ปีที่ 2 ฉบับที่ 796 ประจำวันศุกร์ที่ 17 เดือนกันยายน พ.ศ. 2542 |
ตำรวจยังมั่วต่อ พยายามทุกวิธีทาง หาข้อหายัดพระธัมมชโยให้ได้ ล่าสุดเตรียมนำเรื่องโอนเงินให้ลูกศิษย์มาตั้งข้อหา ศิษย์วัดขำกลิ้ง แค่โอนเงินซื้อของ นักกฎหมายชี้ กฎหมายฟอกเงินใช้ในคดีธรรมกายไม่ได้ กม.ไม่มีผลย้อนหลัง ศิษย์หลวงเตี่ย บุกสภาวันนี้ แจกเทปประจาน ส.ศิวรักษ์ ด่าพระออกทีวี
ด้าน ชาวพุทธโวย ถูก "พิจิตต รัตตกุล" แกล้งเอาป้ายค้าน พ.ร.บ.สงฆ์ลง โดยไม่มีเหตุผล ตั้งคำถาม ทำไมป้ายลามาอนาจาร ไม่เอาลง?
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองปราบปรามว่า พนักงานสอบสวนคดีวัดพระธรรมกาย กำลังควานหาความผิดของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ และลูกศิษย์
อย่าง เคร่งเครียด โดยได้มีการแถลงการณ์ระหว่างพนักงานสอบสวนด้วยกันเองว่า จะมีการนำกฎหมายฟอกเงิน มาใช้กับคดีวัดพระธรรมกาย
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า มีการโอนเงินจากบัญชีต่างๆ ของพระธัมมชโย ไปยังผู้อื่น เช่น การโอนเงินโดยการจ่ายเช็คไปยัง พระรังสฤษดิ์ อิทธิจินตโก พระลูกวัดพระธรรมกาย เป็นวงเงิน 12 ล้านบาท และการโอนเงินให้ "สีกานัท" นางวิชญา ไตรวิเชียร ที่มีวงเงินสูงผิดปกติ
ซึ่งทั้งสอง รายนี้ ไม่สามารถชี้แจงได้ว่า เป็นการสั่งจ่ายไปในกิจกรรมใด และไม่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ว่า เป็นการสั่งจ่ายเงินเพื่อเหตุใด
โอนเงินซื้อวัสดุ ไม่ผิดกม.
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการโอนเงินของ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ทางวัดพระธรรมกาย ได้ยืนยันว่า สามารถอธิบายได้ทุกบัญชี เพราะว่า การโอนเงินส่วนใหญ่ เป็นการโอนไปเพื่อซื้อวัสดุมาก่อสร้างบำรุงศาสนสถาน
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนได้สรุปว่า ภายหลังจากวันที่ 20 ส.ค. เป็นต้นมา นางสงบ ปัญญาตรง หรือ สีกาสงบ ได้เปลี่ยนแปลงธุรกรรม
ที่เข้าข่ายความผิด
มูลฐานตาม พ.ร.บ.กฎหมายฟอกเงิน
ทางพนักงานสอบสวนได้ชี้แจงว่า การเอาผิดเกี่ยวกับกฎหมายฟอกเงินนั้น สามารถที่จะดำเนินการได้กับผู้ต้องหาในคดีวัดพระธรรมกาย
ถึงแม้จะเป็นความผิด
ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 20 ส.ค. ก่อนกฎหมายประกาศใช้ แม้ว่า จะผิดกฎหมายแพ่งก็ตาม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถสั่งยึดทรัพย์สิน
ที่ผู้ต้องหาได้มาจาก การ
ยักยอก ทรัพย์ได้ อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนพยายามรวบรวมคดีทั้งทางอาญา และทางแพ่งอยู่
กม.ฟอกเงินใช้ไม่ได้
ในเรื่องนี้ นักกฎหมายให้ความเห็นว่า กฎหมายฟอกเงินเป็นกฎหมายอาญา ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา ได้บัญญัติไว้ว่า "กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง"
เมื่อคดีวัด
พระธรรมกายเกิดขึ้นก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ จึงทำให้ความเห็นของพนักงานสอบสวน กรณีจะนำกฎหมายฟอกเงินมาใช้นั้น น่าจะไม่ได้ผล
เพราะเมื่อ คดีถึงชั้นศาล วัดพระธรรมกายจะสามารถยกข้อกฎหมายดังกล่าว มาเป็นข้อต่อสู้ได้ ซึ่งเรื่องการนำกฎหมายฟอกเงินมาใช้ ยังไม่ได้ผลสรุป
ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ปล่อยข่าวในเรื่องนี้ เป็นเป้าลวงมากกว่า เพราะเชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้ว ตำรวจจะมุ่งไปที่ประเด็นอื่น ไม่ใช่ความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน
โดยเฉพาะการฟอกเงินนั้น จะบังคับใช้กับกาณีที่ได้เงินมาโดยทุจริต เช่น จากบ่อน ซ่อง หวยใต้ดิน ค้าขายผิดกฎหมาย ส่วนเงินที่วัดพระธรรมกายได้มานั้น
ได้มาจากการบริจาคด้วยความเต็มใจของผู้ที่ศรัทธาวัดพระธรรมกาย
อ้างอธิบดีบางคน ทำบุญกลับจนลง
ทางด้านการสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องการฉ้อโกงประชาชน โดยเฉพาะเรื่องพระมหาสิริราชธาตุ ที่ได้มีการกล่าวอ้างว่า ผู้ที่นับถือในตัวพระธัมมชโย
และทำบุญกับ วัดพระธรรมกาย จะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต และใครที่มุ่งร้ายกับวัดพระธรรมกาย และเจ้าอาวาส ก็จะมีอันเป็นไปนั้น
ตามข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบ พบว่า บรรดาลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ระดับอธิบดีหลายคนเคยประสบมา ไม่เป็นไปตามคำโฆษณาของทางวัดแต่ประการใด เช่น อธิบดี "ว" เมื่อครั้งยังอยู่กรมศุลกากร ก็หลงใหลในตัวพระธัมมชโยเป็นอย่างมาก กระทั่งเข้าไปพัวพันกับการทุจริตในบริษัทน้ำมันอีสาน
ซึ่งการทุจริตใน ครั้งนั้น
ได้ทำให้รัฐบาลสูญเงินไปถึง 20 ล้านบาท
ส่วนลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ที่เป็นระดับอธิบดี ก็เกิดเรื่องทุจริตอีกเช่นกัน คือตั้งแต่สมัยเป็นรองอธิบดี ก็ได้มีการปลอมแปลงเอกสาร
ในการเช่าพื้นที่ป่าให้กับบริษัท
ดอกหญ้า รวมทั้งการเรียกรับเงินใต้โต๊ะ จากเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ที่กำลังจะถูกย้าย จนมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาความผิดมาแล้ว
แจงความเชื่อเป็นเรื่องนามธรรม
ในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาสิริราชธาตุนั้น จริงๆ แล้ว เป็นเรื่องของศรัทธา ซึ่งเป็นนามธรรม ขนาดชาวพุทธบางคนเลื่อมใสศรัทธาคนทรงเจ้าเข้าผี ก็ไม่เห็นว่า ตำรวจจะไปดำเนินคดี ทำไมคนศรัทธาวัดพระธรรมกาย จึงต้องถูกดำเนินคดีด้วย ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติเฉพาะบุคคล หรือเฉพาะกลุ่มหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ ทางวัดพระธรรมกาย จะดำเนินการเรียกร้องสิทธิของตนอย่างแน่นอน
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ยังไม่ได้พบและหารือกับ ดร.วิชัย ตันศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับการแสดงความเห็น ประกอบการยื่นหนังสือคัดค้าน การยกเลิกข้อกล่าวหา เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ของนายสมพร เทพสิทธา ประธานสภา ยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ และนายมาณพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมการศาสนา
"ตือ" ดันนิคหกรรมอีก
แต่ได้หารือกับนายจรวย หนูคง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ได้ให้ความเห็นว่า ไม่ควรจะตอบอะไรไป นอกเหนือการยืนยันมติมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่ระบุว่า ฆราวาสกล่าวหาพระได้ เพราะขณะนี้ ไม่อยากเห็นการโยนกลับไปกลับมาอีกแล้ว จะทำให้กระบวนการ ทางศาลสงฆ์ล่าช้า ตนต้องการให้กรรมการมหาเถรสมาคม เร่งดำเนินการโดยเร็ว เนื่องจาก ผู้คนยังสนใจอยู่ว่า กระบวนการทางศาสนาสงฆ์ ยังเป็นที่พึ่งของสังคม ได้หรือไม่ ตนไม่สนใจว่า ใครจะเข้าข้างใคร แต่ขอให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการติดตามการรายงานผล การดำเนินงาน เกี่ยวกับ วัดพระธรรมกายของพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ซึ่งสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้ให้นำกลับไปปรับปรุงแก้ไขให้เรียบร้อยภายใน 1 สัปดาห์นั้นว่า
