ปีที่ 2 ฉบับที่ 625 ประจำวันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2542

หน้า 1

นิพพานไม่สูญ ฤาษีลิงดำลิขิต

สมเด็จฟื้นการันตี ราชบัณฑิตหยุดเพ้อ

เหลือเวลาอีกเพียง 3 วัน หากไม่มีอะไรผิดพลาด มหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริมหา นายก ทรงเป็นองค์ประธาน ร่วมกับคณะกรรมการมส. วินิจฉัย ปัญหาวัดพระธรรมกาย ตามข้อเสนอขอพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 กรณีวัด แห่งนี้ มีคำสอนผิดเพี้ยน ประกาศ "พระนิพพาน เป็นอัตตา" ขณะที่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) และนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ต่าง ออกมายืนยันว่า พระนิพพาน ตามหลักพุทธศาสนาต้องเป็นนิพพานอนัตตา เท่านั้น หากผู้ใดมีคำสอนที่ผิดจากนี้ให้ไป ก็ไม่สมควรตู่พระพุทธศาสนา นุ่งเหลืองห่มเหลือง ควรไปตั้งลัทธิใหม่

อย่างไรก็ตาม "พิมพ์ไทย" ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ทั้งการค้นคว้าจากพระไตรปิฎก และพระเถระที่ศึกษาปฏิบัติธรรมทั้งด้านปริยัติ และปฏิบัติ ก็ไม่มีพระไตรปิฎกเล่มใดระบุชี้ชัดว่า พระนิพพานเป็นอนัตตา หากแต่ศึกษาธรรมอย่างละเอียดถ้วนถี่แล้ว จะเรียกว่า พระนิพพาน เป็นอัตตา ก็ไม่น่าจะผิด แต่ถ้าเป็นอนัตตา ความหมายแก่นแท้สูงสุดทางพระพุทธศาสนา ก็ไม่มีค่าอันใดเลย

ตามที่ "พิมพ์ไทย" ได้รวบรวมประสบการณ์จากการปฏิบัติของพระสุปฏิปันโนหลายรูป อาทิ พระราชญาณวิสุทธิโสภณ หรือ หลวงตา มหาบัว วัดป่าบ้านตาด หลวงปู่เทศก์ วัดหินหมากเป้ง เป็นต้น

เพื่อความชัดเจน "พิมพ์ไทย" ได้นำคำสอนของพระราชพรหมยาน หลวงพ่อวัดท่าซุง หรือที่รู้กันดีในนามของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จ.อุทัยธานี โดยคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโรมหาเถระ) วัดสามพระยา เคยปรารภว่า คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ใช้เป็นตำราได้ทั้งหมด

หนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม 2 หน้าที่ 165 หลวงพ่อวัดท่าซุงแสดงธรรมถึงเรื่องพระนิพพานมีสาระน่าสนใจยิ่ง ดังนี้
"นิพพานไม่ได้แปลว่าสูญ" นิพพานัง ปรมังสุญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง" กล่าวคือว่างจากความชั่ว จึงไปนิพพานได้ ต้องเข้าใจตามนี้ นิพพานมีสภาพเป็นทิพย์ เคยถามท่านว่า ควรจะเรียกว่าอย่างไร ท่านบอกว่าเรียกทิพย์พิเศษ คือไม่มีการเคลื่อนมันเหมือนกับคนที่พ้นจากเรือนจำ พวกเราเหมือนกับอยู่ในเรือนจำ

เรียกว่า "วัฏฏะ" ถ้าความชั่วของจิตยังมีอยู่น้อยหนึ่ง มันก็ต้องวนอยู่อย่างนี้แหละ มีความดีบ้างก็ไปเกิดเป็นเทวดา หรือพรหม ถ้าหมดบุญ ก็มาเกิดเป็นคนบ้าง ไปเป็นสัตว์นรกบ้าง วนกันไปวนกันมา ไม่มีที่สิ้นสุด มันเหมือนกับเราอยู่ในเรือนจำ ใช่ไหม ถ้าไปถึงนิพพานแล้ว หมายความว่า พ้นจากสภาของเรือนจำจะบังคับ และก็ไม่อยากกลับมาอีก นี่ข้อเปรียบเทียบนะ

พระอรหันต์มี 4 แบบ คือ สุกขวิปัสสโก หมดกิเลสแล้ว แต่ไม่มีความรู้พิเศษเห็นผีเห็นเทวดาไม่ได้ ได้แต่ปลงสังขาร ให้อารมณ์หยุดอยาก คือไม่อยากเกิด ไม่อยากมี ไม่อยากเอาดีกับชาวโลก เพราะเห็นว่า เมื่อยังเกิดตราบใด ก็ยังต้องมีทุกข์ตราบนั้น ท่านเลยเบื่อเกิด ทั้งเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ท่านไม่เอาด้วยทั้งนั้น สิ่งที่ท่านต้องการคือพระนิพพาน

