ปีที่ 2 ฉบับที่ 898 ประจำวันอังคารที่ 28 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2542

พิเศษ

พระพุทธศาสนาในเวียดนามฤาประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย (ตอน 2)

ยุทธการทำลายกองทัพที่รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์

จากการพ่ายแพ้ในยุทธการ เดียนเบียนฟู นั่นเอง ทำให้ประเทศฝรั่งเศสวางแผนการใหม่ ที่จะใช้อิทธิพลทางการเมืองเพื่อประโยชน์ทาง การค้าในทรัพยากรธรรมชาติของเวียดนาม ต่อไป จึงได้มีการเสนอให้มีการลงนามในสัญญาเจนีวา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศขึ้น (รวมเหนือใต้) โดยฝรั่งเศสจะใช้เงินลงทุน ที่จะสนับสนุน คนของตน ให้ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และครองเสียงข้างมากในรัฐบาลประเทศเวียดนาม

ก่อนที่เราจะดำเนินเรื่องต่อไป ขอพาผู้อ่านมารู้จักกับบุคคล ซึ่งต่อไปจะมีบทบาทในการทำลายล้างพระพุทธศาสนา ตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL ๒ ดังนี้

๑.โง ดินห์ เดียม เกิด เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๔๔๔ ในครอบครัวคริสเตียนโรมันคาทอลิค ที่เคร่งศาสนามาก ที่เมืองไดฮอน มลฑลวานบิน ซึ่งเป็นตอนกลางของประเทศเวียดนาม 
โง ดินห์ เดียม ลักษณะภายนอกจะเห็นเป็นคนที่เรียบร้อย สุขุม พูดจาเจ้าหลักการเชือดเฉือนฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่หยาบคาย มองดูแล้วจะมีลักษณะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่โดยนิสัย แท้จริง กลับตรงกันข้าม เป็นบุคคลที่มีความคดในข้องอในกระดูก พร้อมที่จะหักหลังหรือเหยียบย่ำทันทีที่บุคคลใดก็ตาม ไร้ประโยชน์ หรือจะทำให้เกิดโทษกับเขา ทำลายทุกคน ที่เป็นอุปสรรคทางการเมือง ในทุกวิถีทาง นี่คือลักษณะที่ตรงกันข้ามในคนๆ เดียวกัน ที่นับถือและเคร่งในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคที่สุด

๒.มาดาม โง ดินห์ นู น้องสะใภ้ของ โง ดินห์ เดียม เป็นผู้นับถือคริสต์โรมันคาทอลิค และมีความพอใจในการกระทำทุกอย่าง ที่จะก่อความสูญเสียให้เกิดแก่พระพุทธศาสนา เพราะเธอเชื่อว่า ผู้ไม่นับถือในพระเจ้าคือสาวกซาตานที่ต้องถูกกวาดล้างทำลาย และมีความเห็นสำหรับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาว่า คุณไม่คิดหรือว่า พวกที่เป็นพุทธน่ะคือ พวกอันธพาลนี่เอง แต่อาศัยห่มผ้าเหลืองเท่านั้น

๓.โง ดินห์ ถึก เป็นพี่ชายของ โง ดินห์ เดียม ได้รับแต่งตั้งจากวาติกัน ให้มีตำแหน่งเป็น สังฆราชของคริสเตียนโรมันคาทอลิค จากผลงานการปราบปราม และฆ่าล้างศาสนาพุทธ โดยควบคุมกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และคุมตำรวจลับที่เป็นชาวเวียตนามที่เข้ารีตคริสเตียนแล้ว ทั้งยังมีอิทธิพลต่อกองทัพเวียตนามด้วย

ช่วงปี ๒๔๙๔ ถึง ๒๔๙๖ โง ดินห์ เดียม ได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกา เพื่อรับการอบรมในหลักสูตร ลับเฉพาะโดยการสนับสนุนจาก วุฒิสมาชิก แมนฟิล (ซึ่งต่อมาได้ถูกย้ายมาเป็น เอกอัครราชทูตประจำประเทศ ญี่ปุ่น) และวุฒิสมาชิกจอนห์ เอฟ. เคเนดี้ (ต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐเอมริกา) และบุคคลผู้นำของสหรัฐอเมริกาอื่นๆ อันเป็นการปูทาง วางตัว บุคคล ที่จะเป็นผู้นำในการโค่นล้มระบบกษัตริย์ของประเทศเวียตนาม

วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๔๙๗ เป็นช่วงก่อนสัญญาเจนีวาจะถูกลงนามโดยจักรพรรดิเบ๋าได๋ กษัตริย์ เวียตนาม ได้มอบหมายให้ โง ดินห์ เดียม จัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นในวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๙๗ จึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งรัฐบาล โง ดินห์ เดียม เป็นรัฐบาลตามกฎหมาย สหรัฐอเมริกาได้จัดส่งนายพล รันเดล ผู้เคร่งศาสนาในคริสเตียนโรมันคาทอลิค หัวหน้า ซี.ไอ.เอ มาเป็นที่ปรึกษาทางการทหารให้กับรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ซึ่งวางแผนให้รัฐบาลใช้กลยุทธจิตวิทยา หลอกพุทธศาสนิกชนชาวเวียตนามเพื่อสร้างกระแสความ นิยมของประชาชนให้ยอมรับมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา และโง ดินห์เดียม โดยประกาศว่า จะยกเลิกพระราชกฤษฎีกาที่กดขี่พุทธบริษัทชาวเวียตนาม ซึ่งฝรั่งเศสได้ประกาศ และ มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นโดยเร็วที่สุด

ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ชาวพุทธในเวียดนามได้ก่อตั้งวัดซาลอย และพุทธสมาคมมหายานขึ้นที่ปลายถนนแวร์ดัง ห่างไปทางด้านทิศใต้ของทำเนียบรัฐบาล ๑ กม. พร้อมกับได้ร่วมกัน ก่อสร้างเจดีย์สูงสง่า ๙ ชั้นขึ้น นับว่าเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด จัดเป็นศูนย์กลางและศูนย์ รวมจิตใจของชาวพุทธในเวียดนาม เจดีย์นั้น ภายในแบ่งเป็นห้องๆ หลายร้อยห้อง ใช้เป็นที่ ปฏิบัติภาวนาของ พระภิกษุสงฆ์ และพุทธบริษัทโดยทั่วไป ซึ่งสามารถบรรจุคนได้เป็นจำนวนพัน นับว่าเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธ กลับมารุ่งเรืองในประเทศเวียดนามอีกครั้งหนึ่ง  โดยมีผู้สร้างวัดฝ่ายเถรวาทขึ้นอีกถึง ๔๐ กว่าวัดในปีเดียวกันนั้นเอง 

ชาวเวียดนามที่ศรัทธาในพุทธศาสนาได้เข้ามาอุปสมบทในประเทศไทย และกลับไปเป็นเจ้าอาวาสในวัดเหล่านี้ แต่ใครจะรู้บ้างว่านี่คือแสงสว่างของเทียนวูบสุดท้าย เมื่อใกล้ดับ ของพระพุทธศาสนาในประเทศเวียตนาม การรวมตัวอย่างเข้มแข็งของชาวพุทธนี้เอง สร้างความไม่พอใจให้กับนายพลรันเดล และบาทหลวง คริสเตียนโรมันคาทอลิคเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพุทธศาสนากำลังจะกลับมามีอิทธิพลในประเทศเวียดนามอีกครั้ง โดยการสนับสนุนของสถาบันพระมหากษัตริย์ และพุทธศาสนิกชนอันเป็นประชากร ส่วนใหญ่ของ ประเทศ อันจะทำให้ผลประโยชน์ซึ่งคริสตจักรจะได้รับจากคริสต์ชน ซึ่งผูกขาดธุรกิจในเวียตนามจะลดน้อยลงไปด้วย

