ปีที่ 2 ฉบับที่ 893 ประจำวันเสาร์ที่ 25 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 |
พระพุทธศาสนาในเวียดนาม
ฤาประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย (ตอนที่ 1)
ความสำคัญของพระพุทะศาสนานั้น มีความสำคัญต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง
เพื่อให้พุทธบริษัทและประชาชนไทย
พึงระวังต้องขอเรียนต่อ ท่าน
ผู้อ่าน ไว้ล่วงหน้าว่า นี่ไม่ใช่เป็นการสร้างกระแส ให้เกิดความเกลียดชังศาสนาอื่น แต่นี้คือประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง
ที่ไม่อาจล้มล้างหรือบิดเบือน
สามารถอ้างอิงเทียบเคียง ได้
ทุกชาติ
เนื่องจากพฤติกรรมลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพุทธศาสนา มหาเถรสมาคม
พระเถรานุเถระ และองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย
ในขณะนี้ (พ.ศ 2541-2542) มีลักษณะ
คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในประเทศเวียดนาม
เพื่อนบ้านของเราในอดีตเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งครั้งหนึ่งประเทศเวียตนาม
เป็นประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มี
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เมื่อพระพุทธศาสนา
ถูกถอดออกจากการเป็นศาสนาประจำชาติ
อักษรภาษาเขียนของเวียตนามก็สูญหายไป
สถาบันกษัตริย์ ถูกโค่นล้ม
ประเทศที่สวยงามสงบ
กลายเป็นสนามรบ
บ้านแตกสาแหรกขาด
กระสานซ่านเซ็น ประชาชนในชาติต้องฆ่าฟันกันเอง
ล้มตายเป็นล้านๆ คน เพื่อผลประโยชน์ของใครกันแน่
ลองมาพิจารณาดูเป็นบทเรียนว่า แท้จริงแล้วมีสาเหตุและความเป็นมาอย่างไร ?
สงครามศาสนาครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทางประวัติศาสตร์เรียกชนเวียตนามนี้ว่า "ญวน" มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
และพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
ปรากฏพระพุทธรูปและโบราณ
พุทธศาสน สถาน
อายุนับพันปีเป็นหลักฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์ของเวียตนามกับประเทศไทย
ที่เด่นชัดที่สุด
จะอยู่ในช่วงยุคกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี คือเมื่อประมาณ 200 กว่าปีนี้เอง
ประเทศเวียตนามเกิดการกบฏ
กษัตริย์ของเวียตนามชื่อ "องเชียงสือ"
ได้ลี้ภัยเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
ซึ่งสมเด็จพระพุทะยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
ได้ทรงพระราชทานกองทัพไทย
พร้อมกับอาวุธ
ให้กลับไปกู้ชาติเวียตนาม
และปราบกบฏไกเซิน จาการรบอันเข้มแข็ง
และการบัญชาการของกองทัพทหารไทย
ทำให้กลุ่มกบฏไกเซินพ่ายแพ้แตกหนี
กระจัด กระจาย
ไปอยู่ภาคใต้ของประเทศ
องเชียงสือจึงประกาศพระองค์เป็นจักรพรรดิกษัตริย์เวียตนาม
