ปีที่ 2 ฉบับที่ 600 ประจำวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ

หน้า 1

ยันทำบุญธรรมกาย 10 ล้าน

ทำด้วยความศรัทธา

เป็นเงินที่หามาเอง

สื่อมั่วนิ่มอีกแล้ว ไปเอาเรื่องผัวฟ้องเมียบริจาคเงิน วัดธรรมกายจากศาล มาเขียนเอง แท้ที่จริงแล้ว ผัวเมียคู่กรณีไม่รู้เรื่อง “ประวาท บุญนาค” ยืนยันศรัทธามั่นคง ในพุทธศาสนา ทำบุญที่วัดธรรมกาย เป็น 10 ล้าน ด้วยความสมัครใจ เพราะไม่มีลูกสืบทอดมรดก ส่วนสามีก็แยกทางเดินกัน นานกว่า 30 ปีแล้ว อีกทั้งเรื่องที่สามี ฟ้องร้องเรียกสินสมรสนั้น เป็นคดีค้างอยู่ในศาล และตนเอง ก็น่าจะชนะคดี เพราะว่า เคยทำสัญญากันไว้แล้วว่า หลังจากที่สามี ไปมีภรรยาใหม่ ใครหาทรัพย์สินได้ ไม่ถือเป็นสินสมรส   ซึ่งตามข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้น ก็คือ สามีมีลูกกับ ภรรยาใหม่ อายุถึง 32 ปี แล้ว

ตามที่สื่อมวลชนรายงานว่า นายลิ่วละล่อง บุนนาค อายุ 76 ปี อยู่บ้านเลขที่ 69 ซอยจรัญสนิทวงค์ โดยอดีตเคยเป็น วุฒิสมาชิก และที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรี และในปัจจุบันเป็น กรรมการที่ปรึกษา ในเครือไพบูลย์ จำกัด ได้ฟ้องร้อง นางประวาท  บุนนาค อดีตภรรยาที่แยกทางกันกว่า 20 ปี ได้นำสินสมรส ไปบริจาคที่วัดธรรมกาย โดยมิชอบตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา

ปรากฏว่า ตามข้อเท็จจริงนั้น เป็นประเด็น ที่สื่อมวลชน จ้องล้มล้าง วัดพระธรรมกาย ไปนำเรื่องมาจากศาลเอง โดยที่แม้แต่ นายลิ่วละล่อง บุนนาค เอง ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ แล้วว่า สื่อมวลชนไม่ควรนำเรื่อง ออกมาเผยแพร่ เพราะเป็นเรื่องระหว่าง ตนกับอดีตภรรยา และที่เป็นข่าวเกิดขึ้น เป็นเพราะว่า สื่อมวลชนไปนำเรื่องจากศาล มาเขียนเอง ตนไม่ได้รับรู้ด้วย

ด้านนางประวาท ปัจจุบันอายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170 ซอยวัดดาวดึงษ์ ข้างสน.บางยี่ขัน เป็นบ้านขนาดใหญ่ ชั้นเดียว เนื้อที่หนึ่งไร่ มีรั้วรอบขอบชิด อดีตประกอบกิจการ หลายอย่าง เช่น การค้าที่ดิน ซึ่งเป็นที่มาของ การมีเงินทอง และในปัจจุบัน ทำกิจการกับ เพื่อนๆ บ้าง รวมทั้งเป็น แม่บ้านธรรมดา

ทั้งคู่แต่งงานมาตั้งแต่ พ.ศ.2491 ไม่มีลูกด้วยกัน เดิมอาศัยอยู่บ้าน ริมน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ข้าง วัดดาวดึงษ์ โดยบ้านหลังนี้ เป็นมรดกตกทอด มาจากบรรพบุรุษ

โดยก่อนหน้านี้ นางประวาท ไม่มีทีท่าจะเป็น คนธรรมะธรรมโมเลย แต่เมื่อปี 2510 ก็ได้ไปทำบุญที่วัดธรรมกาย โดยไปฟังเทศน์ เป็นครั้งคราว แต่หลังจากนั้น ก็ได้นิมนต์เจ้าอาวาส มาฉันอาหารที่บ้าน ต่อมามีญาติมาบอกกล่าวกับ นายลิ่วละล่อง ว่า นางฆาราวาสได้บริจาคเงิน ให้วัดธรรมกาย หลายสิบล้านบาท รวมทั้งได้นำทรัพย์สินต่างๆ ไปขายจนหมด จนเป็นเหตุให้เกิด การฟ้องร้องกันขึ้น

