ปีที่ 2 ฉบับที่ 857 ประจำวันพุธที่ 17 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 |
ม็อบ 500 ยึดวัดชนะ เปิดศึกประท้วงยาว
ม็อบยึดวัดชนะสงครามต่อ ประกาศ ถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม จะประท้วงไม่เลิก
วอนขอความเป็นธรรมจาก
สมเด็จพระมหาธีราจารย์
ให้ใช้พระคุณ
ในการแก้ไขปัญหา ด้านเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ตั้งเจ้าอาวาสวัดกลางคลองสาม รักษาการเจ้าคณะตำบลคลอง 1 พระมหาปัญญา
เผยได้ทำหนังสือ สั่งปลดพระธัมมชโย ออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแล้ว รอเจ้าคณะจังหวัดปรู๊ฟอยู่ หลังจากนั้น ก็จะส่งให้วัดพระธรรมกายรับทราบ พระครูปทุมกิจโกศล ร้องทุกข์ต่อนายกรัฐมนตรี และมหาเถรสมาคม ขอความยุติธรรม และขอให้คืนาตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลอง 1 ด้วย
พระครูปทุมกิจโกศล อดีตเจ้าคณะตำบลคลอง 1 ได้ส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ในกรณีที่ถูกสั่งพักตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลอง 1 ต่อนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี และกรรมการมหาเถรสมาคม มีความโดยสรุปว่า
ด้วยอาตมาภาพ พระครูปทุมกิจโกศล ได้รับคำสั่งที่ 22/2542 เรื่อง ให้พระสังฆาธิการออกจากตำแหน่งหน้าที่ จากเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
ให้ออก จาก เจ้าคณะตำบลคลอง 1 โดยให้เหตุผลว่า เป็นพระสังฆาธิการ หย่อนความสามารถ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งได้ ตามข้อ 41
แห่งกฎมหาเถร สมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ
อาตมาภาพขอเจริญพรให้ทราบว่า อาตมภาพได้ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ อุทิศทั้งแรงกายและแรงใจ เพื่อพระพุทธศาสนา
มาตั้งแต่เป็น สามเณร ภายหลังจากที่อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2487 ณ พัทธสีมา วัดสว่างภพ เป็นต้นมา อาตมภาพตั้งใจฝีกฝนตนเอง ทั้งภาคปริยัติและปฏิบัติ
เพื่อยัง ประโยชน์
ให้สมกับพุทธโอวาท ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม
ทั้งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบล ทำหน้าที่ไม่ขาดตกบกพร่องมาตลอด 20 ปี และในเขตปกครองของอาตมภาพ ก็ไม่เคยมีอธิกรณ์ใดๆ เกิดขึ้น ดังนั้น อาตมภาพ จึงเห็นว่า คำสั่งดังกล่าว ของเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี มีความไม่เป็นธรรม จึงได้เรียกร้องขอความเป็นธรรมไปยังมหาเถรสมาคม ดังมีรายละเอียดปรากฏในหนังสือขอความเป็นธรรมที่แนบมานี้
ต่อมาอาตมาภาพได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 15 พ.ย.2542 ถึงอธิบดีกรมการศาสนา ในฐานะเลขาธิการ มหาเถรสมาคม
ขอให้ดำเนินการนำเสนอบรรจุ
เข้าวาระการประชุม ของมหาเถรสมาคม ได้พิจารณาในวันที่ 17 พ.ย.2542 ดังปรากฏในหนังสือที่แนบมานี้ แต่อาตมภาพ เกรงว่า
จะไม่ได้รับความ อำนวย
ความสะดวกจากกรมการศาสนา หรือถูกขัดขวาง โดยไม่บรรจุเจ้าวาระการประชุมมหาเถรสมาคม ที่จะมีขึ้น ดังนั้น อาตมภาพ จึงขอให้ ฯพณฯ ท่าน ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด ในสายการปกครองบริหารราชการแผ่นดิน ช่วยกำกับดูแล ผู้เกี่ยวข้อง มิให้ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ขัดขวางการ
ร้องขอความเป็นธรรมของอาตมภาพในครั้งนี้ด้วย
สำหรับหนังสือที่ยื่นต่อมหาเถรสมาคม มีความว่า ด้วยเกล้ากระผม ได้ถูกสั่งให้ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลอง 1 ด้วยเหตุผลว่า
