ปีที่ 2 ฉบับที่ 634 ประจำวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2542
ปุจฉา - วิสัชนา
...ดูที่เจตนา...
ได้ดูข่าวเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย ซึ่งไอทีวี นำเสนอเกี่ยวด้วยเรื่อง เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ ในโฉนดที่ดิน หลายพันไร่ โดยมีหนังสือสัญญาซื้อระบุว่า ท่านเจ้าอาวาสใช้ชื่อสกุล ตามสำเนาทะเบียนบ้านเดิม ก่อนบวชเป็นพระในการซื้อขาย ทั้งระบุว่า ท่านเจ้าอาวาสได้ให้คนกว้านซื้อที่ดิน เป็นจำนวนมาก ภายหลังที่ตนได้ขึ้นเป็น เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ทั้งที่ดินบางที่ยังพบว่า มีสายทองแร่ธาตุ ต่างๆ จำนวนมากและนายอาคม รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการได้แสดงความคิดเห็นว่า หากเจ้าอาวาสบริสุทธิ์ใจจริง ก็น่าจะโอนที่ดินดังกล่าวทั้งหมด ให้กับมูลนิธิ เพราะถ้าหากมูลนิธิ เลิกแล้วทรัพย์สินทั้งหมดก็จะตกเป็นของแผ่นดิน และลักษณะการนำเสนอข่าวที่ทำนองว่า หากเจ้าอาวาส ลาสิกขาแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นก็จะตกแก่เจ้าอาวาสเพียงผู้เดียว
ผู้เขียนเองไม่ได้รับมอบหมายจากวัดพระธรรมกายแต่อย่างใด เพียงแต่อยากแสดงความคิดเห็น ทั้งแง่ของกฎหมายและตามความเป็นจริง ในฐานะที่ติดตามดูผลงาน แนวความประพฤติปฏิบัติของวัดนี้ มานานประมาณ 14 ปี ได้กรณีหลวงพ่อเจ้าอาวาสมีชื่อกรรมสิทธิ์ ในแง่ของ กฎหมาย พระภิกษุมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ ์ในทรัพย์สินได้ โดยกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้อำนาจถือครองได้ ไม่มีความผิดต่อบทกฎหมายมาตราใด
ในแง่ของ ความเป็นจริง มีผู้บริจาคที่ต้องซื้อที่ดินถวายหลวงพ่อ โดยมีความประสงค์ให้ใส่ชื่อหลวงพ่อเจ้าอาวาส ถ้าจะใส่ชื่อคนอื่น ผู้บริจาคก็คงไม่กล้า บริจาคอีกเช่นกัน เพราะเขาเหล่านั้นเคารพศรัทธาบูชาหลวงพ่อ มีความประสงค์ ที่จะถวายที่ดินแด่หลวงพ่อ ไม่ใช่ถวายที่ดิน แก่ผู้อื่น
ส่วนหลวงพ่อจะนำที่ดินไปใช้ประโยชน์อะไรนั้น พวกเขาไม่ได้กังวลเพราะเชื่อว่า ที่ดินเหล่านั้นเมื่ออยู่ในมือของหลวงพ่อ ย่อมเป็น ประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ชาติ คงต้องขอบคุณ สำหรับผู้ที่มีความเป็นห่วงเป็นใย แทนพวกที่บริจาค เพราะในสังคมปัจจุบัน หาบุคคลน้อยคน ที่แสดงความเป็นห่วง ป้องกันหวงแหนในทรัพย์สินของผู้อื่น แทนผู้ที่เป็นเจ้าของจริงๆ เพราะพวกเขาคิดว่า นั้นเป็นทรัพย์สินส่วนรวม เลยอาจจะ เผลอคิดว่า คนเองเป็นผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าของ เลยแสดงความห่วงใยออกมาผ่านสื่อต่างๆ
ในแง่ทัศนวิสัยของสามัญชนทั่วไป ก็ต้องมองว่า การที่พระภิกษุถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมากมายนั้น ดูจะไม่เหมาะ เพราะคิดตามวิสัย ปุถุชน คนธรรมดาว่า เมื่อเป็นพระแล้ว ก็ไม่ควรสะสมข้าวของเงินทอง ทรัพย์สินต่างๆ ให้มากมาย เป็นการยึดติด ในลาภสักการะนั้น ก็ถูก ห้ามมองเพียงครึ่งเดียว