ได้สำเร็จอีกครั้งหนึ่งทรงพระนามว่า "จักรพรรดิยาลอง" อันเป็นต้นราชวงศ์ยาลอง
ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ "เมืองฮานอย" ซึ่งอยู่ตอนเหนือของประเทศ
ในประเทศเวียตนามขณะนั้น
ได้มีคณะมัชชันนารีโรมันคาทอลิคชาวฝรั่งเศสจำนวนหนึ่ง
ไปเผยแพร่ศาสนาและทำการค้าอาศัยอยู่แถบชายฝั่ง
เพื่อการสะดวก
สำหรับค้าขายกับ จีน
พร้อมกันนั้นก็ทำการค้ากับทางภาคใต้ของเวียตนาม
คือเมืองเว้อันเป็นที่พักสินค้าซึ่งส่งมาจากฝรั่งเศสด้วย ในช่วงกลางสมัยของจักรพรรดิยาลอง
กลุ่มกบฏไกเซิน ที่ถูก ปราบ
ปรามและหนีลงสู่ภาคใต้นั้น ได้ยุยงเชื้อสายกษัตริย์ราชวงศ์
เกวี๋ยน ซึ่งอยู่ในเมืองเว้ให้ก่อการกบฏ จักรพรรดิยาลองจึงส่งกองทัพจากกรุงฮานอย
ซึ่งอยู่ด้านเหนือลงมาปราบปราม
แต่เนื่องจากว่า หนทางจากฮานอยลงสู่ภาคใต้นั้นทุรกันดาร ต้องข้ามเขารกชัฏ และป่าดงดิบทหารส่วนใหญ่ก็เป็นไข้ป่าตายเสียมาก คณะมิชชันนารีโรมันคาทอลิคฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในกรุงฮานอย จึงยื่นข้อเสนอว่า จะรับปราบกบฏให้ แต่จักรพรรดิยาลองจะต้องอนุญาตให้พวกมิชชันนารีฝรั่งเศส ประกาศศาสนาคริสต์โรมัน คาทอลิค ได้ ทั่วประเทศ เวียตนาม และมีสิทธิพิเศษที่จะสามารถลงโทษประหารชีวิตได้ ซึ่งจักรพรรดิยาลองก็ทรงอนุญาต
มิชชันนารีฝรั่งเศสจึงทำหนังสือไปยังรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อขอกองทัพและอาวุทธมาทำการปราบปรามกบฏในเมืองเว้
ซึ่งแน่นอนที่สุดเพราะฝรั่งเศสขณะนั้น
จัดว่าเป็นประเทศ
มหาอำนาจ
และมีอาวุธที่ทันสมัย ในชั่วเวลาไม่ถึง 3 เดือนกบฏไกเซินในเมืองเว้ก็ราบคาบ
(สมเด็จพระสังฆราชเวียตนามก็ประทับอยู่ที่เมืองเว้
ดังนั้น
เมืองเว้จึงเป็นศูนย์กลางของ
พระพุทธศาสนาในภาคใต้ของประเทศเวียตนามยุคนั้นด้วย)
นี่คือจุดเริ่มต้นของการเผยแพร่ตคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิคในประเทศเวียตนามอย่างเป็นรูปธรรม
ในเมืองเว้และภาคใต้ของเวียตนาม สำกรับกองทัพฝรั่งเศสที่มาช่วยทำการปราบกบฏนั้น
ก็คงอาศัยพำนักอยู่ในเวียตนามอย่างถาวร และส่วนหนึ่งก็เข้ารับราชการในกองทัพ
ของ เวียตนามด้วย ทางฝ่ายมิชชันนารีได้รณรงค์เผยแพร่ศาสนาอย่างรวดเร็ว ส่วนกองทัพฝรั่งเศสที่อยู่ในส่วนราชการของเวียตนาม
ก็ขยายเครือข่ายอิทธิพลครอบคลุมกองทัพเวียตนาม
ได้ส่วนหนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าโดยธรรมชาติของการเผยแพร่ศาสนาของมิชชันนารีโรมันคาทอลิคนั้น
เบื้องหลังก็คือการยึดครองประเทศ
ที่ตนเองเข้าไปอาศัยอยู่นั้น
เป็นเมืองขึ้น (ซึ่งได้เคยแสดงบทบาทนี้ในประเทศสยามมาหลายครั้ง) ทั้งนี้ก็มิได้พ้นสายตาของจักรพรรดิยาลองและเเหล่าทหารเวียตนามผู้รักชาติแต่อย่างใด
เมื่อสิ้น จักรพรรดิยาลอง กษัตริย์พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์
พวกมิชชันนารีโรมันคาทอลิคฝรั่งเศสได้ก่อการกบฏขึ้น
