ปีที่ 2 ฉบับที่ 608 ประจำวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ

สหัสวรรษ 3 (ต่อ)

อย่าปล่อยให้คนดีลอยนวล ภาษิตโจรยุคปริยัติงูพิษ

ที่มีคำพูดว่า "ปากปากกา คมกว่าดาบ" กำลังเป็นจริงในยุคนี้ สมัยก่อนใครมีอาวุธคนนั้นได้เปรียบ สมัยนี้ใครมีสื่อในมือ แปลว่า มีอาวุธ ที่จะชี้ชะตาใครก็ได้ ดียิ่งกว่ามีอาวุธจริงๆ เสียอีก ยิ่งสื่อบางสื่อเข้าบ้าน เชือดคนถึงหัวนอนได้ทุกเช้า

คำว่า จรรยาบรรณแห่งสื่อ ที่เรียนกันในมหาวิทยาลัย ที่หลายคนรับปริญญา มาพร้อมกับกล่าวคำปฏิญญา กลายเป็นแค่ เศษกระดาษ เพราะถ้าคนมีอาวุธแต่ไร้คุณธรรม อาวุธนั้นก็เป็นอาวุธ ในการก่อบาปได้ทุกนาที สงสารอาจารย์ผู้สอน กับมหาวิทยาลัย ที่ผลิตบุคลากรนั้น มาให้กับสังคม กลายเป็นการผลิตบัณฑิตฆาตกร ใจเหี้ยมที่ฆ่าได้แม้กระทั่ง พระผู้ถือศีลบริสุทธิ์ ฆ่าคนเข้าวัดถือศีล ได้เป็นแสนๆ คน ทั้งที่คนเหล่านั้น ไม่เคยก่อเวรกรรมอะไรกับตัว ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ใคร

คนที่ไม่ถือแม้แต่ศีล 5 เพราะการถือศีลนั้น ต้องถือทั้งกายและวาจา

ถ้าจะถือศีล 5 จริง ก็ต้องไม่ฆ่าด้วยวาจา ด้วยข้อเขียน ด้วยสื่อทุกชนิด คำว่าฆ่า แปลว่าทำให้เขาเสื่อมสิ้นสูญ เสียเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ไม่ขโมย แปลว่า ไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยวาจา เยาะเย้ย ถากถาง ด่าว่า และไม่โกหก ก็คือไม่สร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จ สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายป้ายสี เหล่านี้ เป็นต้น

ครับ แค่ศีล 5 ยังถือไม่ครบ แต่ดันชวนทะเลาะเรื่อง นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ซึ่งไม่รู้จะเถียงกันได้ยังไง

ครับ คนที่เรียนแต่ทางทฤษฎีแต่ไม่ปฏิบัติ แล้วก็ไปชวนคนอื่นทะเลาะ อ้างว่าคนอื่นแปลผิดไม่รู้จริง ถ้าเป็นคนธรรมดา ก็อภัยให้ได้ แต่บางคนเป็นนักปราชญ์ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่คนเคารพ เคยนับถือทั่วเมือง เพราะนึกว่ารู้จริง บุคคลเหล่านี้ ออกมาฟันธงเกรี้ยวกราด ออกสื่อสาธารณะ ด่าคนอื่นด้วยคำเลว แบบคนชั้นต่ำ ด่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของตัวว่า เดรัจฉาน ด่าว่าพวกบัดซบ ด่าคนไม่เห็นด้วยว่า จะโค่นล้มพระพุทธศาสนา ขัดพระไตรปิฎก เป็นภัยต่อชาติ น่าสังเวชใจอย่างไม่น่าเชื่อว่า จะได้ยินเช่นนี้

จริงๆ แล้ว ในพระไตรปิฎกระบุไว้ชัดว่า ผู้เรียนพระไตรปิฎกแล้ว เอาไปใช้โต้เถียง ก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง ทำให้ บ้านเมืองปั่นป่วนแตกแยก เอาความรู้ธรรมะที่ตนเองมีไปใช้ในทาง ทำลายผู้อื่น พระพุทธเจ้าท่านให้ชื่อว่า ปริยัติงูพิษ ยิ่งเป็นงูตัวใหญ่เท่าไร ก็ยิ่งมีพิษต่อบ้านเมืองมากขึ้นเท่านั้น

