จุดเริ่มต้นของเหล่าตัวกวน
โดย Moody_lupin

ตอนที่ 1
“ผมบอกแม่แล้วไงว่าไม่ต้องไปส่งก็ได้” เสียงตะโกนอย่างหงุดหงิดดังขึ้นตามมาด้วยเสียงโยนสิ่งของอย่างระบายอารมณ์ดังสนั่นลั่นบ้าน

“แกจะห้ามฉันไม่ได้ ซีเรียส ลูกชายคนโตของตระกูลแบล็คจะได้ไปเรียนที่ฮอกวอตส์ ฉันต้องไปส่งแกขึ้นรถไฟด้วย เร็วเข้าครีเชอร์มาช่วยเก็บของลงxxxบเร็วๆ” เสียงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นไม่แพ้กัน หล่อนเดินนำหน้าออกจากประตูบ้านทันทีที่ครีเชอร์เอลฟประจำบ้านเก็บข้าวของเครื่องใช้ของซีเรียสลงxxxบหมดเรียบร้อยแล้ว

“เร็วๆเข้าเดี๋ยวไม่ทัน” หล่อนหันไปตวาดเด็กชายที่กำลังเดินหน้าบึ้งตึงตามออกมา เขากระแทกตัวลงนั่งเบาะด้านหน้าของรถคันโต นางแบล็คที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งที่เบาะด้านหลังชะงักทันที

“แกมานั่งข้างๆฉันนี่” แต่เด็กชายกลับนั่งกอดอกเฉย

“ซีเรียสฉันสั่งให้แกมานั่งข้างๆฉัน เดี๋ยวนี้!” เสียงมารดาของเขาเข้มขึ้นอย่างวางอำนาจ ซีเรียสระบายลมหายใจออกอย่างแรงก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้วย้ายตัวเองมานั่งด้านหลังข้างๆกับแม่ของเขา เด็กชายปิดประตูอย่างแรงเหมือนเป็นการระบายอารมณ์

“พอใจหรือยังล่ะ” เขาถามห้วนๆกับแม่ของเขา นางแบล็คถลึงตามองลูกชาย

“แก อย่ามาใช้คำพูดแบบนี้กับฉัน ซีเรียส” หล่อนจ้องเด็กชายนิ่งก่อนจะออกคำสั่งกับคนขับรถ

“ไปได้แล้ว เร็วด้วย” รถคันโตพุ่งทะยานออกไปจากที่นั่นทันทีที่สิ้นเสียงสั่ง

นางแบล็คลงจากรถและเดินอย่างเร่งรีบตรงเข้าไปในสถานีรถไฟคิงครอสเสียงบ่นดังออกมาจากปากของนางไม่ขาดระยะ

“ทำไมต้องมาขึ้นรถไฟที่นี่ด้วยนะ มีแต่พวกมักเกิ้ลน่ารังเกียจ” ชายคนหนึ่งเดินมาชนกับนางอย่างไม่ตั้งใจ

“ขอโทษครับ” เขายกหมวกกล่าวอย่างสุภาพก่อนจะเดินออกไป นางแบล็คสะบัดผ้าเช็ดหน้าที่ปักตราประจำตระกูลตัวเบ้อเริ่มปัดบริเวณที่ถูกชนด้วยท่าทางขยะแขยง

“พวกต่ำทราม” นางคำรามก่อนจะหันมาเร่งบุตรชายที่เดินทำหน้าเซ็งๆตามมาจากทางด้านหลัง

“เร็วๆหน่อยซิ ฉันไม่อยากโดนตัวพวกมักเกิ้ลพวกนี้อีกนะ กลิ่นของพวกมันฉันก็ไม่อยากจะดม”

“ก็ผมบอกแม่แล้วว่าไม่ต้องมา อยากมาเองนี่ช่วยไม่ได้” ซีเรียสพูดพึมพำนางแบล็คเดินตรงไปยังช่องว่างระหว่างชายชลาที่ 9 และ 10

“เร็วเข้าซีเรียสเดี๋ยวพวกชั้นต่ำนั่นจะเห็น” นางดันหลังเด็กชายอย่างเร็วให้พุ่งหายเข้าไปในกำแพงระหว่างชานชลาที่ 9และ 10 ทั้งคู่ปรากฏออกมายังชานชลาอีกที่หนึ่งด้านบนเขียนไว้ว่า ชานชลาที่ 9 เศษ 3ส่วน4 เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นเหมือนกับจะเร่งให้ทุกๆคนรีบเตรียมตัวออกเดินทาง นางแบล็คสำรวจดูความเรียบร้อยบนตัวของลูกชายซึ่งก็ไม่ต่างไปจากบรรดาพ่อแม่ของคนหนึ่งมากนัก