โดยมีชาวเวียตนามที่เข้ารีต
เป็นคริสเตียนให้ความร่วมมือ
พร้อมทั้งทหารฝรั่งเศสที่รับราชการอยู่ในกองทัพเวียตนาม ทำการพร้อมกันทั้งในกรุงฮานอย ซึ่งอยู่ทางเหนือและเมืองเว้ภาคใต้
ทั้งนี้เพราะเชื่อจากประสบการณ์เดิมว่า
กองทัพ เวียตนาม
คงไม่สามารถปราบปรามได้เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน
ทหารที่นับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิค
ได้ทำการเผาวัดแลชะฆ่าพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากมาย
ยังความเจ็บแค้นให้กับพุทธบริษัทชาวเวียตนาม
เป็นอย่างยิ่ง
จึงทำการต่อต้านอย่างสุดชีวิตทั่วประเทศทั้งเหนือใต้ ตั้งเป็นกองทัพชาวพุทธขึ้น
โดยไม่รอกองทัพเวียตนามมาช่วย
เนื่องจากกษัตริย์เวียตนามพระองค์นี้ฉลาด
รู้เล่ห์กลของ
พวกสอนศาสนาโรมันคาทอลิค
ประกอบกับทหารเวียตนามที่นับถือพุทธ
ได้เตรียมพร้อมรับเหตุการณ์นี้อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
จึงสามารถปราบปรามได้
ในเวลาไม่นาน
กองทัพฝรั่งเศสและพวกมิชชันนารีรวมทั้งพวกเวียตนามที่เข้ารีพโรมันคอทอลิคพ่ายแพ้หลบหนีกระจัดกระจายหนีตาย
เข้าสู่ประเทศไทยพร้อมบาทหลวงซังซาเวีย
และด้วย พระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ก็ทรงพระราชทานที่ดินให้เป็นที่อาศัยของคนเหล่านี้ (กลายเป็นหมู่บ้านญวนสามเสน)
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวียตนามครั้งนี้ จัดเป็นสงครามศาสนาครั้งแรกที่เกิดขึ้นในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ด้วยความสามัคคีของพุทธบริษัทเวียตนาม
ทำให้เหล่านักล่าเมืองขึ้นโรมันคาทอลิคเข็ดขยาด
สถาบัน พระพุทธศาสนา
และสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศเวียตนาม
พร้อมด้วยประชาชนจึงอยู่เป็นสุขสืบมา
กฎหมายใหม่ไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
ความต้องการยึดครองดินแดนและประกาศศาสนา เพื่อให้ประเทศเวียตนามเป็นดินแดนคริสเตียนโรมันคาทอลิค
มิได้จางหายไป
เพียงแต่รอเวลาเพื่อล้างแค้นในช่วงเวลา
ที่เหมาะสมว่า
จะมาถึงเมื่อไรเท่านั้น และไม่นานเกินรอ เพียง 30 กว่าปี
หลังจากนั้น
กองทัพฝรั่งเศสนำด้วยบาทหลวงโรมันคาทอลิคก็สามารถยึดประเทศ
เวียตนามได้ทั้งหมด โดยความร่วมมือของชาวเวียตนามที่เข้ารีตนับถือคริสต์เตียนโรมันคาทอลิค
ได้บังคับให้จักรพรรดิออกพระราชกฤษฎีกาเรียกว่า
"พระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 10"
ให้ยกศาสนาคริสต์
โรมันคาทอลิค เป็นศาสนาประจำชาติ
และให้พุทธศาสนาเป็นสิ่งต้องห้าม
เป็นศาสนาของชนกลุ่มน้อย หรือพวกกรรมกรชนชั้นต่ำ พร้อมกับกำหนดให้พระพุทธศาสนาทั้งศาสนา
มีสภาพเป็นเพียงสมาคมเอกชนตามธรรมดา
ซึ่งหากสมาคมเหล่านี้จะจัดกิจกรรมใดๆ เช่นทอดกฐิน จัดเทศน์ ทำบุญออกพรรษา
ต้องขออนุญาต จะจัดงานบุญถือศีล