เป็นพระสังฆา ธิการ
หย่อนความสามารถ ขอเรียนให้ทราบว่า เกล้ากระผมได้ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ อุทิศทั้งแรงกายและแรงใจ เพื่อพระพุทธศาสนา
ภาย หลังจาก
ที่ได้อุปสมบทเมื่อปี 2487
มีผลงานเด่นชัดคือ ปี พ.ศ. 2512 เปิดสำนักเรียนพระปริยัติธรรมบาลี ส่งเสริมการเรียนภาษาบาลี ซึ่งในช่วงเวลา 5 ปี ก็มี พระเณร สอบเปรียญธรรม ได้ 3-7 ประโยค ถึง 100 รูป ผลงานดังกล่าวทำให้ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ที่พระครูปทุมกิจโกศล ในปี พ.ศ.2514 และได้เป็นเจ้าคณะตำบลในกาลต่อมา ดูแลพื้นที่ 7 วัด เป็นเวลากว่า 20 ปี โดยไม่เคยมีการร้องเรียนว่า บกพร่องต่อหน้าที่ หรือมีข้อเสียหาย
สามารถ ปกครองดูแล และส่งเสริมนโยบาของการคณะสงฆ์ เป็นที่เรียบร้อยตลอดมา
นอกจากนี้ เด็กไทยที่ด้อยโอกาสในด้านการศึกษาเล่าเรียน ยังได้เข้าเรียนที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา โดยรับเด็กชายอายุตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไป มาบรรพชาเป็นสามเณร และส่งเสริมให้ได้รับการศึกษาเล่าเรียน เพื่อเป็นอนาคตของชาติ และพระศาสนาต่อไป
ซึ่งในปัจจุบันได้ พระภิกษุ
สามเณร ที่เป็นพระคณาจารย์ พระภิกษุที่อุปสมบทตามประเพณี และสามเณรนักเรียน อยู่ในความรับผิดชอบร่วม 360 รูป โดยเกล้ากระผม
ก็ดูแลได้ เรียบร้อย ไม่มีข้อบกพร่องแต่ประการใด
และเพื่อส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณร สามารถบรรพชาอุปสมบทได้ไม่ลำบากมาก เกล้ากระผมจึงได้สอบเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุได้ 44 ปี พรรษา 24 และได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ในวันที่ 29 ม.ค.2512 ให้การบรรพชาอุปสมบท แก่กุลบุตรมาจนปัจจุบัน เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี
ละ ประมาณ 100-200 รูป นับรวมได้หมื่นรูป
แต่เมื่อเกิดกรณีวัดพระธรรมกายขึ้น มีกระแสข่าวออกมาทางสื่อมวลชนว่า มีผู้สงสัยเกี่ยวกับพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช ว่าเท็จจริงประการใด และได้มาสอบถามความคิดเห็นของเกล้ากระผม ก็ได้ถามกลับต่อผู้สื่อข่าวว่า แล้วพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช เป็นของจริงหรือเปล่า
เพราะไม่
ทราบแน่ชัดเหมือนกัน
แต่ข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ ได้ออกบิดเบือนไปว่า เกล้ากระผมมีความสงสัยเกี่ยวกับพระลิขิตว่าเป็นของปลอม
ทำให้มีการแจ้งความโดย ผู้
ไม่รู้ข้อเท็จจริง และเมื่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้ทราบข่าวาจากหนังสือพิมพ์ ก็เรียกเกล้ากระผมมาพบในทันที
เกล้ากระผมก็ได้มาพบตาม
ที่ผู้ บังคับ บัญชาต้องการ ณ วัดมูลจินดาราม โดยมีผู้สื่อข่าวได้ทราบ และมารอทำข่าวในวัด
เจ้าคณะจังหวัดได้สอบถามเกล้ากระผมต่อหน้าผู้สื่อข่าว และก็ได้ตอบไปตามความจริง หลังจากนั้น เจ้าคณะจังหวัดก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
ได้ตำหนิ กระผมแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ เกล้ากระผมก็ได้น้อมปฏิบัติตามผู้บังคับบัญชาด้วยความเคารพ ไม่ได้บ่นหรือน้อยใจใดๆ
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 เกล้ากระผมได้รับหนังสือด่วนที่สุด จากอธิบดีกรมการศาสนา เรื่องพระสังฆาธิการถูกฟ้องคดีอาญา
และได้รับ หนังสือ
จากรักษาการเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง พร้อมด้วยหนังสือที่ส่งมาด้วย จากเจ้าคณะจังหวัด ลงวันที่ 6 ต.ค.