“ตั้งใจเรียนดีๆล่ะ” เสียงดังมาจากคู่พ่อลูกข้างๆ นางแบล็คเงยหน้าขึ้นมอง แล้วยิ้ม

“พวกมัลฟอย” นางเอ่ยเบาๆแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะได้ยิน

“อ่า คุณนายแบล็ค” เสียงยานๆดังอย่างสุภาพ

“มาส่งลูกชายเหมือนกันหรือครับ” ชายวัยกลางคนผมสีบลอนด์เรียบแปล้ เขามองสำรวจซีเรียสตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเหยียดยิ้มให้ ซีเรียสเบ้หน้าอย่างรำคาญเมื่อเห็นแม่ของเขาทำท่าจะสาธยายเรื่องราวต่อ

“ผมต้องรีบขึ้นรถไฟแล้ว” เขาตะโกนเสียงดังแข่งกับสียงหวูดรถไฟแล้วกระโดดขึ้นไปบนรถทันทีโดยไม่รอกล่าวคำอำลา เสียงยานๆดังไล่หลังเขา

“ท่าทางแกจะดื้อๆนะครับ ไว้ผมจะให้ลูเชียสคอยดูแลแกเอง” ซีเรียสเหลือบสายตามองแม่ของเขาที่กำลังทำตาถลึงมองดูเขาก่อนจะเดินเข้าไปหาที่นั่งอย่างไม่สนใจ

“ซีเรียส มานั่งด้วยกันไหม” เสียงแหลมๆของเด็กผู้หญิงผมสีปลอนด์ดังขึ้น เขาตอบโดยไม่หันไปมอง

“ไม่ ขอบใจ”

“นั่นใครน่ะ นาร์ซิสซา” เสียงเด็กร่างยักษ์ถามเบาๆ

“อ๋อ ซีเรียส ลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง แต่เขาแปลกๆน่ะ”

“แปลกยังไง”

“เขาไม่ชอบพวกเรา พวกเลือดบริสุทธิ์อย่างเราน่ะ” เสียงตอบห้วนกระชากจากเด็กผู้หญิงหน้างออีกคนหนึ่ง ซีเรียสมองดูหล่อน

“อย่าทำตัวน่ารำคาญน่ะ เบลลาทริกซ์”เขาพูดเสียงห้วนๆก่อนจะเดินออกไปอีก เด็กชายเดินไปเรื่อยๆจนถึงตู้สุดท้ายของขบวนเขาเปิดประตูออกแล้วขมวดคิ้ว

“นี่มันจะเต็มกันทั้งขบวนเลยหรือไงเนี่ย” เขาบ่นเบาๆแต่ดังพอที่จะให้คนที่นั่งอยู่ก่อนข้างในได้ยิน เด็กชายผมสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมองดูเขาแล้วยิ้ม

“นายจะเข้ามาก็ได้ ที่ยังว่าง” เขาพูดเบาๆซีเรียสยืนลังเลก่อนตัดสินใจก้าวเข้าไปเขาโยนกระเป๋าขึ้นไปวางบนชั้นวางของที่ยังว่างอยู่แล้วนั่งตรงข้ามกับเด็กชาย เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้งก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากชานชลาสถานี ซีเรียสนั่งมองทิวทัศน์ที่เคลื่อนผ่านไปอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอนตัวพิงกับพนักเบาะอย่างเบื่อๆเขามองไปที่ด้านตรงข้ามเด็กชายผมสีน้ำตาลกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ

“นั่นนายอ่านอะไรน่ะ”

“คาถามาตรฐานน่ะ” เสียงตอบมาเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มน้อยๆ

“ท่าทางนายดูเบื่อๆนะ”

“ก็ทำนองนั้น” ซีเรียสตอบ “ฉันซีเรียส แบล็ค แล้วนาย”

“รีมัส ลูปิน” ซีเรียสเลิกคิ้ว

“พวกตระกูลลูปินงั้นเหรอ” เขาทำหน้ายิ้มๆจนอีกผ่ายทำหน้ายุ่งเล็กน้อย

“พวกฉันทำไมงั้นเหรอ” รีมัส ลูปิน ปิดหนังสือแล้ววางลงข้างๆตัว ซีเรียสโบกมือ

“อย่าเข้าใจผิด ลูปิน ฉันกำลังดีใจที่ได้เจอกับตระกูลพ่อมดที่ดูธรรมดาต่างหาก คือฉันเบื่อพวกเลือดบริสุทธิ์ที่สูงส่งน่ะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“งั้นเหรอ...”

“ซีเรียส เรียกฉันว่าซีเรียสดีกว่า...”