นางประวาท ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า นายลิ่วระล่อง บุนนาค ได้ออกจากบ้าน ไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2523 และได้มีภรรยาใหม่ รวมทั้งมีลูกด้วยกัน หนึ่งคน ที่เกิดเมื่อปี 2510 ซึ่งปัจจุบันนี้อายุ 32 ปีแล้ว เหตุผลดังกล่าวนี้ จึงทำให้ ดิฉันไม่สามารถอยู่กับเขาได้ และได้ทำการขอร้องให้เขา ไปจดทะเบียนให้ดิฉัน มีสิทธิอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 170 ที่ข้างวัดดาวดึงษ์ นี้ได้ตลอดเวลา เป็นระยะเวลา 30 ปี ถึงปี 2553 อีกทั้งก็ได้ขอจดทะเบียนหย่ากัน ซึ่งตอนนั้นเขาก็ยินยอม

แต่พอจะจดทะเบียนหย่าจริงๆ เขากลับไม่ยอม ทำให้ เรายังไม่ได้จดทะเบียนหย่า เสียที อย่างไรก็ตาม หลังจาก นายลิ่วระล่อง ออกจากบ้านมาแล้ว ก็ได้ไปอยู่กินกับภรรยาใหม่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งภรรยาใหม่คนนั้น เป็นน้องสาวแท้ๆ ของนักเลงชื่อดัง คือ ดำเอสโซ่

หลังจากนั้นในปี 2524 มีพี่น้องชวนดิฉันไปฟังเทศน์ที่วัดธรรมกาย ในตอนแรกๆ ก็ไปไม่บ่อยนัก แต่เมื่อครั้นไป ก็ได้ศึกษาธรรม และเป็นที่ถูกใจ รวมทั้งได้เจอะเจอเพื่อนใหม่ พบระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เข้มงวด มีความสะอาดร่มรื่น และสบายใจดี ซึ่งในช่วงนั้นอยู่คนเดียว และก็ว่างด้วย จึงเป็นผลให้เริ่มทำบุญ ตั้งแต่บัดนั้นมา

พอในปี 2530 หลังจากที่ออกจากบ้านไป 7 ปี นายลิ่วระล่อง ก็ได้มาขอเงินดิฉันอีก 3 ล้านบาท โดยเขาอ้างว่า ถูกสรรพกรฟ้อง ซึ่งดิฉันก็ได้ให้ไป และในปี 2533-2534 เขาก็ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งค่ารักษาพยาบาล เขาสามารถเบิกเงินได้ จากบริษัทฯ ที่เขาทำงานอยู่ได้

ไม่ทราบว่า เป็นบุญหรือเป็นกรรม เขารักษาโรคหาย มีอาการดีขึ้น หากจะพูดไปแล้ว มีน้อยคนที่จะสามารถ รักษาหายได้

และในปี 2535 นี่เอง ที่เขามาขอร้องให้ดิฉันโอนบ้านเลขที่ 170 ที่เขาทำสัญญาให้ดิฉันอยู่ถึงปี 2553 นี้ ให้กับลูกสาวของเขา เพราะอ้างว่า บ้านนี้เป็นบ้านของเขา แม้ว่าดิฉันจะมีสิทธิ์อาศัยอยู่ก็ตาม

ดิฉันก็เลยตัดสินใจซื้อบ้านหลังดังกล่าวนั้น ในราคา 10 ล้านบาท บวกกับค่าโอนเกือบ 2 ล้านบาท ทั้งนี้ก่อนที่จะมีการซื้อขายกัน ดิฉันกับเขา ได้มีการตกลงทำสัญญา ที่จะแบ่งสินสมรสกัน และจะต้องมีการโอนบ้านหลังนี้ ให้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว และสัญญาดังกล่าวนี้ ก็อยู่ที่ศาล

ในช่วงตอนปี 2535 นี้ ดิฉันก็มีความประสงค์ ที่จะหย่าเหมือนกัน แต่ด้วยในช่วงนั้น เขายังคงไม่หายจากมะเร็งดีนัก ขนาดหนังสือสัญญา ในการโอนบ้าน ยังต้องให้เขาเซ็นที่รถ ดังนั้นหากจะให้เขาเซ็นใบหย่า ดิฉันคิดว่า เป็นการโหดร้ายเกินไป อีกทั้งคิดว่า เขาใกล้จะตายแล้ว เดินก็ไม่ได้ ตัวก็เล็กนิดเดียว