และวันนี้บรรดางูพิษเหล่านี้ ก็เพ่นพ่าน เลื้อยเต็มเมืองน่าสะอิดสะเอียนไปหมด มิหนำซ้ำ ยังได้รับการยกย่องให้เกียรติ มีการจัดสัมมนา มีการอภิปรายกันให้เอิกเกริก หนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ ก็ขานรับเอาปริยัติงูพิษ เหล่านี้ออกอากาศ เจือเข้าไปในทุกสื่อ เหมือนเอายาพิษใส่ปาก ใส่สมองชาวบ้านทุกวัน

ครับ คนที่ว่าแข็งแรงสุขภาพดีที่สุด ถ้ากินยาพิษทุกวัน วันละเล็กละน้อย ก็เริ่มตาปรือ สมองเสื่อม เพราะพิษงูจะเริ่มแผ่ซ่าน เข้าไปใน ความคิดของคนทั้งประเทศ

แล้ววัดทั้งวัด พระภิกษุทั้งวัด คนเข้าวัดถือศีลนั่งสมาธิ ก็กลายเป็นผู้ร้าย เป็นอาชญากร กลายเป็น บุคคลสังคมรังเกียจ จะต้องรีบกำจัด โดยพลัน

จากนั้นบรรดาบัณฑิตงูพิษเหล่านี้ ก็ทำการสำเร็จโทษขั้นสุดท้าย คือเริ่มตำหนิติเตียนผู้ที่ไม่เห็นด้วย เริ่มจาบจ้วงพระผู้ใหญ่ ดูถูกเยาะเย้ย ถากถาง ด่าพระ ด่าไปถึงมหาเถระซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด รีบชิงตัดสินก่อนล่วงหน้าว่า จะเป็นมวยล้ม เชื่องช้าอืดอาด ต้องปฏิวัติวงการสงฆ์

ทั้งหมดนี้ มิได้มีการเคารพ มิได้เกรงพระบารมีขององค์สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงเป็นประธานของมหาเถรสมาคม แม้แต่น้อย

บรรดาปริยัติงูพิษเหล่านี้ ได้ทำตัวแทนศาลสงฆ์ พิพากษาเอง ลงโทษเอง ไล่จี้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องให้ทำตามใจตัวเอง ดุจประเทศ อยู่ในยุค มิคสัญญี บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป

ครับ ศึกถล่มธรรมกาย มิได้หยุดยั้งแค่นี้แน่นอน เพราะทุกอย่างถูกวางแผนมาแล้วอย่างดีว่า ถ้าการใช้เงินแค่นี้ ยังสามารถสร้างความเสื่อม ศรัทธาชาวพุทธได้แค่นี้

หมากต่อไปคือ การรุกฆาตสุดท้าย แล้วขุดรากถอนโคนพระพุทธศาสนา โดยใช้กรณีของ วัดพระธรรมกาย เป็นเชื้อไฟ ลองดูซิว่า คนไทย ส่วนใหญ่ จะหลงกลเขาหรือไม่

คนไทยที่ร่วมมือด้วย จะรู้หรือไม่ว่า ได้ตกเป็นเครื่องมือใคร เขาต้องการอะไร การรับเงินบาปเพียงแค่จิ๊บจ๊อย แต่สิ่งที่เราอาจต้องสูญเสีย อย่างสำคัญทั้งชาติ ที่เขาจ้องและรอจังหวะทองมานาน และทำไมเขา "กลัว" การโตเร็วของพลังพุทธในไทยขนาดนี้

ผมบอกว่าแล้ว เรื่องนี้ "ไม่ธรรมดา" พรุ่งนี้อ่านต่อ

กาขาว (แทน)

[หน้าหลัก] [ปุจฉา] [ สหัสวรรษ ]