“รีมัส” เด็กชายพูดตอบขรึมๆอย่างเป็นงานเป็นการซีเรียสพยักหน้า

“ตกลงรีมัส” เขาพูดขรึมๆอย่างเป็นงานเป็นการเช่นเดียวกันแล้วทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เสียงประตูเปิดดังขัดจังหวะพวกเขาทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง เด็กชายผมดำใส่แว่นกำลังยืนทำหน้ายุ่งๆอยู่

“นี่ก็ไม่ว่างอีก” เขาบ่นอย่างหัวเสียก่อนทำท่าจะปิดประตู

“ที่ยังว่างอีกเยอะนี่” เสียงรีมัสพูดขึ้น “นายจะมานั่งรวมกับพวกเราก็ได้นะ”

เด็กชายใส่แว่นยักไหล่เหมือนไม่แยแส ซีเรียสขมวดคิ้วทันที

“เฮ้ ! นี่นายน่ะอย่าทำท่าแบบนั้นต่อหน้าพวกเรานะ” เขาพูดเสียงดังอย่างไม่พอใจ

“ทำท่าแบบไหน” เด็กใส่แว่นตอบพลางหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับซีเรียสอย่างท้าทาย

“ทำท่าดูถูกแบบเมื่อกี้น่ะ” ซีเรียสลุกขึ้นยืน

“อ้อ อย่างงั้นเหรอ” เด็กใส่แว่นยักไหล่อีกครั้ง

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ แค่ไม่อยากนั่งรวมกับใครก็แค่นั้น” เขาพูด ซีเรียสจ้องหน้า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอแนะนำให้นายขึ้นไปนั่งบนหลังคารถจะดีกว่านะ นั่นน่ะไม่มีใครมากวนใจนายแน่”ซีเรียสแยกเขี้ยวยิ้มขณะที่อีกฝ่ายจ้องหน้าอย่างโกรธๆ

“ระวังปากหน่อยนะ” เขาโต้กลับ “เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่อยากนั่งรวมกับใครน่ะ พวกสมองน้อย”

“อย่าซีเรียส” เสียงรีมัสร้องห้ามอย่างตกใจเมื่อเห็นซีเรียสพุ่งตัวเข้าใส่เด็กแว่นอย่างเร็วทั้งคู่ล้มลงแต่ยังคงแลกหมัดใส่กันอย่าดุเดือด

“หยุดทั้งคู่เลย เดี๋ยวพวกพรีเฟ็คก็มาเห็นเข้าหรอก” รีมัสพยายามดึงเด็กทั้งคู่ให้แยกออกจากกันแต่ดูเหมือนทั้งสองคนจะไม่ได้สนใจ

“อย่ามายุ่ง” ซีเรียสตวาดก่อนจะผลักรีมัสออกไปเต็มแรงแล้วหันไปเงื้อหมัดใส่เด็กแว่นต่อ เสียงกระแทกผนังดังสนั่นตามมาด้วยเสียงของที่ตกกะทบพื้น ซีเรียสและเด็กแว่นหันไปมองทั้งคู่เบิกตาแล้วร้องออกมาพร้อมๆกัน

“อ้าว เฮ้ย!”

ร่างของรีมัสจมอยู่ใต้กองกระเป๋า ชั้นวางของทั้งชั้นพังทับลงมา ซีเรียสและเด็กแว่นรีบลุกขึ้นมาคุ้ยบรรดาสัมภาระที่กองทับตัวเด็กชายอยู่ก่อนจะดึงชั้นออกมาแล้วพยุงร่างที่ซีดบางขึ้นมานั่ง

“เป็นยังไงบ้าง” ซีเรียสถามอย่างเป็นห่วง รีมัสยกมือขึ้นปาดเลือดที่ไหลซึมออกมาจากศีรษะ

“ไม่เป็นไร” เขาพูดเบาๆ เด็กแว่นรีบสำรวจแผลด้วยสีหน้าวิตก

“ค่อยยังชั่วแผลไม่ลึกมาก” น้ำเสียงดังเหมือนโล่งใจก่อนจะหันไปมองทางชั้นที่พังยับลงมา เขาดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาโบก ชั้นที่พังค่อยๆลอยขึ้นไปที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซีเรียสโบกไม้กายสิทธิ์ให้สัมภาระที่ตกกระจายอยู่กลับไปยังที่เดิม เสียงวิ่งมาตามทางแล้วประตูก็เปิดออก

“เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มที่มีตรา P ที่หน้าอกมองหน้าเด็กทั้งสามแล้วหยุดที่รีมัส เด็กชายยิ้มน้อยๆ

“ชั้นวางของมันพังลงมาน่ะครับ เลยได้แผลมานิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอกครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ พรีเฟ็คคนนั้นมองอย่างไม่เชื่อแต่ก็พยักหน้า

“ระวังกันหน่อยก็แล้วกัน” เขาพูดก่อนจะเลื่อนประตูปิด เสียงเดินห่างออกไป ซีเรียสทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้