ดังนั้น เพื่อผลประโยชน์ร่วมของคริสต์จักรโรมันคาทอลิคและประเทศมหาอำนาจ จึงมีความเห็นร่วมกันที่จะต้องโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ลงไปให้ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะ สถาบันกษัตริย์ ยังมีกองทัพที่จงรักภักดีต่อราชบัลลังค์อยู่ การวางแผนจึงต้องแนบเนียนและได้ผล จึงเป็นหน้าที่ของบาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิค จะต้องดำเนินการ โดย CIA จะให้เงินทุนสนับสนุนในการปฏิบัติการดังกล่าวในเวียดนามขณะนั้น กองทัพที่สนับสนุนสถาบันกษัตริย์จักรพรรดิเบ๋าได๋ มีอยู่ ๓ กองทัพด้วยกันคือ

๑.กองทัพปิ่นเชวียง ซึ่งนำโดยนายพลเวียน จัดว่ามีกำลังมากที่สุดและดูแลกรมตำรวจด้วย

๒.กองทัพก๋าวด่าย มีกำลังพลพอประมาณ

๓.กองทัพหว่าหาว นำโดยนายพลบากัด มีกำลังน้อยที่สุด

ทั้งสามกองทัพนี้ล้วนมีทหารที่นับถือพุทธศาสนา ทั้งสิ้น จัดเป็นศัตรูตัวสำคัญของการขยายตัวและผลประโยชน์ของคริสต์ศาสนาอย่างยิ่ง การวางแผนดังกล่าวนั้น ได้กำหนดเอา ตัวบุคคลคือ โง ดินห์ เดียม ซึ่งเป็นผู้ใต้อาณัติของอเมริกันและเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค ขึ้นปกครองประเทศแทน การดำเนินงานต้องทำอย่างรวดเร็วฉับพลัน โดยอาศัยจังหวะ เวลาที่จักรพรรดิเบ๋าได๋ เสด็จเยือนยุโรป เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี และประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า ประเทศเวียดนามจะมีการเลือกตั้ง ตามที่พระองค์ได้ทรงลงนามไว้ในสัญญาเจนีวา กับฝรั่งเศส เพื่อให้ประเทศเวียตนามมีสันติสุขเสียที หลังจากที่รบทัพขับสู้กันมาเป็นร้อยปี 

ดังนั้นการปฏิบัติ การสลายกองทัพทั้งสาม และสถาบันกษัตริย์จึงเกิดขึ้น โดยทหารเวียตนามคริสเตียน ภายใต้การวางแผนของ CIA ส่วนหนึ่งทำหน้าที่เผาทำลายหมู่บ้าน ที่นับถือ พุทธศาสนา แล้วประกาศว่าเป็นคำสั่งของราชวงศ์เบ๋าได๋ ให้มากวาดล้างชาวพุทธ และในการปฏิบัติภารกิจทุกครั้ง จะประสานกับชาวเวียตนามที่เข้ารีตเป็นคริสเตียน จะกระจาย ข่าวให้กับผู้นับถือพุทธว่า วันไหนทหารของพวกราชวงศ์เบ๋าได๋ จะเผาวัดพุทธศาสนาที่ใดหมู่บ้านไหนบ้าง ซึ่งก็เกิดขึ้นตามนั้นเพราะเป็นการวางแผนโดย CIA เพื่อทำลายความ จงรักภักดีของประชาชน และสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ทหารอีกส่วนหนึ่งได้ส่งคนปลอมใส่เครื่องแบบกองทัพปิ่นเชวียงหลายสิบคน ทำเป็นเมาแล้วไปทำร้ายและฆ่าทหารของกองทัพก๋าวด่ายตายหลายคน จากนั้นใช้สาย CIA ชาว เวียตนามที่อยู่ภายในกองทัพก๋าวด่าย ปลุกกระแสให้ล้างแค้นกองทัพปิ่นเชวียง ซึ่งก็ได้ผลกองทัพก๋าวด่าย ส่งทหารออกไปล้อมกรมตำรวจทหาร ทั้งสองกองทัพสู้รบกันอยู่ ๓ วัน ในที่สุดฝ่ายก๋าวด่าย ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จาก CIA ได้รับชัยชนะ เป็นอันว่า กองกำลังที่รักษาราชบัลลังค์กษัตริย์สลายไปหนึ่งกอง ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นทำให้ จักรพรรดิเบ๋าได๋ ไม่สามารถเสด็จกลับประเทศเวียดนามได้ จึงยังคงพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสต่อไป กระแสของประชาชนเวียตนามเริ่มสับสนต่อสถาบันกษัตริย์