หรือนั่ง กรรมฐานวิปัสสนา
ถือว่ามีความผิดฐานร่วมกันชุมนุมต่อต้านรัฐบาล
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้จึงทำให้วัดวาอารม พุทธสถานถูกรื้อและเผาทิ้งทำลายเสียมากต่อมาก
ฝรั่งเศสเอาไฟสุมพระพุทธรูป
เพื่อเอาทองคำไปทำเป็นแท่งส่งไปให้บาทหลวงบ้าง
เป็น สมบัติของตนเองบ้าง ถูกลอบฆ่าบ้าง ถูกจับสึกให้ไปเป็นกรรมกรท่าเรือบ้าง
วัดพุทธศาสนาในภาคใต้ที่เป็นวัดใหญ่
ก็ถูกดัดแปลงเป็น โบสถ์คริสต์ศาสนา
โรมันคาทอลิค พร้อมกัน นั้น
ได้ออกกฎหมายบังคับ ห้ามประชาชาชนหรือบริษัทจ้างพุทธศาสนิกชนเป็นลูกจ้างที่มีค่าจ้างเด็ดขาด
ยกเว้นจะจ่ายเป็นอาหารสองมื้อเท่านั้น
แต่ส่วนในภาคเหนือนั้น
ใกล้หูใกล้ตาพระมหากษัตริย์
ที่ยังมีผู้จงรักภักดีอยู่ ก็คงยังผ่อนผันบ้างแต่ก็มีการลอบฆ่าผู้นำทางพุทธศาสนาอยู่อย่างต่อเนื่อง
การค้าขายทั้งสิ้นห้าม
ชาวพุทธทำกิจการอย่างเด็ดขาด และห้ามบาทหลวงรับคนจนเข้ารีตเป็น คริสเตียนด้วยประการทั้งปวง จึงทำให้ผู้ที่ต้องการมีตำแหน่งทางการเมืองหรือต้องการ
รับราชการ ทุกหน่วยของเวียตนามในยุคนั้น
ต้องหันมานับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิค ซึ่งเป็นบุคคลระดับสูงกว่าพระมหากษัตริย์ของเวียตนามที่เป็นพุทธมามกะ นี่คือการล้างแค้น
อันแสน หฤโหดที่เกิดขึ้น
ทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศเวียตนามเริ่มเสื่อมโทรมลง
ด้วยการเข้ายึดครองของโรมันคาทอลิค โดยอาศัยกองทัพฝรั่งเศสเข้าเข่นฆ่าชาวพุทะอย่างกระหายเลือดนี้เอง ทำให้ชาวพุทธในประเทศเวียตนามผู้รักชาติ
รวมตัวกันกอบกู้เอกราช
ให้กลับคืนมาสู่ประเทศเวียตนาม โดยจัดตั้งเป็นกองกำลังมีนายพลทหารที่เป็นพุทธศาสนิกชนเป็นหัวหน้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ด้วยกันคือ
1.กลุ่มก๋าวด่าย 2.กลุ่มหว่าห่าว
ทั้งสอง กลุ่มนี้
ร่วมกันทำการรบโดยใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบตลอดมา
แม้จะสูญเสียชีวิตไปมากมายก็มิได้ย่อท้อแต่อย่างใดเพียงเพื่อให้ชาติ ศาสนา
และพระมหากษัตริย์
ได้กลับมาเป็นเอกราช
เช่นเดิม
การรบนั้นมีอย่างต่อเนื่องเกือบร้อยปี จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นเข้ายึดครองเอเชีย ประเทศฝรั่งเศสเสียเอกราช แก่เยอรมันทำให้ต้องปล่อย ให้เวียตนาม เป็น เอกราชในปี พ.ศ 2485
แต่ก็เป็นอิสระภาพชั่วคราวเพียง 3 ปีเท่านั้น เพราะในต้นเดือนพฤศจิกายน
พ.ศ. 2488 ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามและถูกปลดอาวุธ
บาทหลวงโรมัน คาทอลิคชาวฝรั่งเศส
ที่อยู่ในเมืองเว้รู้เรื่อง
จึงรีบส่งข่าวแจ้งไปยังรัฐบาลกรุงปารีส ให้รีบส่งกองทัพที่เข้ายึดครองประเทศเวียตนามเป็นการด่วน
ทางประเทศฝรั่งเศส
จึงส่งกองทัพ นำโดยนายพลแคล์
ผู้เคร่งในศาสาคริสต์โรมันคาทอลิค นำทหาร 2
กองพล เข้ายึดครองประเทศเวียตนามในทันที