“เกือบไป”

“นั่นสิ” เด็กแว่นนั่งลงข้างๆรีมัสหลังจากที่ช่วยทำแผลให้เขาแล้ว

“ขอบใจนะ” รีมัสพูดเบาๆ แล้วทั้งสามคนก็นั่งมองหน้ากันเงียบอยู่พักใหญ่

“ฉัน รีมัส ลูปิน” รีมัสพูดขึ้นเบาๆ

“ซีเรียส แบล็ค”

“เจมส์ พอตเตอร์” เด็กแว่นอมยิ้มเล็กน้อย “ยินดีที่รู้จัก” เขามองหน้าซีเรียสแล้วทั้งสามคนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

“นายนี่ไม่เบาเลยนะ” ซีเรียสพูดขึ้น

“นายก็เหมือนกัน หมัดหนักเอาเรื่อง” เจมส์พูดพลางลูบเบาๆที่หน้า

“นั่นน่ะ แค่เบาะนะ ถ้าฉันเอาจริงขึ้นมาล่ะก็” ซีเรียสคุย

“ป่านนี้พวกเราคงโดนไล่ลงจากรถไฟแล้ว” รีมัสต่อประโยคให้ เจมส์หัวเราะเสียงประตูเปิดอีกครั้ง แม่มดร่างท้วมชะโงกหน้าเข้ามาในห้อง

“รับขนมมั้ยจ๊ะ เด็กๆ” เธอพูดพลางยิ้ม ทั้งสามคนมองหน้ากันก่อนจะลุกขึ้นไปรุมรถเข็นขายของ ทั้งหมดกลับมานั่งที่พร้อมกลับขนมที่หอบกันจนเต็มอ้อมแขน

“ไอ้นี่อะไรน่ะ” ซีเรียสชูกล่องขนมสีสวยกล่องหนึ่งขึ้นมา

“เบอตี้บอต รวมทุกรสอย่าบอกนะว่านายไม่เคยกินน่ะ” เจมส์พูดพลางแกะห่อนูก้าส่งเข้าปากเคี้ยว

“ก็เออน่ะสิ แม่ฉันไม่ให้ฉันกินขนมพวกนี้หรอก” ซีเรียสแกะห่อเบอตี้บอตออกแล้วโยนเข้าปาก

“ระวังนะ” รีมัสร้องเบาๆ ซีเรียสทำหน้าพะอืดพะอมก่อนจะถ่มขนมออกมา เจมส์ยิ้ม

“ที่ว่ารวมทุกรสน่ะ มันทุกรสจริงๆ ตั้งแต่รสขนมต่างๆไปจนถึงรสพริกไทย มีแม้กระทั่งรสขี้หมาหรือรสอาเจียน” รีมัสอธิบาย ซีเรียสเบ้ปาก

“ทำไมไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้ รีมัส” เขายังคงทำหน้าเบ้

“นายกินรสอะไรเข้าไปน่ะ” เจมส์ถามอย่างอยากรู้ ซีเรียสยกแขนขึ้นเช็ดปากก่อนตอบ

“รสถุงเท้าเก่า” เจมส์ปล่อยก๊ากออกมาทันที

“ยอดมากเลยเพื่อน น้อยคนนะที่จะได้รสนี้น่ะ เขาผลิตออกมาน้อยมาก”

“งั้นนายลองดูบ้างสิ” ซีเรียสคว้ากล่องขนมพลางไล่เจมส์ไปรอบๆห้อง รีมัสนั่งมองแล้วหัวเราะ

“นายด้วย” ซีเรียสหันขวับมาทางเขาหลังจากที่เอาเบอตี้บอตใส่ปากเจมส์สำเร็จ รีมัสขยับตัวอย่างระวังแต่ช้าไป ซีเรียสกระโจนพรวดถึงตัวเขาทันทีที่เขาขยับ

“อยากบอกช้าดีนัก” ซีเรียสพูดพลางหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนกำลังถ่มขนมออกจากปาก เด็กทั้งสามคนต่างเล่นกันอย่างสนุกจนขบวนรถเริ่มชะลอลง

“ใกล้จะถึงแล้ว เปลี่ยนชุดกันเร็ว” เจมส์พูด ทั้งสามรีบเปลี่ยนชุดเป็นชุดผ้าคลุมของโรงเรียน ขบวนรถหยุดลงจอดสนิท เด็กทั้งสามรีบกะโดดลงจากรถไฟ รอบๆข้างมืดสนิท

“ปีหนึ่งทางนี้” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้น เด็กๆต่างพากันหันไปมองอย่างตกตะลึง ร่างยักษ์ใหญ่ของคนๆหนึ่งกำลังโบกตะเกียงไปมา