ขอให้พิจารณาสั่งพัก ตำแหน่ง
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นการกำชับให้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอ เร่งรัดให้มีคำสั่ง
เกล้ากระผมได้เข้าไปตรวจสอบวัดพระธรรมกาย และพิจารณาตามกฎมหาเถรสมาคมแล้ว ไม่เห็นว่า หากพระราชภาวนาวิสุทธิ์
ยังดำรงตำแหน่งเจ้า
อาวาสต่อไป จะเป็นการเสียหายต่อการคณะสงฆ์แต่อย่างใด ทั้งยังเห็นอีกว่า หากมีคำสั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
จะต้องเกิดความ
เสียหายแก่การคณะสงฆ์อย่างยิ่ง เพราะเจ้าอาวาสเปรียบเสมือนพ่อของลูกผู้อยู่ใต้การปกครอง เมื่อพ่อถูกพักตำแหน่ง ไม่อาจทำหน้าที่ได้พวกลูกๆ ก็พากันเดือดร้อน
อีกทั้งการทำงานเพื่อพระศาสนา จะต้องหยุดชะงักลง การเรียนการศึกษาด้านปริยัติธรรม ทั้งนักธรรม บาลีและธรรมศึกษา ก็จะ กระทบกระเทือน ตลอดทั้งการฝึกสมาธิเจริญภาวนาของพระภิกษุสามเณร ญาติโยมก็ไม่อาจปฏิบัติได้เต็มที่ เป็นเหตุให้คณะสงฆ์เสียหาย เป็นการทำลายคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ ซึ่งเป็นกิจสำคัญในพุทธศาสนา อย่างรุนแรงที่สุด เป็นประวัติการณ์
ดังนั้น เกล้ากระผมจึงใช้ดุลพินิจตามข้อ 56 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่า ด้วยการแต่งตังถอดถอนพระสังฆาธิการ เห็นว่า "ไม่ควร
สั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาส" และได้มีหนังสือรายงานตามลำดับขั้นขึ้นไป ยังรักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอ คลองหลวง ลงวันที่ 7 ต.ค. 2542
พร้อมทั้งมี
หนังสือแจ้งผลการปฏิบัติหน้าที่ ลงวันที่ 13 ต.ค.2542 ให้กรมการศาสนาได้รับทราบ และขอให้ช่วยชี้แจงมาให้ทราบว่า หากพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ยังดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต่อไป จะเป็นการเสียหายแก่การคณะสงฆ์อย่างไร
แต่ทั้งรักษาการเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง และกรมการศาสนา ก็มิได้ชี้แจงให้เกล้ากระผมได้ทราบแต่อย่างใด
เกล้ากระผมจึงมิได้สั่งพัก
ตำแหน่ง เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่อยู่พื้นฐานที่ว่า จะต้องเคารพต่อกฎมหาเถรสมาคม เพื่อให้กฎมีความศักดิ์สิทธิ์
โดยไม่เห็นแก่หน้า
ผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น
ดังนั้น กรณีนี้ เกล้ากระผมจึงไม่ได้สนองความต้องการของผู้บังคับบัญชา เป็นเหตุให้เจ้าคณะจังหวัดเห็นว่า เกล้ากระผมไม่ได้สนองงานตามนโยบาย โดยไม่ได้พิจารณาว่า นโยบายนั้นถูกต้องหรือไม่ และมีคำสั่งให้เกล้ากระผม ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะตำบลคลอง 1
เกล้ากระผมมีความคับข้องใจ และจำเป็นต้องร้องขอความเป็นธรรมจากมหาเถรสมาคม เพราะเกล้ากระผมทราบดีว่า หากร้องทุกข์ตามระเบียบ
จะ
ต้องทำคำร้องส่งให้แก่เจ้าคณะภาค 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา โดยผ่านเจ้าคณะจังหวัด และคำร้องนี้ก็จะได้รับการพิจารณาอย่างเที่ยงธรรม
โดยผู้บังคับ