และเริ่มปราบปรามพุทธศาสนิกชนเป็นงานหลักเช่นเดิม
ทำให้ชาวเวียตนาม รวม ตัวกัน
ต่อต้านกองทัพฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์เวียตนาม
และประวัติศาสตร์โลกเลยทีเดียว
นับตั้งแต่ฝรั่งเศสเข้าปกครองประเทศเวียตนามตั้งแต่ พ.ศ. 2489 ถึงปี พ.ศ. 2494 นั้น
ได้จัดระบบศาสนาใหม่บังคับให้รัฐบาลเวียตนามออกกฏหมายใหม่โดย
ไม่มีพระพุทธ ศาสนา
เป็นศาสนาประจำชาติ (เหมือนประเทศไทย
ที่ไม่ยอมบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ลงในรัฐธรรมนูญ)
ผู้ที่ต้องการรับราชการ
ต้องเป็นคริสเตียน โรมัน
คาทอลิคเท่านั้น ไม่ยอมรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเข้าทำงานในทุกตำแหน่งทางราชการ
และจัดให้ประชาชนที่นับถือพุทธเป็นชนชั้นต่ำของประเทศตลอดมา
รวมทั้งเปลี่ยน กฎหมาย การศึกษาของประเทศเวียตนามใหม่ โดยให้ยกเลิกการสอนการใช้ภาษาเขียนของประเทศเวียตนาม (ทำให้ปัจจุบันประเทศเวียตนาม ต้องใช้ภาษา ฝรั่งเศส เป็นอักษรในการเขียน แต่ออกสำเนียงเป็นภาษาเวียตนาม ภาษาประจำชาติ เวียตนามจึงสูญหายไปจากโลก) ฃาวเวียตนามที่นับถือ พระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่อยู่ทาง ด้าน ตอนเหนือของประเทศ ซึ่งติดอยู่กับจีน ก็คงตั้งกองกำลังกู้ชาติให้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอีกพวกหนึ่ง
ดังได้กล่าวไปแต่ต้นนั้นแล้วว่า แต่เดิมมาจักรพรรดิหรือสถาบันกษัตริย์ และบุคคลชั้นสูงรวมทั้งข้าราชการ ประชาชนส่วนใหญ่ของเวียตนาม ล้วนนับถือ พระพุทธศาสนา อันเป็น ศาสนาประจำชาติ ครั้นเมื่อเวียตนามได้สูญเสียเอกราช ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสเกือบร้อยปีนั้น ทำให้การขยายตัวของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค แพร่กระจายมากขึ้น ทั้งโดย การเผยแพร่และการจำกัดผู้นำพุทธ รวมถึงการกีดกันทางสังคม ทำให้วัดในพุทธศาสนาค่อยๆ หายไป
ทั้งนี้เพราะว่าการที่ฝรั่งเศสได้ออก กฎหมายว่าการจ้างผู้ใดเข้าทำงาน หรือ เป็นลูกจ้าง ต้องเอาแต่ผู้รีตเป็นคริสเตียนเท่านั้น โรงเรียนดีๆ ที่มีฝรั่งเศสสอนหนังสือ ก็เป็น โรงเรียน คาทอลิค และเลือกสอนเฉพาะลูกคนรวยหรือลูกข้าราชการที่เป็นคาทอลิค ลูกชาวพุทธไม่มีสิทธ์ที่จะได้เข้าเรียน ดังนั้นผู้ที่ต้องการก้าวหน้า หรือเป็นข้าราชการ ก็ต้องนับถือ คริสเตียนและเรียนในโรงเรียนคาทอลิค จึงทำให้ประเทศเวียตนามมีแต่ชาวคาทอลิคมากมายด้วยเหตุนี้
การต่อต้านเพื่อกอบกู้เอกราชเวียตนามจากการปกครองของฝรั่งเศส เกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะทางด้านเหนือของประเทศซึ่งมีพุทธบริษัท ชาวเวียตนามอาศัยอยู่เป็น จำนวนมาก ประกอบกับพื้นที่ทางภาคเหนือ ล้วนแล้วแต่เป็นภูเขาและป่าดงดิบ ยากในการป้องกันและการทำการรบ ซึ่งกองทัพฝรั่งเศสเสียเปรียบ กองกำลังกู้อิสรภาพ เวียตนาม ตลอดมา
