ปีที่ 2 ฉบับที่ 889 ประจำวันอาทิตย์ที่ 19 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 |
เรื่องนิคหกรรมที่จบลงไปตั้งนานแล้ว
เพราะความกรุณาของมส.แท้ๆ จึงทำให้มารได้ช่อง ยื้อเรื่องนิคหกรรมที่จบไปแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เหมือนคนตายไปแล้ว
ไม่มีใครสามารถชุบชีวิต
ให้ฟื้นคืนชีพขึ้น มาได้ เหมือนใบไม้เหลืองที่หลุดจากขั้วลงไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดในโลกจะเกิดขึ้นมาใหม่ได้
ผมขอย้ำอีกครั้งว่า เรื่องนิคหกรรมธรรมกายนั้น มันจบไปตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2542 ที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี มีคำสั่งไม่รับคำกล่าวหาของนายมาณพ พลไพรินทร์ นายสมพร เทพสิทธา ซึ่งนับว่า ถึงที่สุดไปแล้ว อุทธรณ์ฎีกาก็ได้ จบสนิทแล้วจริงๆ ไม่น่าเสียเวลาพิจารณานอกลู่นอกทางกันอยู่ทำไม เมหือนไม่เคารพกฎ มส.
ไม่เคารพพระธรรม วินัย และไม่เคารพกฎหมาย
เมื่อ 19 ตุลาคม 2542 มส.ท่านได้ให้เกียรติ กับคนชื่อ นายมีชัย ฤชุพันธ์ ในฐานะประธานวุฒิสภา คิดว่า จะรอบรู้เชี่ยวชาญ ให้คำปรึกษาที่ดีต่อมส.ได้ แต่นายมีชัย
ก็ออกตัว ยอมรับว่า ตนไม่รู้เรื่องนิคหกรรม เพิ่งอ่านมาพอผ่านๆ เมื่อตอนเช้าก่อนจะมาประชุมในตอนบ่าย แต่จะไม่เสนอแนะอะไรเลย ก็เกรงจะเสียหน้า
เลยให้คำแนะนำปรึกษา ที่ผิด
พลาดคลาดเคลื่อน อย่างน่าเสียดายเกียรติภูมิของประธานวุฒิสภา จนทำให้เรื่องนิคหกรรมที่จบไปแล้ว ต้องยึดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้
เพราะนายมีชัย มีความเห็นว่า การดำเนินการที่ผ่านมา ยังไม่สอดคล้องตามขั้นตอนของกฎนิคหกรรม ทั้งๆ ที่ตนไม่ได้ติดตามหรือศึกษาโดยละเอียด
ขั้นตอนที่นายมีชัย ว่า ไม่สอดคล้องนั้น หวังว่า คงจำกันได้นะครับ คือนายมีชัย เห็นว่า การที่เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหา
และมี
หนังสือทัดทานไปยังเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2542 นั้น เป็นการข้ามขั้นตอน เพราะยังไม่ได้ไปรับทราบข้อกล่าวหา จะรู้ได้อย่างไรว่า ใครกล่าวหาใคร ว่าอย่างไร และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เรียกให้ไปหาด้วยเรื่องอันใด โดยนายมีชัยทราบว่า ก่อนยื่นหนังสือทัดทานไปนั้น เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้รับหนังสือลงวันที่ 29 ก.ค.2542
เมื่อ 17 ธ.ค.2542 มส.มีมติให้ อธิบดีกรมการศาสนา ประสานงานกับนายมีชัย ฤชุพันธ์ นายจรวย หนูคง นายประนัย วณิชชานนท์ เพื่อให้รับรองข้อความที่ระบุว่า
ไม่สอดคล้อง ตรงไหนให้ชัดเจน แล้วนำถวายเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ผมขอให้ประชาชนทั้งหลาย จับตาดูอธิบดีกรมการศาสนา และทั้งสามดูให้ดีว่า จะบิดเบี้ยวหรือทำเป็นลืมหรือไม่ว่า จุดที่นายมีชัยว่า ไม่สอดคล้องนั้น คือ จุดไหน ความจริงนายมีชัย ติงตรงจุดที่เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาส ยื่นหนังสือทันทานเร็วไป ดังที่ผมได้อธิบายมาแล้ว แต่เราจะดูต่อไปว่า อธิบดีผู้ที่ตกเป็นจำเลย เรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จะบิดเบี้ยวเอาตัวรอดอย่างไร และนายมีชัย นายจรวย และนายประนัย จะบิดเบี้ยวไปด้วยหรือไม่ ถ้าไม่บิดเบี้ยวก็ต้องรับรองตรงกันว่า ไม่สอดคล้องตรงที่เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ยื่นหนังสือทัดทาน ฉบับลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2542 ก่อนที่จะมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 6 สิงหาคม 2542 เป็นการข้ามขั้นตอน อย่าบิดเบี้ยวหรือบิดเบือน เป็นอื่นไปเสียล่ะ
มติมส. ยังบอกต่ออีกว่า ให้นำเสนอเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ ถ้าจะว่ากันจริงๆ เรื่องนิคหกรรมนี้ ยังไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะใหญ่เลย
เพราะ กฎมส. ระบุไว้ชัดเจนให้เจ้าคณะใหญ่เป็นหัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ เมื่อเรื่องนี้ไม่ได้มีการอุทธรณ์ฎีกา จึงยังไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะใหญ่
เจ้าคณะใหญ่ ดำเนินการ
อะไรเกี่ยวกับนิคหกรรม เป็นการดำเนินการนอกอำนาจหน้าที่ มติมส.ให้พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ มิใช่ให้พิจารณานอกอำนาจหน้าที่
ก็ต้องคอยดูกันต่อไปนะครับว่า ใครจะยอมรับ เคารพกฎมส.กันแค่ไหน ใครจะมีสัจจะ หรือไร้สัจจะกันอย่างไร ใครจะหน้ามืดตามัว หลงยศ หลงอำนาจ
หรือใครจะตาสว่าง
เห็นสัจธรรมว่า ลาภสักการะ ยศถาบรรดาศักดิ์นั้น มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา นะครับท่าน !
นิติธรรม