ในด้านของ CIA หากยังไม่สามารถทำลายกองทัพที่จงรักภักดีต่อราชบัลลังค์ได้หมดแล้ว ก็นับว่าอุปสรรคของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค และประเทศ มหาอำนาจ ที่ต้องการ ยึดครองเวียดนามยังไม่หมดไป ฉะนั้นการกวาดล้างกองทัพของกษัตริย์ที่เหลือ จึงถูกดำเนินการอย่างเร่งด่วนก่อน ที่จะมีผู้ไหวตัวรู้เท่าทันในแผนการ ไม่มีอะไรใหม่ คงใช้แผนเดิม คือใช้พรรคพวกปลอมเป็นทหารของกองทัพหว่าหาว ไปฆ่าทหารของกองทัพก๋าวด่าย ก็เกิดสู้รบกันขึ้น 

และช่วงนี้เอง CIA ได้มีคำสั่งให้ โง ดินห์ เดียม แสดงผลงาน โดยสั่งให้กองทัพ ออกช่วยกองทัพก๋าวด่าย อันที่จริงคือการทดสอบการใช้อำนาจสั่งการว่าทหารจะเชื่อฟัง โง ดินห์ เดียม หรือไม่ เพราะตามกฎหมายแล้ว โง ดินห์ เดียม ไม่ใช่ผู้สำเร็จ ราชการ และ ไม่มีอำนาจสั่งการทหารเลย แต่เนื่องจากว่ากองกำลังของอเมริกันขณะนั้น มีอยู่ในเวียดนาม บ้าง แล้ว และ โง ดินห์ เดียม ได้ถูกสร้างภาพว่า เป็นผู้สามารถเรียกใช้กองทัพต่างชาติได้ ซึ่งเป็นการวางแผนปูทางให้กับ โง ดินห์ เดียม ไว้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับกลายๆ ของ กองทัพเวียดนามไปด้วย ในการสั่งการต่อกระทรวงกลาโหม 

แน่นอนที่สุด โง ดินห์ เดียม ย่อม ได้รับชัยชนะเพราะกองทัพหว่าหาวเป็นกองทัพที่เล็กที่สุด และปราศจากอาวุธอันทันสมัย จึงถูกตีแตกไปเพียงชั่วข้ามคืน ทำให้ โง ดินห์ เดียม  สามารถกลายเป็นผู้นำของกองทัพไปโดยปริยาย เพราะไม่มีกองทัพใดเหลืออยู่ พอที่จะแข็งข้อได้อีกต่อไป นับเป็นแผนการชั้นประถม แต่ใช้ได้ผลนั่น เพราะมีบุคคลที่ขายชาติ ร่วมด้วยนั่นเอง

ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นจักรพรรดิเบ๋าได๋ ยังไม่สามารถกลับสู่ประเทศเวียดนามได้ เพราะมีการสร้างสถานการณ์ว่ามีการสู้รบอยู่แทบทุกพื้นที่ ในขณะเดียวกัน CIA และบาทหลวง คริสเตียน ก็ร่วมกันปล่อยข่าวว่า จักรพรรดิเบ๋าได๋ เป็นผู้ทำลายพุทธ เป็นผู้ละทิ้งแผ่นดิน และประชาชน ไม่สมควรเป็นกษัตริย์ปกครองชาวเวียดนามต่อไป สื่อมวลชนที่อยู่ภายใต้ การควบคุมของ CIA ออกข่าวต่อเนื่อง ซึ่งไม่ตรงต่อความจริง 