ทำให้กองทัพฝรั่งเศส จำต้องอพยพชาวเวียตนามที่เป็นคริสเตียนลงมาทางใต้ พร้อมกับนำเอากษัตริย์เวียตนามคือ "จักรพรรดิเบ๋าได๋" และพระราชวงศ์ทั้งหมด มายังภาคใต้ เพื่อ เป็นตัวประกัน โดยอ้างว่า เพื่อถวายความปลอดภัย คงเหลือกองทัพไว้บางส่วนในพื้นที่ราบซึ่งเรียกว่า "เดียนเบียนฟู" อันเป็นแหล่งเกษตรกรรม ซึ่งปลูกข้าวที่สำคัญ และทำรายได้ มหาศาล ให้กับฝรั่งเศสอย่างมาก จึงยังคงกองทัพไว้ป้องกันผลประโยชน์ในส่วนนี้ของตน และเพื่อง่ายในการปราบปรามกองกำลังกู้ชาติ ฝรั่งเศสจึงประกาศแบ่งประเทศเวียตนาม เป็น 2 เขตคือเขตเหนือและเขตใต้ เพื่อความสะดวกทางยุทธศาสตร์การรบ
ท่านผู้อ่านควรทราบว่า ประเทศเวียตนามนั้นแต่เดิมไม่มีเวียตนามเหนือ เวียตนามใต้ แผ่นดินเป็นประเทศผืนเดียวกัน ประชาชนเวียตนามทั้งสิ้น ล้วนนับถือพระพุทะศาสนา เป็น ศาสนาประจำชาติ ต่อเมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง ได้ยกเลิกไม่ให้มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ และให้ข้าราชการ รวมทั้งประชาชนชาวเวียตนามทุกคน จะทำงานได้ จะต้อง ถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค หากไม่ถือศาสนาคริสต์ต้องเป็นชาวนาหรือกรรมกรแบกหาม โดยถือเป็นประชากรชั้นต่ำสุดของประเทศเวียตนาม ตามกฎหมาย
พระสงฆ์ ในพุทธศาสนาเวียตนามถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ต้องถูกลงโทษหนักเหมือนโจร ถือว่าเป็นศัตรูสังคม เพราะสั่งสอนคนให้เป็นศัตรูของพระเจ้า
และนี่คือที่มาของการปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธอย่างขนานใหญ่ ทำให้ฝรั่งเศสแบ่งประเทศออกเป็นเวียตนามเหนือและเวียตนามใต้ ด้วยสาเหตุหลัก ก็เพื่อปราบปราม ชาว เวียตนามที่นับถือพุทธศาสนาให้สิ้นเสร็จเด็ดขาดนั่นเอง (นี่เป็นสาเหตุให้ประเทศเวียตนามแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ โดยเหตุผลทางยุทธศาสตร์และทางศาสนา แต่สำหรับ ประชาชน ชาวเวียตนามเองนั้น ก็ยังคงไปมาหาสู่กันตามปกติเหมือนเข่นเป็นประเทศเดียวกันอย่างเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง)
จักรพรรดิเบ๋าได๋ ศูนย์รวมใจชาวพุทธกู้ชาติ
จักรพรรดิเบ๋าได่ กษัตริย์ของชาวเวียตนามทรงเป็นพุทธมามกะ ได้ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศยกเลิกการกีดกันชาวพุทธ และปฏิบัติพุทธศาสนพิธี ตามโบราณประเพณีของ ประเทศเวียตนาม ดังนั้นพระพุทะศาสนาและคณะสงฆ์จึงได้รับการยอมรับและปกป้องจากทางราชการ ทำให้ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาต่าง เข้ามารับตำแหน่งหน้าที่ราชการ ทั้ง ทางทหาร และการบริหารซึ่งผู้นับถือพุทธศาสนาเหล่านี้ ล้วนเป็นผู้รักชาติ และเป็นฐานมวลชน ส่วนใหญ่ของประเทศทั้งหมด เมื่อเทียบกับจำนวนของโรมันคาทอลิค ทั้ง ประเทศ เวียตนาม ซึ่งในขณะนั้นมีเพียง หนึ่งแสนสี่หมื่นคน และส่วนใหญ่เป็นข้าราชการสมัยใหม่ที่นิยมวัฒนธรรมตะวันตก คิดว่าเป็นพวกเจริญแล้ว ดูถูกภาษาและคนชาติเดียวกัน ไม่คำนึง ถึงประโยชน์ของประเทศ พร้อมที่จะรับใช้ต่างชาติซึ่งเข้ายึดครองประเทศ