บัญชาที่มีใจเป็นธรรมสูงยิ่ง เพราะพระเดชพระคุณ พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 แม้เกล้ากระผมจะไม่ใช่ผู้ใกล้ชิด แต่กระผมจำท่านได้เป็นอย่างดี จากการถวายสักการะและได้รับโอวาทในบางโอกาส ทำให้ทราบว่า ท่านเป็นผู้ที่เคารพในกฎมหาเถรสมาคมอย่างเคร่งครัด
ไม่ยอมตกอยู่ใต้ อำนาจ
ที่ไม่ชอบธรรม ไม่ว่าจะมีแรงกดดันของกระแสสื่อมวลชนโจมตีก็ตาม ท่านก็ไม่หวั่นไหว
ดังนั้น เกล้ากระผมจึงมีความเชื่อมั่นว่า หากร้องทุกข์ขึ้นไป พระเดชพระคุณจะต้องตัดสินด้วยความเที่ยงธรรมในทำนองว่า "คำร้องทุกข์ของเกล้า
กระผม ฟังได้ และสั่งให้เจ้าคณะจังหวัดคืนตำแหน่งให้เกล้ากระผม ผู้ไม่มีความผิด" แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ สื่อมวลชนต่างๆ
ก็จะพากันโจมตีประโคมข่าว
ที่ไม่เหมาะ สม เนื่องจากจะเป็นเหตุให้ทั้งผู้เขียนข่าว ผู้ประกาศข่าว ที่มีจิตเป็นอกุศล รวมทั้งประชาชนทั่วไป ผู้ไม่รู้ความจริง ที่ได้อ่านได้ฟังข่าว จะมีโมหะจริต จิตเป็นอกุศลอย่างมหันต์ ที่ว่าร้ายคิดร้ายต่อพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏบัติชอบ ผลของความชั่วร้ายดังกล่าว
ไม่คุ้มกับตำแหน่งเจ้าคณะตำบล
ที่เกล้า กระผม จะได้รับคืนมาจากการร้องทุกข์ ต่อพระเดชพระคุณ เจ้าคณะภาค 1 เลย
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อมิให้ความอยุติธรรมเกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ และเพื่อป้องกันความเสียหาย อันอาจเกิดขึ้นแก่การคณะสงฆ์
เพราะการใช้อำนาจใน ทาง
ที่ผิด จะขยายผลกว้างขวางต่อไป มิได้หยุดแต่เพียงเท่านี้
ดังนั้น เกล้ากระผมจึงต้องนำเรื่องนี้ มาร้องขอความเป็นธรรมจากมหาเถรสมาคม และเป็นที่พึ่งของหมู่สงฆ์ ทั่วสังฆมณฑล
ที่จะป้องกันภัยพาล ความ
อยุติธรรม และจรรโลงซึ่งศักดิ์ศรีของสงฆ์สืบไป
ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดชนะสงครามว่า จากกรณีที่มีกลุ่มม็อบลูกศิษย์วัดสว่างภพ มารวมตัวกันประมาณ 200 คน ในช่วงเช้า
และได้เริ่มมีการเคลื่อน ไหว
มานั่งรวมกลุ่มกัน ที่ด้านหน้ากุฏิเจ้าอาวาส ขณะเดียวกันแกนนำ ได้เข้าไปเจรจากับพระรูปหนึ่ง
เพื่อเรียกร้องขอเปลี่ยนสถานที่ใน
ชุมนุมประท้วงไป อยู่ในร่ม แต่ไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นเวลาประมาณ 10.00 น. มีกระแสข่าวมาว่า สามเณรและพระจากวัดสว่างภพ
เดินทางมาร่วมกันกลุ่มม็อบ
ที่วัด ชนะสงครามด้วย
เวลา 12.00 น. เกิดเหตุการณ์ชุลมุน โดยมีรถยนต์ โตโยต้า โคโรล่า สีบรอนซ์ ทะเบียน 3ษ-0739 กทม. ขับโดย น.ส.วรพรรณ จันทรากุลศิริ อายุ 24 ปี จ.สุพรรณบุรี ได้ขับรถเข้ามาด้วยความเร็ว เข้ามาที่เกิดเหตุ ตรงหัวเลี้ยวทางโค้ง และมีเณรพร้อมทั้งสื่อมวลชน ทีวี หนังสือพิมพ์ นั่งอยู่เต็มทางโค้ง
น.ส.วรพรรณ ได้ขับรถเข้ามาเบียดกับทางโค้ง ทำให้เฉี่ยวชนกล้องบันทึกภาพวีทีอาร์ ทีวีช่อง 7 เกิดความเสียหาย ทำให้ประชนชนและชาวต่างชาติ รวมทั้งผู้สื่อข่าวที่นั่งอยู่ในที่เกิดเหตุ ต้องรีบยกเท้าและรีบลุกขึ้นหลบรถคันดังกล่าวทันที
หลังจาก น.ส.วรพรรณได้ขับรถเฉี่ยวกล้องทีวีช่อง 7 แล้ว ยังไม่ยอมหยุดรถ ทำให้ผู้เห็นเหตุการณ์ และ นายทินกร ไกรนุกูล ช่างภาพช่อง 7
ต้องรีบมา