“ตามฉันมา” เขาพูดเสียงดัง

“ปีหนึ่งต้องนั่งเรือข้ามทะเลสาบ ของทิ้งไว้แบบนั้นเดี๋ยวจะมีคนมาขนเข้าไปให้”

เจมส์ ซีเรียสและรีมัสได้นั่งเรือลำเดียวกัน ทั้งสามจ้องฝ่าความมืดแล้วเบิกตาโตเมื่อเห็นแสงไฟระยิบระยับมาจากปราสาทขนาดมโหฬารเบื้องหน้า

“ขอต้อนรับสู่ฮอกวอตส์”

**2**

เสียงพูดอย่างเคร่งขรึมดังขึ้นหลังจากที่เหล่าบรรดาเด็กนักเรียนเดินขึ้นบันไดมาได้ครึ่งทาง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ เบื้องหน้าหญิงอายุราวๆ 30 ปีกำลังยืนอยู่ที่ชั้นบนหน้าห้องโถง ใบหน้าที่เคร่งขรึมบ่งบอกถึงความเจ้าระเบียบเธอมองไล่ไปที่เด็กๆทุกๆคน

“ที่นี่มีการแบ่งเด็กนักเรียนเป็นสี่บ้านได้แก่ กริฟฟินดอร์ เรเวนคลอ สลิธีรินและฮัฟเพิลพัฟ เราจะให้คะแนนเมื่อพวกเธอทำความชอบและตัดคะแนนเมื่อทำความผิดโดยการตัดคะแนนในแต่ละครั้งจะมีผลต่อคะแนนรวมของบ้าน ดังนั้นเพื่อให้บ้านของพวกเธอได้ถ้วยดีเด่นเมื่อสิ้นปีขอให้ทำตัวให้ดีๆ เอ้าทุกคนเดินเข้าแถวตอนเรียงหนึ่งแล้วเดินตามฉันมา”

สิ้นเสียง ศาสตราจารย์มักกอนนากัลเดินนำเด็กๆเข้าไปในห้องโถงที่มีขนาดใหญ่ ที่นั่นมีโต๊ะตั้งเรียงยาวเป็นสี่แถว เจมส์เงยหน้าขึ้นมองดูบนเพดาน เทียนหลายร้อยเล่มห้อยแขวนอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางความมืดมืด

“นั่นน่ะไม่ใช่เพดานจริงๆหรอก” รีมัสพูดเบาๆเจมส์หันไปมอง

“รู้แล้วน่ะฉันก็อ่านหนังสือมาเหมือนกัน” เจมส์พูดเบาๆ

“ฉันอยากรู้วิธีการคัดสรรบ้านจังว่าทำยังไง” ซีเรียสพูดขึ้น เจมส์หันไปมองหน้า

“เรากำลังเดินไปหามันอยู่นี่ไง” เสียงกระแอมเบาๆดังมาจากเด็กที่เดินตามมาจากด้านหลังทั้งคู่หันไปมอง เด็กผู้หญิงผมสีแดงดกหนากำลังมองมายังทั้งสองด้วยดวงตาสีเขียวที่ดูเหมือนตำหนิพวกเขา

“อย่าคุยกันในแถว” เธอกระซิบเสียงดุๆ เจมส์กับซีเรียสยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะหยุดเดินตามคนที่อยู่ด้านหน้า

“นั่นอะไรน่ะ” ซีเรียสกระซิบถามเจมส์

“หมวก” เขาตอบสั้นๆซีเรียสมองหน้าเพื่อนแต่ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดอะไรต่อ หมวกสีดำที่ดูเก่าคร่ำคร่าขยับตัวเคลื่อนไหวรอยยับบนหมวกเหมือนจะกลายเป็นปากและกำลังทำท่าเหมือนพูดอะไรออกมา

“ขอต้อนรับสู่ดินแดนแห่งความรู้

แหล่งเชิดชูผู้วิเศษทั่วแหล่งหล้า

แหล่งกำเนิดเหล่าศาสตร์เวทย์วิทยา

แหล่งผู้กล้า ผู้สร้างหวัง ผู้มีชัย

ก่อกำเนิดการฟันฝ่าอย่างไม่หวั่น

ผู้ฝ่าฟันอันตรายไม่หวั่นไหว

กริฟฟินดอร์ผู้เลื่องชื่อระบือไกล

ความกล้าหาญชาญชัยไม่มีรอง

ชัยชนะที่ได้มาไม่มีแบ่ง

แม้การแข่งไม่มียอมให้เป็นสอง

สลิธีรินทำให้ได้ทุกอย่างครอง

ไม่ต่อรองให้เสียเปรียบกับผู้ใด

ฉลาดล้ำและปราดเปรื่องเรื่องความรู้

ใจนั้นสู้ที่จะแจ้งแถลงไข

มีปัญญายิ่งกว่าทรัพย์สินอื่นใด

เรเวนคลอนั้นแหละไซร้คือผู้ทำ

ความสัตย์ซื่อถือยิ่งกว่าความก้าวหน้า

ฮัพเพิลพัฟนั้นถือว่าสำคัญยิ่ง

รักความซื่อคุณธรรมและความจริง

ทั้งสามสิ่งนี้คือสิ่งสืบเนื่องมา

ทั้งสี่บ้านแม้นแตกต่างที่ความคิด

แต่สิ่งที่ถือยึดติดไว้เป็นที่มั่น

คือความรักสามัคคีอันสำคัญ

ที่ยึดมั่นให้ฮอกวอตส์ยั่งยืนนาน”