เพราะโดยความเป็นจริงแล้วจักรพรรดิไม่เคยทอดทิ้งราษฎรของพระองค์เลย ทรงดูแลไพร่ฟ้าประชาชน อย่างเต็ม พระสติกำลัง ข้าราชการของพระองค์คนใด ที่กดขี่ข่มเหง ประชาชน ก็จะเสด็จไปสอบสวนลงโทษด้วยพระองค์เอง การเสด็จตรวจราชการก็ไม่มีพิธีรีตรองไม่มีหมายกำหนด การ จึงสามารถจับทุจริตข้าราชการ ที่ร่วมมือกับต่างชาติ ได้ เสมอ ทำให้พลเมืองทั้งประเทศเวียดนามทั้งสิ้นรวม ทั้งกองทัพทั้งสามนั้นถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ย่อมเคารพเทิดทูนท่าน อย่าง ที่สุด แต่กลับกลายเป็นศัตรูที่สำคัญของประเทศมหาอำนาจ 

ดังนั้นการสร้างกระแสรุนแรงทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ในเวียดนามจึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อันเป็นไปตามแผนที่มหาอำนาจและคริสต์จักรโรมันคาทอลิค ได้วางไว้ ทำให้พระราชวงศ์ซึ่งล้วนนับถือพระพุทธศาสนา ต้องพากันอพยพเดิน ทางออกจากประเทศเวียดนามเพื่อความปลอดภัย ส่วนจักรพรรดิเบ๋าได๋ ก็ไม่สามารถเสด็จนิวัติกลับสู่ ประเทศเวียดนามได้

และในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๙ โง ดินห์ เดียม ประกาศไม่ยอมรับการลงนามสัญญาเจนีวา และไม่ยอมให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศตามสัญญาเจนีวา โดยอ้างเหตุผลว่า รัฐบาลเวียดนามไม่ได้เป็นผู้ลงนามในสัญญาที่เจนีวา ผู้ลงนามไม่ได้เป็นตัวแทนรัฐบาล (จักรพรรดิเบ๋าได๋เป็นผู้ลงนาม) ดังนั้นข้อตกลงในสัญญาที่ให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศนั้น จึงไม่มีสิทธิ์มาผูกมัดรัฐบาล (โง ดินห์ เดียม) ได้ และนี่คือคำพูดที่ทำให้ประเทศเวียดนามแบ่งออกเป็น ๒ ประเทศ โดยเขตเส้นขนานที่ ๑๘ เหนือเมืองเว้ ๘๐ กม. ตามแผนที่ ยุทธศาสตร์ฝรั่งเศส ได้ทำไว้ เป็นการเริ่มต้นของสงครามเวียดนาม 

นับแต่นั้นเป็นต้นมา โง ดินห์ เดียม จึงกลายเป็นประธานาธิบดี โดยการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์จากการสนับสนุนของ CIA และคริสต์จักรโรมันคาทอลิคซึ่งเป็นผู้วางแผนการขึ้น นั่นเอง สถาบันกษัตริย์ของเวียดนามที่สืบเนื่องนับเป็นพันปี ก็หายไปจากประวัติศาสตร์เวียดนามชั่วนิรันดรนับแต่นั้นมา

จากการแบ่งประเทศเวียดนามโดย โง ดินห์ เดียม นี้เอง ทำให้พุทธศาสนิกชน และประชาชนผู้รักชาติพากันอพยพขึ้นสู่ภาคเหนือ (เวียดนามเหนือ) นับล้านคน เป็นชาวเขา ซึ่ง ติดตามจักรพรรดิ เบ๋า ได๋ ประมาณ ๒ แสนคน และเขาเหล่านี้เอง ที่ได้กลายเป็นผู้ที่ถูกประเทศมหาอำนาจตั้งให้เป็นผู้ร้ายไปในที่สุด สำหรับรัฐบาล โง ดินห์ เดียม เข้าปกครอง ประเทศภายใต้การบริหารของอเมริกา และสภาคริสต์จักรโรมันคาทอลิค จึงเป็นเพียงรัฐบาลหุ่นเชิดเท่านั้น