อยากให้ทุกท่านมองต่อว่า พระภิกษุเมื่อมีที่ดินทรัพย์สินแล้ว ท่านนั้นไปใช้เพื่อประโยชน์ตนเองแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ ในสมัยพุทธกาล ท่านอนาถบิณฑกะเศรษฐี ก็ได้ใช้ทองซื้อที่ดินกับเจ้าเชตุฯ โดยเจ้าเชตุฯ ตั้งราคาไว้สูงมาก โดยไม่คิดค่าที่ดินให้เอาทองมาปูเท่ากับที่ดินที่มีอยู่ แล้วอนาถบิณฑกเศรษฐีได้สร้างวัดเชตุวันฯ ถวาย ซึ่งพระศาสดาทรงรับไว้ เพื่อให้สถานที่ดังกล่าว ในการเผยแผ่หลักธรรมในพุทธศาสนา
วัดพระธรรมกายก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อเทียบกับวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยหรือในโลกนี้ก็ตาม ท่านเจ้าอาวาส มิได้เก็บไว้ใช้สอยเพียงผู้เดียว มีสาธุชนเรือนหมื่น เรือนแสนเข้าไปใช้สถานที่อบรมจิตใจ เพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของสังคม โดยรัฐเอง ไม่จำต้อง เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่รัฐกับได้ประโยชน์ เพราะเท่ากับวัดเพาะเม็ดพันธุ์ต้นกล้าของเยาวชน ที่มีความเกรงกลัวและละอายต่อบาป เข้าสู่สังคม สถาบันการศึกษาของรัฐได้ชื่อว่า ผลิตบัณฑิต แต่แน่ใจหรือว่า ได้บัณฑิตที่แท้จริง จะไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม
ย้อนกลับไปที่ว่า ทำไมเมื่อมีคนซื้อที่ดินบริจาคหลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้ว หากหลวงพ่อบริสุทธิ์ใจจริง ก็น่าจะโอนที่ดินให้กับมูลนิธินั้น จาก ความคิดเห็นของผู้เขียนเอง ไม่ได้รับการเสี้ยมสอนจากผู้ใด หลวงพ่อท่านน่าจะมีเหตุผลแน่นอน เพราะ
จากประวัติของหลวงพ่อเอง ท่านมีดีกรี ทางโลกและการศึกษาสูง และเข้าบวชในพุทธศาสนาเพราะเลื่อมใส ไม่ใช่ประเภทเข้าวัด แบบอกหัก หลักลอย คอยงานหรือสังขารเสื่อม ระดับชั้น ปัญญาชน คงไม่ปล่อยให้เรื่องพวกนี้ มาเป็นเหตุโจมตี ถึงขั้นมีผู้เสนอให้ ถอดท่านจาก การเป็นเจ้าอาวาสได้หรอก
ในแง่คุณธรรม ท่านบวชมานานหลายพรรษา ความประพฤติแนวทางคำสอนท่านำพาสาธุชนประพฤติปฏิบัติดีมาตลอด ยากที่จะปล่อยให้ ความโลภอันเป็นวิสัยของคนทั่วไป มาครอบงำได้ แม้ผู้เขียนจะศึกษาธรรมมาน้อย แต่ก็ยังเชื่อเรื่องบาปบุญมีจริง และเชื่อมั่นว่า ทรัพย์สิน เพียงเท่านี้ อย่าว่า แต่ที่ดินห้าหกพันไร่เลย ต่อให้เอาที่ดินทั้งโลกมายกให้ เพื่อแลกกับการทำบาปแล้วละก็ คิดว่ามันไม่คุ้มกับนรกหรอกครับ อาจจะเป็นเพราะ
1. เพื่อสนองความศรัทธาของญาติโยมที่บริจาค ประสงค์จะให้ที่ดินเป็นชื่อของหลวงพ่อเท่านั้นถึงจะบริจาค เพราะปัจจุบันนั้น ไม่มีผู้บริจาค รายใดเรียกร้องให้โอนเป็นของมูลนิธิ
2. เป็นความปลอดภัยอย่างหนึ่ง เพราะหลวงพ่อท่านเป็นคนหนักแน่น และท่านถือวัตรปฏิบัติตามพระบรมศาสดา ไม่หวั่นไหว ในโลกธรรม 8