หมวกสีดำคร่ำคร่าเงียบเสียงลง รอยหยักที่ปรากฏเป็นรูปปากหุบนิ่งเงียบราวกับรอคอย ศาสตราจารย์มักกอนนากัลสะบัดม้วนกระดาษในมือข้างหนึ่งเบาๆส่วนมืออีกข้างหนึ่งยกหมวกขึ้นชู

“ขอให้นักเรียนที่ได้ขานเรียกชื่อได้เดินออกมาข้างหน้าแล้วนั่งลงบนเก้าอี้นี่” เธอกวาดตามองไปยังเด็กๆทุกคนอย่างดุๆก่อนจะเริ่มขานชื่อ

“แบล็ค, เบลาทริกซ์” เด็กสาวผมดำเดินอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดไปนั่งบนเก้าอี้ ศาสตราจารย์มักกอนนากัลวางหมวกลงบนศรีษะของเธอ

“สลิธีริน” หมวกร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง มีเสียงปรบมือดังมาทางโต๊ะที่อยู่ริมสุด เบลาทริกซ์ แบล็คเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้วยท่าทีดีใจ

“แบล็ค, นาร์ซิสซาร์” เด็กสาวผมสีบลอนด์เดินขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าท่างราวกับนางพญา

“สลิธีริน” หมวกกรีดร้องออกมา

“แบล็ค, ซีเรียส” ซีเรียสหันไปมองเพื่อนๆของเขาก่อนจะเดินนั่งที่เก้าอี้ ศาสตราจารย์มักกอนนากัลวางหมวกลงศีรษะเด็กชาย มันแทบจะกรีดร้องออกมาในทันที

“กริฟฟินดอร์” เสียงฮือฮาดังขึ้นที่โต๊ะของสลิธีริน มีเพียงเบลาทริกซ์และนาร์ซิสซาร์เท่านั้นที่ไม่มีทีท่าว่าจะแปลกใจ ซีเรียสเดินยิ้มด้วยท่าทางที่พอใจอย่างยิ่งไปนั่งรวมกับกลุ่มกริฟฟินดอร์ พวกเขาต่างพากันมาตบไหล่อย่างยินดี

“เอฟเว่นส์, ลิลี่”เด็กสาวผมแดงก้าวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางมั่นใจ

“กริฟฟินดอร์” เธอกระโดดลงจากที่นั่งด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉง เจมส์มองดูอย่างทึ่งๆเขาหันไปทางรีมัสที่มีท่าทางกระสับกระส่าย

“นายไม่เป็นไรนะ” เขาถามรีมัสยิ้มน้อยๆ

“แค่กังวลนิดหน่อยน่ะ” เด็กชายตอบเสียงเบาๆ

“พวกเราต้องได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว” เจมส์พูดด้วยท่าทางที่มั่นใจรีมัสมองหน้าเขา

“อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น”

“เพราะพวกเราเป็นคนดีน่ะสิ” เจมส์ยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์นิดๆ รีมัสหัวเราะออกมาเบาๆ

“ลูปิน, รีมัส” เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองเจมส์แล้วก้าวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ หมวกคัดสรรมีท่าทางที่ดูเหมือนจะลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะร้องออกมา

“กริฟฟินดอร์” เสียงเป่าปากอย่างดีใจดังมาจากโต๊ะของบ้านกริฟฟินดอร์ ซีเรียสกำลังกระโดดไปมาในที่นั่งของเขาขณะที่เจมส์ยิ้มกว้างให้เพื่อนอย่างดีใจ

“ฉันบอกนายแล้วไง” เจมส์กระซิบเบาๆขณะที่รีมัสเดินผ่านเขาเพื่อไปยังโต๊ะของกริฟฟินดอร์ ซีเรียสตบไหล่เด็กชายร่างผอมแรงๆหลายครั้งด้วยความดีใจ

“มัลฟอย, ลูเชียส” เด็กชายหวีผมเรียบแปล้เป็นมันเดินไปนั่งที่เก้าอี้ เจมส์ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่หมวกส่งเขาไปที่บ้านสลิธีริน