หลังจากที่เขาได้เงินไป 10 ล้านบาท บวกกับที่เขาทำมาหาได้ ก็ไปเสวยสุขกับภรรยาใหม่อย่างดี ก็โทรศัพท์คุยกันบ้าง เช่นในวันเกิด เป็นต้น เพราะดิฉันถือว่า เราเป็นเพื่อนกัน และไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน

ด้วยความไว้วางใจ เพราะเราได้มีสัญญาต่อกันแล้ว ทรัพย์สินที่ดิฉันทำมาหาได้ บางส่วนก็เอาไปทำบุญบ้าง เพราะถือว่า เป็นทรัพย์สิน ส่วนตัว จนกระทั่งมาเมื่อต้นปี 2540 ที่ผ่านมา เขาก็มาหาดิฉันที่บ้าน แล้วบอกว่า เวลานี้เขาไม่มีเงินแล้ว เพราะไปเล่นหุ้นเสีย จนหมดตัว รวมทั้งได้เอาบ้านที่อยู่ ไปจำนำธนาคารไว้อีก 6 ล้านบาท

ดิฉันถามเขาว่า ต้องการเงินเท่าไร?

เขาบอกว่า ต้องการเงิน 30 ล้านบาท

ดิฉันก็ตกใจ เพราะดิฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้น และไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนมาให้ อีกทั้งที่ผ่านมา ก็ได้ให้ไปมากแล้ว เพราะหากเงิน 10 ล้านบาทที่ให้เขาไป นำเอาไปฝากธนาคารก็จะได้ ดอกเบี้ยต่อเดือน เกือบแสนบาทแล้ว

เมื่อไม่ให้ เขาก็บอกว่า รอคำฟ้องก็แล้วกัน

โดยคำฟ้องฉบับแรกเกี่ยวกับการจัดการมรดก เมื่อต้นปี 2540 โดยได้ไปสืบกล่าวหาว่า ดิฉันไปทำบุญที่วัดธรรมกายเท่าไร เพื่อจะมาเป็น หลักฐานยืนยัน ในคำฟ้อง แต่เขาก็ไม่สามารถหาได้ จนคดียืดเยื้อ มาจนในที่สุด เขาก็ได้ยกฟ้องในคดีนั้น และได้มาฟ้องหย่า เพื่อแบ่งสินสมรส ในคดีที่สอง โดยเขาฟ้องแบ่งสินสมรส เป็นจำนวนเงิน 160 ล้านบาท

หากจะว่าไปแล้ว การฟ้องหย่า น่าจะเป็นฝ่ายหญิงมากกว่า เพระฝ่ายชายไปอยู่กับผู้หญิงอื่น โดยไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูอะไรเลย ส่วนคำกล่าวหาว่า ดิฉันนำเงินไปทำบุญเป็นจำนวน 100 ล้านนั้น ไม่เป็นความจริง

คือดิฉันได้ไปทำบุญที่วัด บางทีก็เป็นหมื่น บางทีก็เป็นแสน เป็นล้านก็เคย เพราะในปี 2539 ดิฉันทำมาก เนื่องจากทางวัดในขณะนั้น ได้สร้างสภาธรรมกายใหม่ ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้ทำคนเดียว ส่วนใหญ่ จะทำเป็นกฐินหรือผ้าป่า ก็ต้องมีการบอกบุญต่อๆ กันไป

ดิฉันไม่ได้ทำบุญที่วัดธรรมกายเพียงแห่งเดียว ที่วัดดาวดึงษ์ข้างบ้าน ดิฉันก็ทำ เช่นค่าอาหารเดือนละ 6,000 บาท รวมทั้งค่าเล่าเรียน ของภิกษุสามเณรทั้งวัด ตลอดเวลากว่า 10 ปี มาแล้ว ที่ศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ ก็ทำกว่า 10 ล้านบาท ถ้ามีเงินเหลือ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ดิฉันก็ทำ