เคาะกระโปรงด้านหลังรถให้หยุด แต่คนขับรถไม่ยอมหยุดแต่อย่างใด
ช่างภาพช่อง 7 ดังกล่าว จึงได้วิ่งไปเปิดประตูรถคันดังกล่าว เพราะขณะนั้น รถไม่วิ่งเร็ว เนื่องจากมีคนยืนขวางทางจำนวนมาก เพราะต่างตกใจ ลุกขึ้นยืนดูเหตุการณ์ น.ส.วรพรรณ กล่าวว่า ที่ขับรถเฉี่ยวกล้องทีวีจนได้รับความเสียหาย เนื่องจากตนมองไม่เห็น ขับรถยังไม่แข็ง และจะรีบไปทำงาน
หลังจากนั้น ก็มีกลุ่มม็อบเข้ามายืนล้อมบริเวณดังกล่าว จนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน กลุ่มม็อบเห็นว่า ผู้หญิงตัวคนเดียวถูกรุมด้วยคนจำนวนมาก
เลยเข้ามา ช่วยเหลือ แต่ทางด้านสื่อมวลชนเห็นว่า เป็นพวกม็อบด้วยกัน
ด้านหน่วยปราบจราจลประมาณ 20 นาย และตำรวจจาก สน.ชนะสงครามอีก 2 คน ที่เข้ามาคอยดูแลความสงบ ได้เข้ามาช่วยเคลียร์
พร้อมทั้งทำการ
ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
เมื่อเวลาประมาณ 14.05 น. พระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม เสด็จออกจากกุฏิ เพื่อประชุม กสต.
เกี่ยวกับ เรื่อง ยกวัดราษฎร์ ให้เป็นวัดหลวง กลุ่มม็อบดังกล่าว จึงได้เริ่มมรการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ในขณะนั้น มีม็อบจำนวน ประมาณ 300-400 คน
และ มีแกนนำของกลุ่มเปิดไฮปาร์คด้านหน้ากุฏิของเจ้าอาวาส
แล้วแกนนำม๊อบได้กล่าวว่า สมเด็จพระมหาธีราจารย์ คงมองไม่เห็นว่า มีกลุ่มม็อบมาอยู่หน้ากุฏิ อย่าใช้พระเดชในการปกครองเพียงอย่างเดียว
ควร ใช้พระคุณเข้ามาช่วยด้วย พร้อมมีคำถามตามมาว่า พระผู้ใหญ่มีอิสระในการปกครองตัดสินเรื่องต่างๆ หรือไม่
หรือว่ายึดติดอยู่กับกระแส
ของ สื่อ มวลชน ซึ่งปัญหาทั้งหมดเกิดจากกระแสของสื่อมวลชน
ส่วนกลุ่มม็อบมาในครั้งนี้ มาโดยสันติ ต้องการความยุติธรรม ขอความเมตตา
และขอให้กรมการศาสนาชี้แจงเหตุผล
ในกรณีการปลดพระครู ปทุมกิจ
โกศล อดีตเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งว่า มีความผิดอย่างไร
นอกจากนี้ ทางวัดพระธรรมกาย ได้ทำหนังสือยื่นไปยังกรมการศาสนา แต่ยังไม่มีหนังสือตอบกลับมาแต่อย่างใด
เห็นได้ชัดว่ากรมการศาสนา
หย่อน ยาน พร้อมทั้งยังคงยืนยันที่นั่งประท้วงต่อไปอีก 2-3 วัน และขอความสะดวกในเรื่องการใช้ห้องน้ำด้วย เพราะปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ของวัด
ใส่กุญแจ ห้องน้ำไว้ พร้อมทั้งนำกุญแจไปด้วย
ด้านสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้สั่งการให้ลูกศิษย์คนใกล้ชิด แจ้งตำรวจสน.ชนะสงคราม ว่าหากจะมีการไฮปาร์ค ขอให้มาย้ายม็อบไปยังสนามหลวง
เวลาประมาณ 19.30 น. มีม็อบมาร่วมเพิ่มขึ้น ประมาณ 500 คน จากทั่วประเทศ โดยสารมากับรถยนต์ของมหาวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
พระสุเมธาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยถึงกรณีพระพรหมโมลี เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เจ้าคณะภาค 1
ยืนยันกับ นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา ซึ่งเข้าพบเมื่อคืนที่ผ่านมา (15 พ.ย.)ว่า ที่ไม่รับเอกสารคำกล่าวหาพระธัมมชโย