“พอตเตอร์, เจมส์” เด็กชายขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งรอหมวกคัดสรรอย่างมั่นใจ

“กริฟฟินดอร์” เขากระโดดแล้ววิ่งลงไปยังกลุ่มเพื่อนอย่างดีใจ

“เงียบๆกันหน่อย” เสียงศาสตราจารย์มักกอนนานกัลพูดขึ้น ทุกคนเงียบกริบทันที

“สเนป, เซอเวอรัส” เด็กชายร่างผอมผมเป็นมันเยิ้มเดินด้วยท่าทางเหมือนไม่มั่นใจขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้

“ฉันคงทนไม่ได้แน่ถ้าหมอนั่นได้มาอยู่ที่นี่” เจมส์กระซิบกับซีเรียส เขาเลิกคิ้วเชิงถาม

“ก็พวกสเนปน่ะหมกมุ่นอยู่แต่ศาสตร์มืดน่ะสิ”

“งั้นไม่ต้องห่วง หมอนั่นไม่มีทางได้มาอยู่กับพวกเราแน่ๆ” ซีเรียสพูดขรึมๆ

“สลิธีริน” เสียงหมวกคัดสรรร้องก้อง เด็กชายผมดำเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะด้วยท่าทางไม่สนใจที่จะพูดคุยกับคนอื่น

“ท็องค์, นิมฟาดอร่า”

“ฉันหิวเป็นบ้า” ซีเรียสบ่นเบาๆขณะที่ตายังคงมองเด็กที่ผลัดกันขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้

“ฉันก็เหมือนกัน อยากรู้จริงๆว่าเขาจะให้พวกเราทั้งหมดเดินไปตักอาหารที่ไหน” เจมส์พูดเบาๆหมุนมองไปรอบๆ

“คงได้รู้ในไม่ช้านี้น่ะแหละ” รีมัสตอบพลางพยักหน้าขึ้นไปบนโต๊ะของอาจารย์ ศาสตราจารย์มักกกอนนากัลม้วนกระดาษเก็บก่อนจะยกหมวกคัดสรรขึ้นไปข้างใน ชายสูงอายุผมและหนวดเป็นสีเงินยืนขึ้น

“ขอกล่าวคำยินดีที่ได้ต้อนรับทุกคน ฉันไม่มีอะไรจะพูดมากนักเพราะพวกเธอคงหิวกันจนไม่อยากฟังแล้ว แต่อย่างว่ามันเป็นหน้าที่ที่อาจารย์ใหญ่อย่างฉันจะต้องลุกขึ้นมาพูดบ้างเล็กๆน้อยๆ ขอพูดสั้นๆก็แล้วกันนะ จัดการให้เรียบ” เขาโบกมือ อาหารนานาชนิดปรากฏขึ้นบนจานทองเหลืองที่ว่างเปล่าเมื่อครู่ เสียงร้องฮือฮาอย่างตื่นเต้นดังขึ้น

“ยอดเยี่ยมมาก นี่มันดีกว่าพวกเอลฟบ้านฉันทำเสียอีก” ซีเรียสพูดพลางคว้าน่องไก่ทอดมาใส่ปากแล้วเคี้ยวกร้วม

“ไม่มีการเกรงใจกันล่ะนะ” เจมส์หยิบเนื้อแกะอบตักใส่จานขณะที่รีมัสตักมันบดลงในจานของเขาบ้าง

หลังจากที่เด็กๆทุกคนจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าจนอิ่มแปร้ อาหารทั้งหมดก็หายวับไปเหลือแต่จานทองเหลืองที่ว่างเปล่า ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ลุกขึ้นยืน

“เมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว ขอให้แยกย้ายกันขึ้นไปพักผ่อนตามหอนอนของแต่ละบ้านโดยพรีเฟ็คจะเป็นผู้นำพวกเธอไป ราตรีสวัสดิ์” เขายิ้มน้อยๆก่อนจะพยักหน้า นักเรียนที่โตกว่าลุกขึ้น

“ปีหนึ่งตามมาทางนี้” พวกเขาพูดขึ้น เด็กๆทุกคนชักแถวเดินตามพรีเฟ็คไปตามระเบียงทางเดิน

“อย่าวิ่งหรือร่ายคาถาใส่กันบนระเบียงทางเดิน” พรีเฟ็คพูดขึ้นแล้วทุกคนก็หยุดที่หน้ารูปภาพสุภาพสตรีร่างท้วม เธอขยับไหวแล้วยิ้ม

“รหัสผ่าน”

“อิทรัสกัน” พรีเฟ็คพูดกรอบรูปเหวี่ยงไปด้านข้างปรากฏช่องผ่านเข้าไปด้านใน

“การเข้าหอนอนแต่ละครั้งต้องมีรหัสผ่าน ซึ่งจะต้องเก็บเป็นความลับในแต่ละบ้านเท่านั้น เราจะเปลี่ยนรหัสใหม่ทุกๆเทอมเพื่อความปลอดภัย” พรีเฟ็คพูดระหว่างเดินนำไปที่ห้องโถงขนาดใหญ่

