร่วมปฏิบัติธรรมเป็นแสนคน อาจทำให้ใครบางคนแสลงใจ จึงวิพากษ์วิจารณ์ สถานีโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสด พิธีของวัด ตนอยากถามว่า การกล่าวร้ายป้ายสี สถานีโทรทัศน์ดังกล่าว มันยุติธรรมแค่ไหน อีกทั้งบางคน ยังกล่าวอีกว่า เรื่องวัดพระธรรมกายไม่ควรถ่ายทอดทางทีวี เพราะมหาเถระสมาคมกำลังพิจารณาอยู่ แล้วที่พวกตนเองโจมตีวัดทุกวัน มันไม่ขัดกับคำพูด ของตัวเองหรอกหรือ ทำไมตัวเอง ไม่รู้จักหยุดเสียบ้าง หนำซ้ำยังให้ร้ายพระผู้ใหญ่ เป็นชาวพุทธประเภทไหนกันแน่

ส่วนเรื่องการบวชสามเณรีนั้น ประชาชนเขารู้กันทั่วไปว่า ที่วัดพระธรรมกาย ไม่ได้มีการบวชสามเณรี ตามที่สื่อมวลชนกล่าวหา เด็กที่เข้ามาปฏิบัติธรรม ในโครงการอภิญญา เขามีความสมัครใจอย่างนั้น เขาต้องการปฏิบัติธรรม เข้ามาเป็นนักเรียนทางธรรม ฝึกนั่งสมาธิ มีความตั้งใจจริง ในการเรียนศาสนาพุทธ ภาคปฏิบัติ ใครจะปรักปรำวัดในเรื่องนี้ คงปรักปรำได้ยาก ผลสุดท้าย ก็จะเหมือนเรื่องกรีนการ์ด ของเจ้าอาวาส ที่ไม่มีตามคำกล่าวหา

ส่วนเรื่องที่มีการตั้งข้อหา เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายว่า ปาราชิก โดยเฉพาะเรื่องการถวายข้าวพระ ในพระนิพพานนั้น อธิบดีผ่องกล่าวว่า เรื่องการปรับอาบัติอย่างนี้ รุนแรงเกินไป และใครพิสูจน์ได้ว่า การถวายข้าวพระ ทำได้จริงหรือไม่จริง คนที่พูด ไม่เคยปฏิบัติธรรม จะมารู้ ได้อย่างไร แค่ศีล 5 ยังปฏิบัติได้ไม่ครบ จึงไม่ควรมาวิพากษ์วิจารณ์วัด ในเรื่องแบบนี้

พระนิพานนั้นเป็นความว่างเปล่าจากกิเลส ไม่ใช่หมายความถึงว่า คนที่ฝึกปฏิบัติจนเข้าพระนิพพานได้ ตัวตนจะสูญสลายไป ถ้าเป็นอนัตตา แบบพวกท่องตำราว่า ก็แสดงว่า พระนิพพานเป็นทุกข์ แล้วชาวพุทธจะปฏิบัติธรรมกันไปทำไม

จิตใจของมนุษย์มีที่ยึดเหนี่ยวเสมอ เพียงแต่จะยึดดีหรือยึดชั่วเท่านั้น ตอนคนเป็นเด็ก จิตก็ยึดของเล่น โตขึ้นมาหน่อย ก็ติดจักรยาน ติดรถยนต์ ในที่สุด ก็จะไปติดของที่ดีกว่า สุดท้าย ไปติดพระนิพพาน ที่ซึ่งไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อะไรก็ทำร้ายไม่ได้ กิเลสหลุดล่อน ออกไปจากใจจนหมด

เรื่องนี้ที่ตนพูดได้เป็นเพราะว่า ตนปฏิบัติธรรม ไม่ใช่รู้เพราะ จำมาจากตำรา ตนนั่งสมาธิวันละ 3-4 ชั่วโมง จิตมันก็สว่าง ถ้าติดตำรา มันใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีภาคปฏิบัติ การติดตำรา มันมีการตีความ ที่แตกต่างกันไป พระพุทธเจ้าตรัสกาลามสูตร 10 เอาไว้ ดังนั้น อย่าเชื่อเพราะมีในตำรา แค่กฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่เป็นภาษาไทย นักกฎหมายยังตีความแปลกันไป คนละทิศละทาง ดังนั้น ที่พุทธศาสนา แตกนิกายออกไป เป็นเพราะว่ามีการตีความแตกต่างกันนั่นเอง

นอกจากนี้ การกล่าวร้ายป้ายสีใครนั้น ควรจะคำนึกถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อในศาสนา ใครจะบังคับใครให้เชื่อตามไม่ได้ รัฐธรรมนูญมาตรา 28 สำคัญมาก เขาคุ้มครองประชาชน ในด้านความเชื่อถือศรัทธา แม้กระทั่ง กฎหมายเอง ถ้าออกมาขัดกับรัฐธรรมนูญ ยังต้องเป็นโมฆะเลย ดังนั้นก่อนจะกล่าวร้าย ใครควรจะคำนึงถึงกฎหมายหลักนี้ด้วย