เจ้าอาวาสวัดพระ ธรรมกาย และพระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส เพราะเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ยังดำเนินการตามกระบวนการนิคหกรรม ไม่ครบถ้วนว่า
สิ่งที่ได้ทำไป แล้ว นั้น ทำถูกต้องครบถ้วนตามมติมหาเถรสมาคมที่ให้เริ่มดำเนินการใหม่ ให้สอดคล้องกับกฎนิคหกรรม จึงไม่เข้าใจเช่นกันว่า เป็นเพราะอะไร
พระพรหม โมลี
ยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจ แต่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ หรืออ่านหนังสือไม่เป็น
อย่างไรก็ตาม จะไม่สอบถามไปที่พระพรหมโมลีว่า จุดใดที่ยังไม่ครบถ้วน ถ้าพระพรหมโมลีมีหนังสือมาถึง ก็จะไม่ไปพบเพื่อสอบถาม
แต่จะทำหนังสือ
ถามไปยังมหาเถรสมาคม
พระพรหมโมลีน่าจะรู้ความหมายที่มหาเถรสมาคมบอกว่า ทำให้สอดคล้อง ซึ่งหมายถึงว่า ที่ผ่านมายังทำไม่ถูกต้อง เพราะยังไม่ทันได้พิจารณา
ก็ไป ตัดสินแล้วว่าสิ้นสุด ถ้ามหาเถรฯ จะมีมติว่าทำไม่ถูกต้อง ก็จะพูดตรงเกินและหนักไป ถ้าจะให้ฉันไปขอหนังสือถามจากท่านฉันไม่ไปหรอก
เพราะเข้าใจ
ความหมายของมหาเถรฯ ดีว่าให้ทำอะไร เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าว
พระสุเมธาภรณ์ กล่าวอีกว่า แม้พระพรหมโมลีจะยังไม่ยอมรับเอกสารคำกล่าวหาก็ไม่เป็นไร
จะเรียกพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว
ไปรับทราบ ข้อ กล่าว อีก 1 ครั้ง โดยต้องการจะกำหนดระยะเวลาให้เร็ว เพราะช่วงวันที่ 25-28 พฤศจิกายน ติดภารกิจต้องจัดสอบนักธรรม
จึงอาจจะต้องนัดก่อน
วันดังกล่าว
เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่งแทน พระครูปทุมกิจโกศล แต่ก็มีม็อบไปชุมนุมกับพระผู้ใหญ่มาก ซึ่งพระครูปทุมกิจโกศล บอกว่าไม่น่าจะมีม็อบ ก็ได้บอกไปว่า อยู่ที่พระครูปทุมกิจโกศลรูปเดียว ถ้าขอร้องไม่ให้เดินทางไปชุมนุมก็ไม่มีปัญหา
แต่นี่ทำ แบบปากว่าตาขยิบ พระสุเมธาภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาได้เมตตาต่อพระครูปทุมกิจโกศลมาก ที่สั่งปลดเพียงตำแหน่งเดียว
ตั้งพระปริยัติวโรปการเป็นรักษาการเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง
พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า พระมหาปัญญา ขันติธัมมโม เจ้าคณะอำเภอคลองหลวง เจ้าอาวาสวัดบางหลวง
ได้รายงาน อย่าง
เป็นทางการว่า ได้มีหนังสือแต่งตั้งพระปริยัติวโรปการ เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต รักษาการเจ้าคณะอำเภอธัญบุรี
เป็นรักษาการเจ้าคณะตำบล
คลองหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ได้ส่งหนังสือดังกล่าวไปถึงพระปริยัติวโรปการแล้ว เพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้ทันที
พร้อมกันนี้ มีกระแสข่าวออกมาว่า พระมหาปัญญา ขันติธัมโม รักษาการเจ้าคณะอำเภอคลองหลวง ได้นำส่งหนังสือคำสั่งปลดพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไปให้เจ้าคณะอำเภอได้ตรวจสอบก่อนที่จะส่งไปยังวัดพระธรรมกาย
และมีกระแสข่าวมาอีกว่า พระมหาชัยยะ อดีตเลขาเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง จะมายื่นหนังสือคัดค้าน การปลดอดีตเจ้าคณะตำบลคลองหนึ่ง