การปราบปรามผู้ต่อต้านนี้เองจึงเป็นโอกาสให้คริสเตียนโรมันคาทอลิค อันมี โง ดินห์ ถึก อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งเป็นพี่ชายของประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ทำการทำลายล้าง พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาทุกท้องที่ ตำรวจลับทั้งหมดล้วนเป็นชาวเวียดนามที่เข้ารีตเป็นคริสเตียน มีหน้าที่กำจัดพระสงฆ์และชาวพุทธเท่านั้น และมีรางวัลในการฆ่า หรือ กวาดล้างชาวพุทธโดยการให้เงินหรือเลื่อนขั้น ทำให้พุทธบริษัทเวียดนามอยู่อย่างหวาดผวา แม้กระทั่งพระภิกษุสงฆ์ทำการสวดมนต์ หากตำรวจลับได้ยิน จะฆ่าทิ้งในข้อหา สวดมนต์สาปแช่งรัฐบาล 

จากผลงานในการกวาดล้างพุทธศาสนิกชนอย่างหฤโหดนี้เอง ทำให้วาติกันพอใจและแต่งตั้งให้ โง ดินห์ ถึก เป็นสังฆราชของคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียดนาม พร้อมกับแต่งตั้งให้ โง ดินห์ ถึก ควบคุมกระทรวงศึกษาธิการอีกตำแหน่ง หนึ่ง โดยเป็นผู้มีอำนาจกำหนดตำราเรียนแก่เยาวชนในประเทศเพียงผู้เดียว ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมบทเรียน ที่สนับสนุน พระพุทธศาสนา และคุมสมองเยาวชนของชาติให้ยอมรับเฉพาะคริสต์ศาสนาเท่านั้น ในส่วนหนังสือที่เป็นหลักสูตรพุทธศาสนานั้น ก็แก้ไขแทรกคำสอนคริสเตียนเข้าไปโดย
บาทหลวงโรมันคาทอลิคเป็นผู้จัดทำขึ้น

กลุ่มคริสเตียนโรมันคาทอลิคยังได้ตัดโค่นป่าไม้ตามโครงการเกษตรของ โง ดินห์ เดียม และเงินทั้งหมดที่ขายไม้ได้ ถูกนำไปให้กับองค์กรคาทอลิคทั้งหมด โดยคำสั่ง โง ดินห์ เดียม

การทำลายขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ที่สืบทอดต่อกันมานับแต่บรรพบุรุษ ระดมผ่านเข้ามาโดยนักธุรกิจอเมริกัน ทั้งยาเสพย์ติด และซ่องโสเภณี เพิ่มขึ้นอย่าง มากมาย โดยข้าราชการที่เป็นคริสเตียนให้การสนับสนุน แม้กระทั่งใช้วัดเพื่อจัดงานสังสรรค์พร้อมหญิงโสเภณี และบังคับพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ทำหน้าที่เสริฟอาหาร บริการ ข้าราชการ เหล่านี้

บาทหลวงหรือผู้เข้ารีตนับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิคจะได้รับประโยชน์พิเศษหลายประการ เช่นสามารถทำอะไรก็ได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขออนุญาต โดยเฉพาะ ของกินของใช้ใน ตลาดเมืองเว้ ซึ่งติดป้ายไว้ว่า ห้ามขายหรือแลกเปลี่ยนของ สำหรับแจกคนยากจนเท่านั้น ก็ปรากฏว่าบาทหลวงคาทอลิคก็นำออกขาย เก็บรายได้เป็นของตนเป็นปกติ ในขณะ ที่ พระสงฆ์ในพุทธศาสนาไม่สามารถจะหาซื้อสินค้าได้ในตลาด เพราะจะถูกตำรวจลับของ โง เดียม ถึก จับในข้อหาสะสมเสบียงไว้ต่อต้านรัฐบาล

ชาวพุทธถูกริดรอนสิทธิและเสรีภาพ

พระพุทธศาสนากับสถาบันพระมหากษัตริย์เปรียบประดุจดั่งลมหายใจกับชีวิต ยังความร่มเย็นเป็นสุขให้กับปวงประชาในประเทศอยู่รวมกันอย่างสันติสุข แต่ เมื่อสิ้นสถาบันหนึ่ง สถาบันใดเสียแล้ว ก็เปรียบประดุจสังขารที่ไร้ลมหายใจ รอวันสิ้นชาติว่าจะมาถึงเมื่อใดเท่านั้น