การที่เขามาฟ้องหย่านี้ ดิฉันคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะเป็นไปตามคำพิพากษา เงินที่เขาฟ้องจำนวน 160 ล้านบาทนั้น เขาบอกว่า บ้านหลังนั้นราคา 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นของเขา 35 ล้านบาท เฟอร์นิเจอร์ในบ้านอีก 20 ล้านบาท เป็นของเขา 10 ล้านบาท และที่เอาไปทำบุญอีก 100 ล้านบาท เป็นของเขา 50 ล้านบาท และอะไรอีกไม่รู้ ต่างๆ นานา รวมทั้งสิ้นก็เป็น 160 ล้านบาท

การขอหย่าที่ผ่านมาทั้งหมด ตั้งแต่ปี 2523 มีจำนวนสองครั้ง โดยได้ทำหนังสือสัญญาแบ่งสินสมรสทั้งสองครั้ง ซึ่งเอกสารดังกล่าว ก็อยู่ที่ศาล คือในปี 2523 และปี 2535 โดยล่าสุดเมื่อปี 2535 ในสัญญาระบุไว้ชัดเจนว่า ทรัพย์สินที่หามาได้ ถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัว

ส่วนในการกล่าวหาว่า ดิฉันเอาเครื่องเพชรไปขายเพื่อมาทำบุญนั้น ดิฉันไม่เคยทำ เพราะว่ามันเกินไปที่ทำอย่างนั้น ดิฉันจะทำให้มีแต่ งอกเงยขึ้นมา เขาไม่น่าจะกล่าวหาดิฉันเลย อายุก็มากแล้ว ชาติตระกูลก็ดี ไม่น่าจะมากล่าวเท็จให้กัน

การที่ดิฉันทำเงินมีรายได้ด้วยตนเอง แล้วเอาไปทำบุญ ดิฉันผิดหรือเปล่า

ส่วนในเรื่องที่ดิฉันมีความคุ้นเคยกันมา กับท่านเจ้าอาวาสนั้น ถูกต้อง เพราะในสมัยก่อนนั้น สาธุชนที่เข้าวัดในขณะนั้น มีจำนวนน้อย ทำให้มีความคุ้นเคยมาก เมื่อดิฉันมีปัญหาเรื่องธรรมะ ก็ได้ท่านเจ้าอาวาสตอบ และให้ธรรมเป็นอย่างดีทุกข้อ ทำให้เกิดความนับถือ ยกย่องท่านว่า เราได้มาเจอพระที่เป็นพระจริงๆ

ในเรื่องที่ว่า ทางท่านเจ้าอาวาสเรียกร้อง ให้ช่วยบริจาคนั้น ดิฉันถือว่าไม่มี จะมีเพียงคำพูดที่ว่า หลวงพ่อกำลังจะสร้าง สภาธรรมกาย เพื่อให้คน มานั่งสมาธิกันนะ หากช่วยได้ก็มาช่วยกัน เหมือนกับว่า ท่านช่วยบอกบุญเท่านั้น

หากจะนับจำนวนการทำบุญในการสร้างสภาธรรมกายนี้ ก็เป็นจำนวนเกือบ 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นความภูมิใจ เต็มใจ และยินดีที่จะทำ เพราะสิ่งที่ทำนี้ มีประโยชน์เพื่อให้คนมานั่งสมาธิกัน แม้ว่าจะเป็นถาวรวัตถุ และที่สำคัญ ดิฉันเชื่อว่า ตายไปแล้ว ผลบุญอันนี้จะติดตามดิฉันไป

หลังจากที่ทำบุญแล้ว สิ่งที่ได้ตามมาก็คือ ร่างกาย สภาพจิตใจดีขึ้น การค้าการขาย กิจการต่างๆ ก็ดี และก็มีเงินมาทำบุญได้

หลายคนคิดว่า การทำบุญของดิฉันเป็นการหลงบุญนั้น ขณะนี้ดิฉันอายุก็ 70 ปีแล้ว วันเวลาที่มีอยู่ก็น้อยลง ลูกก็ไม่มี ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ หากทิ้งเอาไว้ ดิฉันถือว่า ไม่มีประโยชน์อะไร

ดิฉันเอาติดตัวดิฉันไปไม่ดีกว่าหรือ และที่สำคัญ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ให้วัด ให้อุบาสกอุบาสิกาใช้ไม่ดีกว่าหรือ

อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับทางวัด และก็ไม่มีสิทธิที่จะไปฟ้องร้องวัด เพราะเงินที่เอาไปทำบุญนั้น เป็นเงินของดิฉันที่ทำมาหาได้ทั้งสิ้น