การประกาศพระบรมราชโองการดังกล่าว ทำให้บาทหลวงดรมันคาทอลิค ชาวฝรั่งเศสไม่พอใจจักรพรรดิเบ๋าได๋เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ส่งรายงานต่อสันตะปาปา ณ กรุงวาติกัน ถึง สถานการณ์ อันแปรเปลี่ยนนี้ โดยด่วนทันที แต่ก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่พลิกผันในการรบระหว่างกองทัพกู้ชาติชาวเวียตนามกับกองทัพฝรั่งเศสที่ "เดียนเบียนฟู"
เป็นสัจธรรมตราบใดที่ผู้ยึดครองไม่สามารถเปลี่ยนอุดมการณ์ "ความรักชาติ" ออกไปจากสมองจิตวิญญาณ ของชนในชาตินั้นให้ได้อย่างถาวรแล้วละก็ ไม่ว่า ผู้ยึดครองนั้น จะใช้ อาวุธ อันทันสมัยทรงประสิทธิภาพอย่างไร ก็ไม่สามารถเอาชนะกองทัพที่ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ได้ทั้งสิ้น นี่คือกฎสากลที่เป็นธรรมชาติ
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา ของยุทธศาสตร์ อันทำให้กองทัพฝรั่งเศสที่แข็งแกร่ง ต้องพ่ายแพ้แก่กองทัพชาวเวียตนามผู้รักชาติในยุทธการ"เดียนเบียนฟู" อันลือลั่นก้องโลก ซึ่งเป็น การรบระหว่างกองทัพตีนเปล่า ตัวเปล่า กับ กองทัพมหาอำนาจ ที่ใส่เสื้อเกราะ ระหว่างปืนกับจอบเสียม ระหว่างปืนใหญ่กับดอกไม้ไฟ ระหว่างรถถังหุ้มเกราะกับรถจักรยาน สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ จิตใจของนักรบแต่ละฝ่าย เปรียบได้ฟ้ากับดินในเมื่อ ชาวเวียตนามรบเพื่ออิสรภาพของแผ่นดินมาตุภูมิ แต่กองทัพฝรั่งเศส รบเพื่อผลประโยชน์ ของชาติ ที่ไม่ใช่เจ้าประเทศ แต่ตนต้องการจะกอบโกย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพลังรักชาติรักแผ่นดิน ที่รวมเป็นหนึ่งเดียวคือความต้องการเป็นอิสรภาพ จากการยึดครองของต่างชาติ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชัยชนะจึงเป็นของนักสู้ชาวเวียตนาม ผู้รักแผ่นดินเกิดเหล่านั้น
กองทัพมหาอำนาจฝรั่งเศสต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ไม่ต้องพูดถึงศักดิ์ศรีของฝรั่งเศสผู้ยึดครอง เพราะไม่มีอยู่แล้ว นับตั้งแต่การก้าวย่างเข้าสู่ดินแดนเวียตนาม ด้วยวัตถุประสงค์ ที่ไม่บริสุทธิ์ และคงไม่ต้องกล่าวถึงอนาคตของข้าราชการ ชาวเวียตนามผู้ขายชาติขายศาสนา ซึ่งให้การสนับสนุนกองทัพฝรั่งเศส ให้ยึดครองแผ่นดินเกิดของตนเองว่า จะมี สภาพ อันน่าอเนจอนาถอย่างไร
นี่คือฉากสุดท้ายของมหาอำนาจฝรั่งเศสในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มันเป็นเพียงช่วงเริ่มต้น ของการแผ่อิทธิพลของประเทศ มหาอำนาจชาติใหม่ ที่ต้องการผลประโยชน์ ในภูมิภาคนี้เช่นกัน
[หน้าหลัก][พิเศษ] |