การกดขี่ทารุณและกวาดล้างพุทธศาสนิกชนในเวียตนามเป็นไปทุกรูปแบบ ตามอารมณ์ของเจ้าพนักงาน และสนองนโยบายของรัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิค  อันมี โง ดินห์ เดียม เป็นหัวหน้ารัฐบาล สำหรับพระราชกฤษฎีกฉบับที่ ๑๐ อันมีเนี้อหาที่กดขี่ชาวพุทธซึ่งฝรั่งเศสออกไว้นั้น ก็มิได้ยกเลิกตามสัญญา ซ้ำยังปราบ ปรามชาวพุทธหนักขึ้นกว่าเดิม ความแตกต่างระหว่าง ผู้เข้ารีตนับถือคริสเตียนโรมันคาทอลิค กับผู้นับถือพระพุทธศาสนาปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่มีการปิดบัง

ชาวพุทธจะออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนาก็ไม่ได้รับอนุญาต จะขอพูดทางรายการวิทยุกระจายเสียงก็ไม่ได้ เมื่อมีงานใหญ่ๆ เช่นงานวิสาขบูชาก็ได้พูดบ้าง แต่ก็จะอนุญาต ให้ใช้คลื่นที่ประชาชนรับฟังไม่ได้ เพราะมีสัญญาณแทรก หรือหลังเที่ยงคืนซึ่งผู้คนหลับหมดแล้ว เท่ากับไม่ได้ผลอะไรเลยและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ส่วนรายการคริสต์ศาสนา ออก อากาศฟรีได้ทุกเวลา

สำหรับพุทธศาสนิกชนเวียตนามในชนบท ทางการจะเอารูปพระเยซูมาวางไว้ให้ โดยบาทหลวงกับข้าราชการเป็นผู้เอามาตั้งให้เอง และชาวบ้านหรือพระภิกษุจะต้องดูแลด้วย ถ้าปล่อยให้สูญหายทำลายไป จะต้องรับผิดชอบ โดยการถูกลงโทษอย่างร้ายแรง วัดทุกวัดในเวียดนามเมื่อถึงวันพระ จะต้องขออนุญาตจึงจะมีการประกอบศาสนพิธีได้ และจะต้อง บอกด้วยว่า จะใช้เวลานานกี่ชั่วโมง ส่วนการขออนุญาตนั้นก็จำกัดจำนวนคนที่จะไปร่วมทำกุศลด้วย ข้าราชการที่เป็นชาวพุทธไม่ค่อยกล้าไปวัด เพราะกลัวตำรวจลับ จะจดชื่อ เอาไป (เหมือนเหตุการณ์ในประเทศไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ ข้าราชการไม่กล้าไปวัด เพราะกลัวมีความผิดในการปฏิบัติศาสนกุศล เช่นงานวิสาขบูชา ข้าราชการจะถูกตั้ง กรรมการ ตรวจสอบความประพฤติ และงดขั้นเงินเดือน...??? ส่วนข้าราชการทั้งพลเรือนและทหารที่เป็นคริสเตียน จะได้รับการอุปถัมภ์บำรุงเป็นอย่างดี)

การซื้อที่ดิน การบริจาคที่ดินสร้างวัด การรับทรัพย์สินจากญาติโยม การเรี่ยไรทั้งหมดถูกควบคุมหมด ไม่ให้พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาสร้างศาสนสมบัติใดๆ แม้กระทั่ง ห้าม สร้างพระพุทธรูป ไว้สักการบูชา หากสูญหายหรือพังไปแล้ว ให้เอารูปพระเจ้า (พระเยซู) มาตั้งแทน และหากไม่ปฏิบัติตาม ก็จะต้องมีความผิดร้ายแรงถึงขั้นถูกประหาร ขึ้นอยู่กับ ความพอใจของตำรวจที่เป็นคริสเตียน (เหมือนกับเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒???) 