พระอรหันต์อีกแบบหนึ่งก็คือ พระอรหันต์ที่เรียกว่า เตวิชโช คือ ท่านทรงวิชชาสามได้แก่ ทิพยจักขุญาณ มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ รู้เรื่องราว ต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต ท่านรู้ได้คล้ายตาทิพย์ อันดับที่สอง สามารถระลึกชาติในอดีตได้ทุกชาติที่ท่านเกิดมาแล้ว สามท่านละกิเลสหมดทุกอย่าง เหมือนท่านสุกขวิปัสสโก

พระอรหันต์อันดับสาม ได้แก่ ท่านผู้ทรงอภิญญา 6 คือ 1. แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง เพราะอำนาจกสิณ 2.มีหูเป็นทิพย์ เพราะอำนาจกสิณ 3.มีทิพยจักขุญาณ 1.มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ 5.รู้ความรู้สึกนึกคิดของคนและสัตว์ได้ และ  6.ทำกิเลสให้สิ้นไป

พระอรหันต์ อันดับที่สี่ ท่านมีอำนาจฤทธิ์ เหมือนท่านผู้ทรงอภิญณา แต่มีญาณพิเศษกว่า คือ มีปัญญาฉลาดเฉียบแหลม สามารถคิดคำนวณ พยากรณ์เหตุการณ์ทุกอย่างได้โดยฉับพลัน มีฤทธิ์ คล่องแคล่วกว่าอภิญญาหก ที่พูดมาต้องการให้เข้าใจว่า พระอรหันต์ไม่ได้มีฤทธิ์ทุกองค์ไป

ทีนี้พูดถึงอารมณ์ของพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านมีอารมณ์คิดใคร่ครวญ ไม่ใช่ตอไม้ บางคนเข้าใจว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว จะต้องมี สภาพเหมือนตุ๊กตา หรือตอไม้ บางรายมักจะสร้างแบบพระอรหันต์ขึ้นมาว่า พระอรหันต์นี้ ไม่มีการหัวเราะ ไม่มีการยิ้ม เมื่อคนใดเข้าถึง พระอรหันต์คงจะปราศจากจิต คงจะปราศจากวิญญาณ คือ มีสภาพเหมือนคนตายดิบ ความคิดอย่างนี้มิใช่ความคิดอย่างเดียว ขนาดพูดออกมา จากปากนี่ เขาเหล่านั้น ตามความเข้าใจของฉันคิดว่า ท่านที่พูดอย่างนั้น คงจะมีศีล 5 ยังไม่ครบ ถ้าคนมีศีล 5 ครบ ไม่พูดแบบนั้น เพราะคนที่มีศีล 5 ครบถ้วนนี้เป็นพระอริยเจ้า คือพระโสดบัน กับสกิทาคามี ถ้าเข้าถึงช่วงนี้แล้ว เขาไม่มีความสงสัยในปฏิปทาของ พระอรหันต์ เขาคงจะลืมไปว่า แม้แต่องค์สมเด็จ พระภควันต์บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงมีการแย้มพระโอษฐ์

เป็นอันพึงเข้าใจว่า พระอรหันต์เองก็ยังมีอารมณ์ไม่สงบ ปักอยู่เฉพาะจุดยังมีอารมณ์คิด แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ ทั้งหลาย ถ้าสาวกก็เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้สิ้นกิเลสเหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ทั้งหลาย ถ้าสาวกก็เป็น พระอรหันต์ เป็นผู้สิ้นกิเลสเหมือนกัน แต่ทว่าความรู้พิเศษในด้านญาณต่างๆ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มีความสามารถ มากกว่าพระอรหันต์ ใดๆ ที่เป็นสาวก

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จงจำไว้ว่า คำว่าถึงอรหันต์ มีอยู่คำดำเดียว หรืออย่างเดียว คือเรา ไม่ติดอะไรทั้งหมด อีกกำหนดรู้ว่า วัตถุธาตุต่างๆ คนก็ดี ใครก็ตามที่ไม่ได้เนื่องถึงเรา คือไม่ใช่ของเรา แต่เขาเนื่องถึงเราจริง เราสงเคราะห์หรือ ทำงานสงเคราะห์ให้ ตามหน้าที่ทุกอย่าง แต่เราไม่ผูกพัน คิดว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แม้แต่ร่างกายเราก็ไม่ต้องการ ถ้าคิดอย่างนี้ ก็ตรงกับคำที่ องค์พระพิชิตมาร ตรัสไว้ในท้าย มหาสติปัฏฐานสูตรว่า

เราจงอย่าสนใจกายภายใน คือกายตัวเอง อย่าติดใจกายภายนอกคือ กายคนอื่น และก็จงอย่าติดใจในวัตถุธาตุใดๆ จงปลดกำลังใจว่า แม้แต่ ร่างกายนี้ มันก็ไม่ใช่เป็นของเรา เพียงแค่นี้ ทุกคนก็จะเป็นพระอรหันต์

[หน้าหลัก] [หน้า1-1] [วิวาทะ] [ปุจฉา]