ปีที่ 2 ฉบับที่ 899 ประจำวันพุธที่ 29 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2542

หน้า 1

ศาลสงฆ์เป็นกับดัก จับพระธัมมชโยสึก

มือกฎหมายธรรมกายยืนยัน พระธัมมชโย จะไม่ขึ้นศาลสงฆ์อย่างเด็ดขาด ชี้ชัดเป็นกับดัก เพื่อจับสึก ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาแบบสันติวิธี ตามแบบชาวพุทธ หนำซ้ำกฎนิคหกรรม ได้จบลงไปนานแล้ว นับแต่ผู้พิจารณาชั้นต้น สั่งไม่รับคำกล่าวหา ด้านกระทรวงศึกษาฯ บุกพบ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ยื่นหนังสือ อธิบายมติมส. ที่ให้เดินนิคหกรรมต่อไป โดยมี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ร่วมลงนามในหนังสือดังกล่าวด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (28ธ.ค.) นายไพบูลย์ เสียงก้อง พร้อมด้วย นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดีกรมการศาสนา ได้เดินทางมาถึงวัดชนะสงคราม เพื่อกราบ นมัสการ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เพื่อนำเอกสารคำอธิบายว่า ดำเนินการไม่สอดคล้องกับกฎนิคหกรรมเป็นอย่างไร ตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 37/2542 วันที่ 19 ต.ค. ที่ว่าการดำเนินการที่ผ่านมา ไม่สอดคล้องกับกฎนิคหกรรม จึงให้คณะผู้พิจารณา ไปดำเนินการใหม่ให้สอดคล้อง

นายไพบูลย์ให้สัมภาษณ์ว่า จากมติมาหเถรสมาคมครั้งที่ 44/2542 วันที่ 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีมติให้กรมการศาสนา ทำรายงานข้อเท็จจริง และอธิบายมติมส.ว่า การดำเนินการ ไม่สอดคล้องกับกฎนิคหกรรม เป็นอย่างไร ซึ่งกรมการศาสนาได้ดำเนินการแล้ว และให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญ ได้เซ็นต์รับรองรายงานการประชุมดังกล่าว เรียบร้อยแล้วทั้ง 4 ท่าน คือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านกฎหมาย นายจรวย หนูคง ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ นายประนัย วณิชชานนท์ นิติกรกรมการศาสนา และตนในฐานะอธิบดีกรมการศาสนา

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้รับรายงานเอกสารเรียบร้อยแล้ว ซึ่งท่านก็ได้อ่านเอกสารแล้ว ก็คงจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของท่านต่อไป ส่วนจะดำเนินการในรูปแบบใดนั้น ตนไม่กล้าสอบถาม แต่คิดว่า ท่านคงจะดำเนินการให้ถูกต้องตามกระบวนการของกฎนิคหกรรม

นายวิชัย ตันศิริ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อถึงขั้นตอนนี้แล้ว ตนอยากให้ผู้ที่ถูกกล่าวหา มารับทราบข้อกล่าวหา และให้ดำเนินการไปตามกระบวนการ เพราะเป็นสิ่งเดียว ที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองว่า ไม่มีความผิดอะไร หากยังยื้อกันอยู่อย่างนี้ จะไม่มีที่สิ้นสุด

สำหรับเนื้อหาในหนังสือ ที่นายไพบูลย์ นำเสนอต่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์มีความว่า ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ 37/2542 เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2542 ได้มีการพิจารณา ประเด็นต่างๆ ดังนี้

1. ที่ประชุมได้ยืนยันมติของมหาเถรสมาคม ซึ่งลงมติไว้ในการประชุมครั้งที่ 28/2542 วันที่ 16 สิงหาคม 2542 ซึ่งมีสาระว่า คฤหัสถ์เป็นผู้กล่าวหาได้ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 พ.ศ.2541 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ข้อ 4 (8)

2. ปรากฏข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายว่า เมื่อมีคฤหัสถ์ยื่นคำกล่าวหาต่อพระภิกษุผู้พิจารณาแล้ว ผู้พิจารณาได้มีคำสั่งรับคำกล่าวหา พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้กล่าวหา ทราบ และเรียกผู้ถูกกล่าวหา มารับทราบข้อกล่าวหา าและแก้ข้อกล่าวหา แต่ผู้ถูกกล่าวหาได้มีหนังสือทัดทานว่า คฤหัสถ์ไม่มีสิทธิกล่าวหาพระภิกษุได้ ต่อมาผู้พิจารณา ได้ร่วม ประชุมกับหัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้นแล้ว หัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้นเห็นว่า หนังสือทัดทานของผู้ถูกกล่าวหารับฟังได้ ผู้พิจารณาจึงหาหนังสือขอรับความเห็นชอบ ในการ ไม่รับคำกล่าวหาต่อคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งคณะผู้พิจารณาชั้นต้น เห็นชอบในการสั่งไม่รับคำกล่าวหา ผู้พิจารณาจึงได้สั่งไม่รับคำกล่าวหาที่ผู้พิจารณาได้สั่งรับไปก่อนแล้ว

3. นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้ชี้แจงว่า เมื่อมหาเถรสมาคม มีมติเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า คฤหัสถ์มีสิทธิยื่นคำกล่าวหาพระภิกษุได้ มติของมหาเถรสมาคม ในฐานะเป็นองค์กรสูงสุด และเป็น ผู้ตรากฎนิคหกรรมนี้ จึงย่อมต้องถือเป็นที่สุด และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า พระภิกษุผู้พิจารณา และคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ได้ดำเนินการ ไปแล้ว ขัดต่อมติมหาเถรสมาคม ดังกล่าวคือ

ได้สั่งไม่รับคำกล่าวหา เพราะเห็นว่าคฤหัสถ์ไม่มีสิทธิ์กล่าวหาพระภิกษุ การดำเนินการทั้งปวง จึงถือว่า ไม่มีผล และโดยเหตุที่การดำเนินการดังกล่าวไร้ผล จึงต้องถือว่า เรื่องที่มี การกล่าวหาพระภิกษุมาหยุดอยู่ตรงที่ผู้พิจารณา ได้รับคำกล่าวหาไว้ และได้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ

ขั้นตอนหลังจากนั้น ต้องถือว่า ยังมิได้มีการดำเนินการ จึงเป็นหน้าที่ของพระภิกษุผู้พิจารณา จะต้องดำเนินการไปตามข้อ 15 ของกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ต่อไป

4. เมื่อกรรมการมหาเถรสมาคม ได้รับฟังคำชี้แจง แสดงความเห็นดังกล่าวในข้อ 3 แล้ว จึงมีมติว่า "การดำเนินงานที่ผ่านมา ยังไม่สอดคล้องตามขั้นตอนของกฎนิคหกรรม จึงให้ ผู้พิจารณาเบื้องต้น ดำเนินการเสียใหม่ ให้ถูกต้องตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม และให้สอดคล้องกับมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 28/2542 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2542 โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ดำเนินการให้เป็นไปตามมตินี้ และให้กรมการศาสนา แจ้งมตินี้ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบ และขอให้ดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม"

จึงเรียนเพื่อยืนยันมา นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา เลขาธิการมหาเถรสมาคม ข้าพเจ้า ได้อ่านคำชี้แจงข้างต้นแล้ว เห็นว่า เป็นไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในการ ประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 37/2542 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 ลงนาม นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายจรวย หนูคง นายไพบูลย์ เสียงก้อง และนายประนัย วณิชชานนท์

อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายของวัดพระธรรมกาย ยืนยันว่า การดำเนินการตามกฎนิคหกรรม ได้จบลงแล้ว นับแต่คณะผู้พิจารณาชั้นต้น มีคำสั่งให้คืนข้อร้องเรียนพระธัมมชโย ต่อผู้กล่าวหา แม้ว่า จะมีการนำนักกฎหมายมาตีความมติของมหาเถรสมาคมใหม่ก็ตาม แต่ในทางกฎหมายแล้ว ไม่น่าจะมีผลแต่ประการใดทั้งสิ้น

สำหรับเจตนารมณ์ของการตีความมติมหาเถรสมาคมในครั้งนี้ ถ้ามองให้ชัดเจนแล้ว น่าจะเป็นความต้องการของใครบางคน ที่ต้องการให้พระธัมมชโย ขึ้นศาลสงฆ์ ซึ่งตาม คำกล่าวหาของผู้กล่าวหา มีความต้องการให้พระธัมมชโย สึกจากสมณเพศ ไม่ได้มีความต้องการแก้ไชปัญหาที่เกิดขึ้น ในทางสันติวิธีแต่ประการใด

ดังนั้น ตนจึงยืนยันว่า พระธัมมชโย จะไม่เดินทางไปขึ้นศาลสงฆ์ เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เป้าหมายคือ ต้องการจับสึก และมีคำพิพากษาเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ใครจะยอมเดิน เข้ากับดักที่คนอื่นวางไว้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


[หน้าหลัก][หน้า1]