การว่าร้ายติฉินนินทาย่อมมีขึ้นเป็นธรรมดา ซึ่งนับแต่เกิดเหตุการณ์ข่าวครึกโครม ว่าร้ายท่านต่างๆ นานา จนถึงบัดนี้คำพูดที่ไม่ดี คำพูดที่ตอบโต้จากท่าน ไม่มีเลย ท่านถือหลักโอวาทปาฏิโมกข์ที่ว่า "บรรพชิตผู้ฆ่าสัตว์อื่น เบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ชื่อว่าสมณเลย" ท่านไม่เคย เบียดเบียนใครด้วย กาย วาจา ใจ และหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า "อนูปวาโท การไม่ว่าร้ายกันด้วย นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ตั้งแต่เข้าวัดมา 14 ปี จนถึงวันนี้ที่ได้ข่าวว่าร้าย โดยมีทั้งสื่อและพระภิกษุหลายรูปออกมาว่าร้าย หรือแสดงความคิดเห็นห่วงใยต่างๆ นานา ก็ไม่มีสักประโยค ที่จะว่าร้ายตอบโต้ ใครๆ ที่ไม่เคยเข้าวัดนี้ ต่างก็มีความคิดว่า คนที่เข้าวัดตั้งแสนสองแสนคนถูกวัดหลอก แต่ท่านไม่เคย คิดกลับกัน บ้างหรือว่า ตัวท่านเองที่ยังไม่เคยไปรู้ไปเห็น ไปสัมผัสอาจถูกสื่อต่างๆ หลอกก็ได้ เพราะจะเชื่อได้อย่างไร สิ่งที่นำเสนอนั้น เป็นความ จริง
และไม่นึกเอะใจบ้างเลยหรือว่า คนสองแสนคน ทำไมยังคงศรัทธาเหนียวแน่น และมั่นคงมากขึ้น เป็นไปได้หรือที่มีคนทุกชนชั้น มีทุกระดับ การศึกษาทั้งข้าราชการ นิสิต นักศึกษา คหบดี นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ในหน้าที่การงาน หลายหมื่นหลายแสนคน จะโง่ชนิด มองอะไรไม่ออกเลย ปล่อยให้พระที่มีดีกรีระดับปริญญาตรี หลอกลวง ถ้ามิใช่ว่าคนเหล่านั้น ได้พบกับสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง
ถ้าคุณไม่เคยไปรู้ไปเห็น ไปสัมผัส แล้ว จะมานั่งติฉินวิพากษ์วิจารณ์นั้น ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด หาเวลาไปพิสูจน์ด้วยตนเอง อย่าปล่อย ให้ใครก็ไม่รู้มาพูดมาบอกต่อ หรืออ่านแล้ว ก็เชื่อว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งหากคุณสรุปได้ โดยไม่ได้ไปดูด้วยตาของตนเอง ก็คิดเอาเองแล้วกันว่า ใครถูกหลอกกันแน่ ใครถูกจูงจมูกได้ง่าย ที่ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อของหลวงพ่อแล้วปลอดภัยนั้น เพราะพวกที่เข้าวัดทุกคนทราบดีว่า
ที่ดินเหล่านี้ถูกนำมาใช้ เพื่อประโยชน์ของสาธุชนเอง ไว้เป็นที่นั่งสมาธิ และอาจยังมีบางแปลง ที่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ แต่เชื่อว่า ในอนาคต ที่ดินทุกแปลงที่มีชื่อของหลวงพ่อ จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติมากที่สุด พวกเราไม่โทษ พวกคุณที่สิทธิคิด เพราะพวกคุณทั้งหลายยังไม่ได้มารู้ มาสัมผัสด้วยตัวคุณเองเลย ความปลอดภัยในแง่ของกฎหมายคือ
1. กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้อำนาจพระภิกษุถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด และเมื่อเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลแล้ว ไม่มีกฎหมายมาตราใด จะมาบีบบังคับให้หลวงพ่อโอนที่ดินไปให้ผู้อื่น โดยหลวงพ่อไม่ยินยอมได้