การรายงานของพระพรหมโมลีครั้งนี้ น่าจะเป็นรายงานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และถูกต้องที่สุด ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึง 1 สัปดาห์ก็ได้ นอกจากนี้
ตนยังได้มอบ หมายให้นายจรวย เข้านมัสการ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เพื่อหารือว่า รายงานของพระพรหมโมลีนี้ ถ้าเสร็จก่อน 1 สัปดาห์ ก็ให้นำเข้ามหาเถรสมาคมได้ก่อน
ศิษย์หลวงเตี่ยบุกสภา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (17 ก.ย.) จะมีชาวพุทธและคณะศิษย์ของพระธรรมราชานุวัตร หรือ หลวงเตี่ย จะเดินทางไปที่รัฐสภา
เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้อง
ความชอบธรรม ในเรื่องที่รายการ "กรองสถานการณ์" หลอกหลวงเตี่ย ไปออกทีวีช่อง 11 โดยเปิดโอกาสให้ นาย ส.ศิวรักษ์ ด่าพระออกอากาศ
โดยทางคณะศิษย์หลวงเตี่ย จะนำเทปบันทึกภาพไปมอบให้กับ ผู้แทนราษฎรทุกพรรค เพื่อประจานถึงพฤติกรรม ความไม่เหมาะสมของฆราวาส
ที่ปฏิบัติตน
ต่อพระเถระผู้ใหญ่ ให้ประชาชนได้รับรู้กันทั่วไป
ชาวพุทธโวยกทม.แกล้ง
ด้านนายสำเนา ปั้นสังข์ แกนนำชมรมชาวพุทธฯ ได้ร้องเรียนมายัง "พิมพ์ไทย"ว่า การที่ทางกลุ่มของตน ไปขึ้นป้ายในกทม. แสดงวามไม่เห็นด้วยในเรื่องที่ นายอำนวย สุวรรณคีรี กมธ.ศาสนาฯ จะผลักดันให้ออก พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับใหม่ และ พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพราะทางกลุ่มตนเห็นว่า กฎหมายทั้ง 2 ฉบับ เป็นกฎหมายที่เปิดช่องให้ฆราวาส เข้ามามีอำนาจเหนือพระ ซึ่งขัดต่อหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ที่มีพุทธประสงค์
ต้องการให้
พระสงฆ์ยึดหลักพระธรรมวินัยเป็นตัวแทนในการปกครองคณะสงฆ์
ดังนั้น การร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกมา จึงไม่ถือว่า เป็นการเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย ขัดหลักการณ์ของพระพุทธศาสนา ทำให้พระสงฆ์ปฏิบัติตัวได้ยาก
ซึ่ง
ชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.หัวดำคุมสงฆ์ ทางกลุ่มของตน จึงได้ขึ้นป้ายดังกล่าว เพื่อแสดงความเห็นคัดค้าน เพราะถือว่า
เป็นสิทธิอันชอบธรรม
ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ทางนายพิจิตต์ รัตตกุล ผู้ว่าฯกทม. ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ นำป้ายของกลุ่มตนลง โดยเฉพาะป้ายที่ติดตั้งบริเวณ ถ.รามอินทรา กม.8
โดย
เจ้าหน้าที่เทศกิจอ้างว่า ผู้ว่าฯ เป็นคนสั่งให้นำป้ายลง เพราะถูกสื่อมวลชนบางฉบับบีบคั้น
ป้ายลามกทำไมไม่เอาลง?
นายสำเนากล่าวต่อไปว่า เป็นที่น่าแปลกใจว่า ป้ายคัดค้าน พ.ร.บ.สงฆ์ ไม่ได้กล่าวร้ายใคร และเป็นสิทธิของคนไทยทุกคนสามารถทำได้
ตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญ กทม. ใช้สิทธิอะไรมาเอาป้ายลง ทำไมทีป้ายภาพโป้ ภาพเปลือย หรือแม้กระทั่ง ป้ายโฆษณาสิ่งของยั่วยวนมอมเมา เช่น เหล้า บุหรี่ หรือ อาบ อบนวด กทม. จึงไม่สั่งให้นำป้ายเหล่านี้ลง ซึ่งในเรื่องนี้ ตนจะทำการประท้วงในโอกาสต่อไป เพราะถือว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
อัยการยอมรับเป็นศิษย์หลวงเตี่ย
นายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน พิจารณาคดีวัดพระธรรมกาย เปิดแถลงชี้แจง กรณีมีข่าวระบุว่า นายวิเชียร เป็นลูกศิษย์คนสนิทของพระธรรมราชานุวัตร (หลวงเตี่ย) รองเจ้าอาวาส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ซึ่งเกรงกันว่า
อาจจะมีผลต่อ
การพิจารณาสำนวนคดีนี้
