ปีที่ 2 ฉบับที่ 869 ประจำวันจันทร์ที่ 29 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2542

หน้า 1

ธัชชโยบุกวัดมูลฯ นิคหกรรมจบ 30 พ.ย.ไม่ต้องรอ
แนะเจ้าคณะจ.ปทุมฯ เลิกตีความ-ยึดมติมส.

พระธัมมชโย-พระทัตตชีโว บุกวัดมูลจินดาราม ยื่นหนังสือยืนยันไม่ไปรับฟังข้อกล่าวหา ในวันที่ 30 พ.ย. แน่นอน ประกาศจุดยืนนิคหกรรมถึงที่สุดแล้ว หากรื้อคดีขึ้นมาใหม่ เท่ากับหักล้างกฎหมาย-มติมส., พระธรรมวินัย ด้านชมรมพุทธ 3 เหล่าทัพ เดินหน้าปูดข้อมูล ดร.เบญจ์ จี้พระปยุตบิดเบือนพระไตรปิฎก 

วัดมูลจินดาราม จ.ปทุมธานี เวลา 06.30 น. วันที่ 28 พ.ย. พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย) และพระภาวนาวิริยคุณ (ทัตตชีโว) เจ้าอาวาส และรองเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย ได้เดินทางไปยังวัดมูลจินดาราม เพื่อยื่นหนังสือเรื่องยืนยันให้ไปพบในวันที่ 30 พ.ย. ต่อพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และเจ้าอาวาสวัดมูลจินดาราม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางไปวัดมูลจินดารามของพระธัมมชโย และพระทัตตชีโว ครั้งนี้ เพื่อต้องการยื่นหนังสือชี้แจงเรื่องการยืนยันให้ไปพบ เพื่อรับฟังคำกล่าวหาของ พระสุเมธาภรณ์ เพื่อดำเนินการลงนิคหกรรม แต่ปรากฏว่า เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ได้เดินทางออกไปปฏิบัติศาสนกิจนอกวัด เพื่อไปรับบาตรที่พระตำหนักจักรีบงกช เจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย จึงได้มอบหนังสือดังกล่าว ฝากไว้ให้กับพระมหาประพันธ์ พระเลขาเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีแทน

นายวีระศักดิ์ ฮาดดา เลขามูลนิธิธรรมกาย แถลงว่า เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาส เดินทางมาเพื่อชี้แจงถึงเหตุที่ไม่สามารถเดินทางมารับฟังข้อกล่าวหาของนายสมพร เทพสิทธา และนายมาณพ พลไพรินทร์ ได้ เนื่องจากคดีดังกล่าว ได้ถึงที่สุดแล้ว หากพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว ต้องมารับฟังข้อกล่าวอีก จะเป็นเรื่องที่ขัดต่อพระธรรมวินัย และกฎมหาเถร สมาคม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางวัดพระธรรมกายกลัวอะไร จึงไม่กล้ามารับฟังข้อกล่าวหา นายวีระศักดิ์ ฮาดดา ชี้แจงว่า วัดไม่ได้กลัว ถ้ากลัวคงไม่ไปมอบตัวที่ศาลอาญา พร้อมกับอ้างถึง กฎมหาเถรสมาคมข้อ ที่ 11 ที่ว่าคฤหัสถ์เป็นได้แค่เพียงผู้กล่าวหา จะเป็นโจทก์ฟ้องพระไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่ผู้ที่เสียหายโดยตรง ทั้งนี้ยืนยันได้ว่า สิ่งที่ทางวัดกระทำลงไป เพื่อ ปกป้อง พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่เรื่องของการตีความ

สำหรับหนังสือชี้แจงที่มีต่อพระสุเมธาภรณ์นั้น ลงนามโดยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มีสาระสำคัญดังนี้ ตามที่ท่านเจ้าคุณในฐานะผู้พิจารณาเรื่องนิคหกรรม เพื่อรับทราบ ข้อกล่าวหาและแก้ข้อกล่าวหา ในวันที่ 30 พ.ย. 42 เวลา 13.30 น. ณ วัดมูลจินดาราม ตามความที่ทราบแล้วนั้น

กระผมขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่า ไม่อาจไปพบท่านเจ้าคุณในเรื่องนิคหกรรมดังกล่าวได้ ดังมีเหตุผลต่อไปนี้

1. ขณะนี้ ท่านเจ้าคุณไม่ได้อยู่ในฐานะผู้พิจารณา และกระผมไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาอีกแล้ว เพราะว่าเรื่องนิคหกรรมได้ถึงที่สุดไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 ส.ค. 42 เนื่องจาก ท่านเจ้าคุณได้มีคำสั่ง ไม่รับคำกล่าวหา โดยความเห็นชอบของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งคำสั่งดังกล่าว ได้เป็นอันถึงที่สุด ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ข้อ 15 วรรคสอง(2) แล้ว จึงไม่มีเรื่องนิคหกรรมใดๆ ค้างอยู่ในการพิจารณา ดังนั้น ท่านเจ้าคุณไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับดังกล่าว กระผมจึงไม่ต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด

2. การกระทำทั้งหมดภายหลังวันที่ 13 ส.ค. 42 ซึ่งเป็นวันที่มีการตัดสินวินิจฉัยถึงที่สุดแล้ว จึงเป็นการกระทำนอกกฎมหาเถรสมาคมทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีผลเปลี่ยนแปลง คำวินิจฉัย ที่จบสิ้นไปแล้ว

3. ตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 37/2542 เมื่อวันที่ 19 ต.ค.42 มิได้ระบุว่า ให้ท่านเจ้าคุณดำเนินการเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบ และดำเนินกระบวนพิจารณานิคหกรรมใหม่ แต่อย่างใด โดยระบุว่า "การดำเนินการที่ผ่านมายังไม่สอดคล้องตามขั้นตอนของกฎนิคหกรรม จึงให้ผู้พิจารณาเบื้องต้นดำเนินการเสียใหม่ ให้ถูกต้องตามกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการลงนิคหกรรม และให้สอดคล้องกับมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 28/2542 วันที่ 16 สิงหาคม 2542 โดยให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายดำเนินการให้เป็นไปตามมตินี้" ซึ่งไม่มีข้อความ ใดกล่าวว่า ให้ผู้พิจารณาดำเนินการเรียกผู้กล่าวหามาพบใหม่

และการให้ผู้พิจารณาดำเนินการเสียใหม่นั้น ก็ต้องพิจารณาว่า ขั้นตอนใดที่ไม่สอดคล้องตามกฎนิคหกรรมเสียก่อน จึงจะดำเนินการใหม่ได้ เมื่อท่านเจ้าคุณ กระทำโดยไม่รู้สาเหตุ แห่ง ความไม่สอดคล้อง และคิดเอาเองว่า จะต้องเรียกมาพบใหม่ และดำเนินการพิจารณานิคหกรรมไปทันที กระผมจึงเห็นว่า เป็นการตีความที่ผิดจาก เจตนารมณ์ของมติ มหาเถรสมาคมอย่างมากมาย

อีกทั้งยัง เป็นการรื้อฟื้นอธิกรณ์ขึ้นใหม่ ผิดทั้งกฎหมายและมโนธรรมประจำใจ ถ้ากระผมยอมกระทำตาม ก็จะเป็นการปฏิบัติขัดต่อกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการลงนิคหกรรม

4. การที่ท่านเจ้าคุณอ้างถึงหนังสือท่านเจ้าคณะภาค 1 ว่า ขอให้จังหวัดในฐานะผู้พิจารณา ดำเนินการตามแต่จะเห็นควรนั้น กระผมมีความเห็นว่า พระเดชพระคุณ ท่านเจ้า คณะภาค 1 ได้กำชับท่านเจ้าคุณในฐานะผู้พิจารณา ต้องพิจารณาให้แน่ชัดว่า มติมหาเถรสมาคม มีความหมายอย่างไร

การดำเนินการที่ผ่านมา ไม่สอดคล้องตามขั้นตอน ของกฎนิคหกรรมอย่างไร แล้วปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม มิใช่การสั่งให้ท่าน เจ้าคุณ มีหนังสือเรียกให้กระผมมาพบ ซึ่งเป็นการรื้อฟื้นอธิกรณ์ขึ้นมาใหม่ อันเป็นการผิดพระธรรมวินัยอีกด้วย

กระผมเป็นเจ้าอาวาสธรรมดา แต่ต้องอบรมสั่งสอนให้บรรดาพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ในความปกครอง ตลอดทั้งสาธุชนทั้งหลาย ให้มีความเคารพในพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม และกฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด

ดังนั้น กระผม จึงมีความละอายและหดหู่ใจอย่างยิ่ง หากจะฝ่าฝืนหรือปฏิบัติผิดไปจากกฎมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัย และกฎหมายบ้านเมือง อย่างชัดแจ้ง และจากเหตุผล ดังกล่าวข้างต้น กระผมจึงจำเป็นต้องขอกาบเรียนว่า ไม่อาจไปพบท่านเจ้าคุณในฐานะผู้พิจารณาเรื่องนิคหกรรมดังกล่าวได้ แต่หากท่านเจ้าคุณ ในฐานะพระสังฆาธิการ ผู้ ปกครอง จะมีคำสั่งให้กระผมไปพบ ด้วยกิจของการคณะสงฆ์อื่นแล้ว กระผมก็มีความยินดีไปพบตามคำสั่งด้วยความเคารพ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แม้ว่าเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสจะไม่ได้พบกับเจ้าคณะจังหวัด แต่ในช่วงสายของวันเดียวกัน ได้มอบหมายให้พระปลัดสุธรรม วัดพระธรรมกาย เดินทางเข้าพบพระสุเมธาภรณ์ เพื่อชี้แจงด้วยวาจาอีกครั้ง และได้ชี้แจงกับพระสุเมธาภรณ์ ซึ่งพระสุเมธาภรณ์ระบุว่า จะนำเรื่องทั้งหมด หารือกับพระผู้ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับความคืบหน้าประเด็น พ.อ.บรรจง ไชยลังกา ในฐานะประธานชมรมพุทธ 3 เหล่าทัพ ทำหนังสือถึงสำนักงานตำรวจสันติบาล และนายวิษณุ เครืองาม เลขาฯ ครม. เพื่อ ยืนยันถึงข้อมูลในหนังสือเปิดโปงขบวนการล้มพุทธ ของดร.เบญจ์ บาระกุล ชี้ชัดว่าพระธรรมปิฎกได้จัดทำพระไตรปิฎก ฉบับ CD-ROM บิดเบือนจากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ไว้หลายแห่ง และยืนยันว่า ดร.เบญจ์ บาระกุล ไม่ได้เป็นบุคคลที่ก่อความไม่มั่นคงให้กับชาติ ตามที่มีการกล่าวหากันแต่อย่างใด ทั้งนี้ พ.อ.บรรจง ยืนยันว่า จะเผยแพร่ข้อมูล ในหนังสือของ ดร.เบญจ์ เพื่อให้ชาวพุทธเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป


[หน้าหลัก][หน้า1]