2. หากที่ดินเป็นชื่อของมูลนิธิ หากมีการกลั่นแกล้งหรือมูลนิธิเลิก ผู้บริจาคจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ทรัพย์สินที่ตนบริจาคนั้น รัฐจะนำไปใช้ ตรงตามเจตนาและวัตถุประสงค์ ที่ตนต้องการ จะไม่กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า หรือเป็นสนามกอล์ฟ ใครกล้ารับประกัน และใครมีเครดิตดี ใจซื่อ มือสะอาด ประวัติไม่มีด่างพร้อย ที่จะกล้าหาญ เอาตนมารับประกันได้ เพราะเหตุเลิกมูลนิธิตามกฎหมายนั้น มีหลายสาเหตุ อาทิเช่น ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีหลักกฎหมายดังนี้
มาตรา 130 บัญญัติว่า "มูลนิธิย่อมเลิกด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
1. .....
2. .....
3. .....
4. .....
5. เมื่อศาลมีคำสั่งให้เลิกมูลนิธิ ตามมาตรา 131
มาตรา 131 บัญญัติว่า "นายทะเบียน พนักงานอัยการ หรือผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่ง คนใดอาจร้องขอต่อศาล ให้มีคำสั่งเลิกมูลนิธิได้ ในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
1. เมื่อปรากฏว่าวัตถุประสงค์ของมูลนิธิขัดต่อกฎหมาย
2. เมื่อปรากฎว่ามูลนิธิทำการขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อ ความสงบสุขของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ"
และภายหลังที่ศาลได้มีคำสั่งให้มูลนิธิเลิกแล้ว ก็จะมีกฎหมายบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิว่า มาตรา 133 ในกรณีที่มี การเลิกมูลนิธิ ให้มีการชำระบัญชีมูลนิธิ "มาตรา 134" เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว ให้โอนทรัพย์สินของมูลนิธ ิให้แก่มูลนิธิหรือ นิติบุคคลที่มี วัตถุประสงค์ ตามมาตรา 110 ซึ่งได้ระบุชื่อไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ ถ้าข้อบังคับของมูลนิธิได้ระบุชื่อมูลนิธิหรือนิติบุคคลดังกล่าวไว้ พนักงาน อัยการ ผู้ชำระบัญชีหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนหนึ่งคนใด อาจร้องขอต่อศาลให้จัดสรรทรัพย์สินนั้นแก่มูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่น ที่ปรากฏว่า มีวัตถุประสงค์ใกล้ชิดที่สุด กับวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นได้
วรรคที่สอง "ถ้ามูลนิธิถูกศาลสั่งให้เลิกตามมาตรา 131(1) หรือ (2) หรือการจัดสรรทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง ไม่อาจทำได้ ให้ทรัพย์สิน ของมูลนิธิตกเป็นของแผ่นดิน
ซึ่งถ้าเราพิจารณาจากตัวบทกฎหมายข้างต้นแล้ว หากหลวงพ่อโอนทรัพย์สินให้กับมูลนิธิธรรมกาย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ อย่างคน ทั่วไป มองแล้ว ก็ยังไม่ปลอดภัย สำหรับผู้บริจาคอยู่ดี เพราะมูลนิธิมีเหตุให้เลิกได้