โดยนายวิเชียร ยอมรับว่า มีความสนิทสนมกับหลวงเตี่ย มานานแล้ว แต่ยืนยันได้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีผล ต่อการพิจารณา สำนวนคดี อย่างแน่นอน
ตนจบมัธยม จากจังหวัดพิจิตร เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ มาอยู่วัดโพธิ์ ตั้งแต่ปี 2501 กับสมเด็จพระสังฆราช ในขณะนั้น มีหลวงเตี่ย เป็นเลขานุการของ
สมเด็จ พระสังฆราช ผมก็มีความสนิทสนมกับหลวงเตี่ย ตั้งแต่นั้นมา แต่หลวงเตี่ย ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ ผมบอกด้วยความสัตย์จริงว่า
หลวงเตี่ย ไม่เคยมาพูดคุย
กับผม เรื่องคดีธรรมกายเลย และเรื่องนี้ จะไม่มีผลต่อการพิจารณาคดี เพราะผมไม่ได้ทำคดีคนเดียว แต่มีคณะทำงานอัยการ ช่วยกันพิจารณาถึง 9 คน
คดีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหลือเกิน ดังนั้น ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่ใช่จะสั่งคดีไปตามใจชอบ หรือโดยพลการอะไรได้
อธิบดี อัยการฝ่ายคดีอาญา กล่าว และว่าเท่าที่ทราบ พนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ คนหนึ่งก็เป็นลูกศิษย์หลวงเตี่ย เคยอยู่กุฏิใกล้ ๆ กับตนที่วัดโพธิ์
หนักใจกระแสสื่อแรง
นายวิเชียร กล่าวอีกว่า การที่มีข่าวเช่นนี้ออกมา ไม่ทราบว่า เพื่อต้องการดิสเครดิตอัยการหรือไม่ ตนยอมรับว่า เป็นลูกศิษย์หลวงเตี่ยจริง
แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อน
อะไรกับเรื่องนี้ แม้ที่ผ่านมา จะมีลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย มาพบเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง แต่ก็มีฝ่ายตรงข้ามวัดพระธรรมกาย มาเล่าเรื่องให้ฟังเช่นกัน
ซึ่งตน ก็ไม่ได้ปิดกั้น หากมีใครมาขอพบ หรือมาหามาเล่าเรื่องใด ๆ ก็ได้ เพราะตนทำอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า หนักใจกับคดีนี้ เพราะกระแสแรงจริง ๆ
ที่หนักใจก็ตรงที่กระแสแรงมากจริง ๆ อย่างอื่น ผมไม่หนักใจเลย เพราะผมทำไปตามหน้าที่ ส่วนที่พระธัมมชโยปฏิเสธ ที่จะให้ปากคำกับอัยการ
ขอไปให้การ ในชั้นศาลนั้น ก็ไม่มีผลอะไร อัยการก็พิจารณาเท่าที่มีพยานหลักฐานอยู่ในมือ
ประชุมร่วมตำรวจ
อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญากล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้อ่านสำนวนคดีไปมากแล้ว และคณะทำงานได้นัดประชุมในวันนี้ (17 ก.ย.)
โดยเชิญพนักงานสืบสวน สอบสวน มาสรุปสำนวนให้ฟัง ในเบื้องต้น อัยการจะพิจารณาไปตามข้อหา ที่พนักงานสืบสวนสอบสวน ตั้งข้อหากับพระธัมมชโย 3 ข้อหาก่อน ส่วนระยะเวลา ในการสรุปสำนวนของอัยการนั้น ไม่มีการกำหนดกรอบเวลาเอาไว้ แต่จะพยายามทำให้เร็วที่สุด
ต่อข้อถามที่ว่า คดีธรรมกาย ซึ่งมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมาก จะมีอิทธิพลทางการเงิน เข้ามาส่งผลต่อการสั่งคดีของอัยการ ได้หรือไม่ นายวิเชียร กล่าวว่า สำหรับตน ใครจะมาล้มคดี หรือทำให้การทำงานเบี่ยงเบน ไปจากข้อเท็จจริงไม่ได้ แต่ในส่วนของคนอื่น ตนไม่สามารถไปรับรองแทนใครได้
ตนรับราชการ เป็นอัยการ มานานกว่า 30 ปี จนปัจจุบันอายุถึง 58 ปีแล้ว ขอให้ตรวจสอบประวัติ การทำงานที่ผ่านมา ของตนได้เลยว่า มีพฤติการณ์ในการทำงานอย่างไร
นายวิเชียร กล่าวอีกว่า ได้รับแจ้งจากอัยการสูงสุดว่า ได้มอบหมายให้นายพันธ์ สุริยะพรรองอัยการสูงสุด เป็นผู้แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้ เนื่องจากคดีนี้ เป็นคดีสำคัญที่ประชาชน ให้ความสนใจอย่างมาก อัยการจะต้องพิจารณา ด้วยความรอบคอบ และระมัดระวัง