ผู้ที่เป็นคริสต์แล้วจะสร้างโบสถ์คริสต์ โรงพยาบาล โรงเรียน เพื่อศาสนาคริสต์ได้ตามใจชอบ จะสร้าง ภายในกรมทหารก็ได้ เวลาเรี่ยไรก่อสร้างสถานที่สำคัญ ของคริสต์ ก็เรี่ยไร ชาวพุทธ ด้วยแต่หากเป็นฝ่ายพุทธศาสนา จะเป็นพลเรือน ข้าราชการ หรือทหาร ขอสร้างไม่ได้ทั้งสิ้น มีกองอนุศาสนาจารย์ในกองทัพและมีบาทหลวงดูแลอยู่ทั้งนั้น

เมื่อมีการอบรมข้าราชการก็ต้องให้บาทหลวงมา เป็นผู้อบรม แม้กระทั่งบังคับพระสงฆ์ในพุทธศาสนามานั่งให้บาทหลวงเทศน์ให้ฟัง (เหมือนเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ ที่มีบาทหลวง และนักสอนศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค มาปาถกฐาสอนพระภิกษุสงฆ์ในเรื่องจิตวิทยา) ทางคริสต์สามารถจัดตั้งสมาคมแพทย์ สมาคม ครู สมาคมนิสิตนักศึกษา สมาคมอาจารย์ ได้ทั้งสิ้นตามต้องการ และมีรายได้ก็ไม่ต้องแสดงบัญชีต่อรัฐบาล แต่ทางพระพุทธศาสนา จะตั้งสมาคมขึ้นใหม่ก็ไม่ได้ บัญชีรายได้ทุกอย่างต้องแสดงให้เจ้าหน้ารัฐบาลดู ผิดพลาด เล็กน้อย ก็ปิดสมาคมพุทธนั้นทันที และเจ้าอาวาส ก็ต้องถูกลงโทษติดคุกหรือบางครั้งกลายเป็นโทษหนักถึงกับประหารชีวิต

เนื่องจากผู้นับถือพุทธศาสนาของชาวเวียตนามมีถึง ๙๙.๗๔% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ดังนั้น การล้มล้างพุทธศาสนา นอกจากจะปราบปรามชาวพุทธแล้ว ยังใช้การ ทำให้คลาดเคลื่อนจากสร้างคำสอนพุทธศาสนาขึ้นมาใหม่ สัทธรรมปฏิรูป ในด้านของการศึกษา ฝ่ายปริยัติและบังคับให้พระภิกษุสงฆ์สามเณร นางชี นักศึกษา โดยเป็นคำสั่งของ โง ดินห์ ถึก ซึ่งคุมกระทรวงศึกษาธิการด้วย

และได้ตั้งพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นหุ่น ๕ รูป เพื่อเป็นกระบอกเสียงโจมตีพระสงฆ์ หรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับหลักธรรมวินัย พระไตรปิฎกคำสอนที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และตั้ง สมาคมสงฆ์ แห่งชาติ (National Sangka Association) ซึ่งความจริงเป็นวัดเล็กๆ นอกเมือง แต่พระสงฆ์ที่บวชในวัดนี้ล้วนเป็น คริสเตียนโรมันคาทอลิค ที่ใช้ภาพพระสงฆ์ใน พุทธศาสนา เพื่อสร้างภาพให้กับรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ในทุกครั้งที่มีการปราบปรามชาวพุทธ พระในสมาคมนี้จะเป็นผู้ออกมาแถลงแก้ให้รัฐบาล ในฐานะตัวแทนชาวพุทธ และจะประสาน กับ คณะกรรมการสหพันธ์เพื่อพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์ ที่จัดตั้งโดยรัฐบาล โดยจะจัดรายการทางวิทยุ จัดประชุมในมหาวิทยาลัย และสถานศึกษาต่างๆ เพื่อให้ประชาชน หลงผิด ไปกับข้อมูลเท็จ 

รัฐบาลอนุญาตให้มีรายการวิทยุโจมตีพระภิกษุสงฆ์ และคณะสงฆ์ที่ไม่เห็นด้วย ให้ผู้คนเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ห้ามพระภิกษุสงฆ์หรือ องค์กร พุทธศาสนา จัดรายการ (ยังมีต่อ)


[หน้าหลัก][พิเศษ]