และยิ่งในปัจจุบัน คณะกรรมาธิการ ได้ตั้งหัวข้อแก่ วัดพระธรรมกายว่า การที่วัดพระธรรมกายระดมคน มาในการจัดงานพิธีใหญ่ๆ เป็นจำนวนมากนั้น หากคณะกรรมการใช้คำว่า หากมีการชักนำไปในทางที่ไม่ดี น่าจะมีการกระทบกระทั่ง ต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งนี่เป็นผู้นำ เรียกว่า ผู้ใหญ่ระดับประเทศท่านยังมองอย่างนี้
ถามว่า การที่จะให้มูลนิธิธรรมกายเลิกได้มันง่ายหรือไม่ เมื่อเลิกมูลนิธิแล้ว ใครจะสามารถ จัดการ ทรัพย์สินของมูลนิธิ เพื่อให้เกิด ประโยชน์ เป็นไปตามเจตนารมณ์พวกเรา ที่บริจาคได้อย่างจริงจัง ซึ่งมองย้อนกลับ ท่านเหล่านั้น มีสิทธิคิด เพราะท่านมีประสบการณ์ทางการเมือง มามาก มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
ถ้าจะมองแบบไม่ไกลนัก กรณีที่มีผู้มาประท้วงหน้าทำเนียบ หรือเรียกร้องอึกทึกครึกโครม มีอาวุธติดตัวมา หรือเขียนป้ายประท้วงต่างๆ น่าจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ หรือสร้างภาพพจน์ที่ไม่ดี ทำให้ต่างชาติมองประเทศเราอีกแบบก็ว่าได้
การรวมคนมาเป็นจำนวนมาก เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา หรือประกอบพิธีอื่นๆ เช่น การบวชถวายเป็นพระราชกุศล น่าจะสร้าง ภาพพจน์ ชาวพุทธ หรือสร้างภาพคุณงาม ความดี ที่บรรพบุรุษชาวไทย สั่งสมมาว่า สั่งสอนอบรมลูกหลานไทยมาดี มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ชี้ให้เห็นถึง วัฒนธรรมที่ดีของคนไทยนั้น ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่หันมาสนใจศาสนา แทนที่จะเอาเวลาไปมั่วสุม หรือกระทำสิ่งผิดกฎหมาย น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า
ศาสนาอื่นๆ ก็มีการระดมคน เป็น จำนวนมากๆ เรียกว่าเป็นคนล้านคนก็ว่าได้ ก็เห็นเขาเหล่านั้นจัดมาได้เป็นร้อยปี ไม่เห็นว่า จะมีผล กระทบ ต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งน่าจะเกิด เอกลักษณ์ของศาสนาดังกล่าว ด้วยซ้ำ และยิ่งศาสนาพุทธมีความเชื่อหรือมีความดีอยู่ในตัว มิฉะนั้น ปู่ย่าตายายของพวกเราชาวไทย คงจะไม่นับถือสืบต่อมา หรือคิดหรือเชื่อว่า วัดพระธรรมกายไม่ได้สอน ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า หรืออาจ เพียงกระโดดจับบางคำพูดบางประเด็น มาปะติดปะต่อกันว่า ผิดหลักพุทธศาสนา
ถามว่าคุณเข้าใจและประพฤติปฏิบัติตามคำสอนและรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงใด หรือรู้เพียงเพราะฟัง หรือรู้เพียงเพราะอ่าน ท่องเป็น นกแก้ว นกขุนทอง หรือปฏิบัติแต่ปฏิบัติตามที่อ่าน ยังไม่ถูกวิธี อย่าทำตัวเป็นว่า จะเดินทางไปขึ้นรถไฟที่มี 20 โบกี้ เพียงแต่ยืนอยู่ที่มีคนมาบอกว่า ไม่มีรถไฟ ก็เชื่อว่าไม่มี หรือเดินไปขึ้นรถไฟแล้ว แต่ขึ้นเพียงโบกี้ที่หนึ่ง แล้วสรุปเอาว่า ตนถึงโบกี้ที่ 20 แล้ว หรือโบกี้ที่ 20 ไม่มีเลย เราอยากรู้ อยากเห็น อยากวิพากษ์วิจารณ์ต้องไปหาข้อมูลด้วยตนเอง
(ทนายธรรม)