ปีที่ 2 ฉบับที่ 862 ประจำวันจันทร์ที่ 22 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542 |
อัตตา-อนัตตา "พระนิพพาน" ที่ทุ่มเถียงบิดเบี้ยว เมื่อปริยัติสอนปฏิบัติ (1)
////////////////////////
วันนี้ผมมีความเห็นเกี่ยวกับพระนิพพานของคุณ "ธรรมทายาท" มาฝากท่านผู้อ่านได้เป็นกรณีศึกษา เพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ของพระบรมศาสดา ผมเชื่อเหลือเกินว่า บทความชิ้นนี้ จะเป็นแสงสว่างให้กับผู้ใฝ่รู้บรรลุถึงธรรมชั้นสูง ไม่หลงไปตามอวิชชามืดบอดอย่างแน่นอน
ความเห็นในเรื่องนิพพานซึ่งกำลังถกเถียงกันอยู่นี้ เท่าที่ติตามพบว่า เกิดจากการเปิดประเด็นของนักปริยัติบางท่าน ซึ่งไม่พบว่า เป็นนักปฏิบัติธรรมด้วย ก่อให้เกิดความระส่ำระสายในบ้านเมืองอย่างไม่รู้จักหยุดเสียที และเมื่อศึกษาข้อมูลเหล่านั้นอย่างจริงจังแล้ว พบว่า มีความไม่ถูกต้อง และไม่สมควรอยู่หลายประการ ผู้เขียนจึงขอนำเสนอบทความนี้ เพื่อให้สาธุชนพึงพิจารณาว่า ความจริงเป็นเช่นไร
ผู้เขียนพบความไม่ถูกต้องและไม่สมควร เมื่อนักปริยัติบางท่านอธิบายเรื่องนิพพาน กระทั่งดูถูกความเห็นของนักปฏิบัติ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดังนี้
แสดงข้อความจากคัมภีร์ โดยตัดใจความสำคัญ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แสดงถึงความไม่ชอบมาพากล กล่าวคือ ผู้เขียนได้พิจารณาหนังสือต่างๆ ที่อ้างว่า นิพพานเป็นอนัตตา พบว่า 100 เปอร์เซ็นต์ จะอ้างถึงข้อความในคัมภีร์ แล้วตัดใจความสำคัญออก เช่น กล่าวถึงในพระไตรปิฎก เล่มที่ 8 ข้อ 826 แล้วตัดข้อความมาบางส่วน ดังนี้
"อนิจจา สัพเพสังขารา ทุกขานัตตา จ สังขตา
นิพพานัญเจว ปัณณัตติ อนัตตา อิติ นิจฉยาฯ"
และให้คำแปลเฉพาะส่วนนี้ว่า "สังขารทั้งปวง ที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งเป็นสิ่งไม่เที่ยงเป็นความทุกข์ และเป็นอนัตตา นิพพาน และ บัญญัติ เป็นอนัตตา จึงมีวินิจฉัยดังนี้
ซึ่งผู้อ่านทั่วไป เมื่อเห็นทั้งบาลี และคำแปล ก็เป็นธรรมดา ที่อาจจะเชื่อทันที เป็นไปได้ไหมว่า เพราะข้อความนี้เอง ที่ทำให้เกิดกระแสว่า นิพพานเป็นอนัตตา?
แต่ความเป็นจริง เมื่อตรวจสอบดูกับพระไตรปิฎก และอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏฯ 1(คงไม่บอกว่า แปลผิดนะครับ) พบว่าได้ตัดข้อความสำคัญที่ยิ่งออกไป เพราะข้อความในพระสูตรนี้ ซึ่งอยู่ในเรื่อง ปัญจมสมันตปาสาทิกา ข้อ 826 ย่อหัวข้อสมุฏฐาน มีความยาวมากกว่านี้ และถ้าขยายข้อความออกไปอีกไม่ต้องมาก จะได้ใจความที่ถูกต้องตามสาระสำคัญ ดังนี้
[826] สังขารทั้งปวงที่เป็นปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และบัญญัติ คือพระนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัยขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของสภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก...
และยังมีอรรถกถาสมุฏฐานสีลวัณณา ให้คำอธิบายว่า
"....คาถาว่า อนัตตา อิติ นิจฉยา มีความว่า บัญญัต คือนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา (เมื่อดวงจันทร์คือพระพุทธเจ้า ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์คือ พระพุทธเจ้ายังไม่อุทัยขึ้นมา)..."
เห็นไหมครับ เป็นคนละเรื่องเลย เหมือนกับเรื่องตลกที่ว่า ต้องการเขียน "ยานี้กินแล้วแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน"
แต่วรรคผิดเลยกลายเป็น "ยานี้กินแล้วแข็ง แรงไม่มี โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน" แต่นี่ไม่ตลก เพราะเป็นเรื่องหลักการ และความสามัคคีของชนในชาติ จึงอยากถามนักปริยัติเหล่านั้นว่า
1. ท่านไม่ทราบจริงหรือ ว่า ข้อความกล่าวเช่นนี้?
2. ถ้าท่านทราบ ท่านต้องการอะไร ความหายนะหรือ?
3. ถ้าท่านเป็นฆราวาส ท่านยังเป็นคนดีอยู่หรือ? (ผิดศีลข้อมุสา ท่านว่าความเป็นคนลดลงตามส่วน)
4. ถ้าท่านเป็นพระสงฆ์ ขอเรียนถามว่า ท่านยังจำอาบัติปาราชิกได้อยู่หรือไม่ ว่าข้อเขียนของท่านมันล่อแหลมเพียงไร เหล่าสาธุชนทั้งหลายเคารพท่าน บูชาท่าน ก่อนใส่บาตรจบเหนือหัว ด้วยหวังว่า ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องปัจจัย 4 จะได้มีเวลาศึกษาทั้ง ปริยัติและปฏิบัติ เมื่อทำได้เท่าไร ก็ขอความกรุณาท่านอนุเคราะห์สอนแก่เหล่าสาธุชน เพื่อความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่ให้ท่านศึกษาแล้ว มาแสดงภูมิรู้ที่ไม่ถูกต้อง ปิดสิ่งที่ควรเปิด ก่อให้เกิดความระส่ำระสายเช่นนี้ เหล่าสาธุชนไม่สนใจหรอกว่าท่านจะจบเปรียญธรรมตั้งแต่สามเณรหรือไม่ เพราะทราบดีว่า "ความรู้เกิดแก่คนพาล นำความฉิบหายมาให้"
ดังนั้น อยากทราบว่า การที่นักปริยัติบางท่าน แสดงข้อความในคัมภีร์แบบตัดข้อความเข้าข้างตัวเอง แล้วมากล่าวหานักปฏิบัติ ถูกต้องหรือไม่ สมควรหรือไม่?
(อ่านต่อฉบับหน้า)
ธรรมทายาท (แทน)