“นี่คือห้องโถงรวมของบ้าน หอนอนชายอยู่ด้านซ้ายมือ ส่วนหอนอนหญิงขึ้นไปทางด้านขวามือ สัมภาระต่างๆของพวกเธออยู่ในห้องเรียบร้อยแล้วขอให้ทุกคนขึ้นไปพักผ่อนได้ ราตรีสวัสดิ์”

เจมส์ ซีเรียสและรีมัสเดินหาห้องของพวกเขา ทั้งสามคนดีใจมากเมื่อพบว่าได้อยู่ห้องเดียวกัน เด็กชายร่างเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางประหม่า

“เอ่อ ขอโทษนะคือว่าฉันคิดว่าฉันอยู่ห้องนี้ด้วยเหมือนกันน่ะ” เขาพูดตะกุกตะกัก ซีเรียสมองอย่ารำคาญ

“แล้วไง นายก็ไปหาเตียงของนายสิ” เขากระโดดขึ้นเตียงของตัวเองโดยมีเจมส์ทำแบบเดียวกันอยู่บนเตียงข้างๆ

“ไม่เอาน่ะ ซีเรียส นายไม่เห็นเหรอว่านายกำลังทำให้เขาตกใจน่ะ” รีมัสพูดเบาๆ ซีเรียสฉีกยิ้มอย่างถูกใจ

“นายชื่ออะไรน่ะ” เขาถามเสียงดัง เด็กชายร่างเล็กสะดุ้งสุดตัวก่อนตอบ

“ป..ปีเตอร์ ปีเตอร์ เพ็ตตริกรูว์” เขาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นกระตุก รีมัสยิ้มก่อนยืนมือให้เขา

“ฉันรีมัส ลูปิน คนใส่แว่นนั่นเจมส์ พอตเตอร์ ส่วนคนที่กำลังข่มขู่นายนั่น”

“เฮ้ๆ ใครข่มขู่หมอนี่กัน พูดให้ดีนะเพื่อน” ซีเรียสส่งเสียงขัดขึ้นมาทันที รีมัสยิ้มน้อยๆแล้วพูดต่อ

“ซีเรียส แบล็ค”

“พวกตระกูลแบล็คที่สูงส่งนั่นน่ะเหรอ” ปีเตอร์พูดเสียงเบาๆ ซีเรียสขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันที

“ถ้านายอยากอยู่ร่วมกับฉัน อย่าพูดแบบนี้อีกไม่อย่างนั้นฉันจะจับนายโยนออกไปเดี๋ยวนี้เลย” เขาลุกขึ้นยืนใบหน้าบูดบึ้ง ปีเตอร์ถอยหลังด้วยความกลัว

“ไม่เอาน่าซีเรียส” รีมัสปรามเบาๆ “เขาตกใจแทบแย่แล้วนะ”

“ดี จะได้เลิกพูดบ้าๆแบบนั้นออกมาอีก” ซีเรียสมองหน้าปีเตอร์นิ่ง เขาก้มหน้าน้ำตาคลอ

“ฉัน ขอโทษ ฉันไม่รู้ว่านายไม่ชอบ”

“เออ ทีนี้ก็รับรู้ไว้ซะ แล้วอย่าให้ฉันได้ยินอีกไม่อย่างนั้นนายจะกลายเป็นคนไม่มีปากตลอดไป” ซีเรียสพูดด้วยเสียงต่ำๆที่ฟังแล้วน่ากลัว

“พอแล้วน่ะ” เจมส์พูดขึ้นมาแล้วหันไปทางปีเตอร์

“นายก็ไปนอนได้แล้ว แล้วเลิกทำตัวสั่นแบบนั้นซะทีเห็นแล้วน่ารำคาญ” เขาพูดพลางลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ซีเรียสพ่นลมหายใจพรืดออกมาก่อนจะทำแบบเดียวกัน รีมัสตบไหล่ปีเตอร์เบาๆอย่างให้กำลังใจ

“พักผ่อนกันได้แล้ว ปีเตอร์” เขาพูดเสียงอ่อนๆก่อนจะเดินไปที่เตียงของตัวเองแล้วเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดนอนบ้าง ปีเตอร์หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มทำตาม เขาปีนขึ้นเตียงแล้วปลดผ้าม่านลงมาคลุม

“ราตรีสวัสดิ์” เขาพูดเบาๆก่อนจะรีบมุดเข้าไปนอนเงียบ

“ราตรีสวัสดิ์เพื่อน” รีมัสตอบพลางหันไปทางซีเรียสและเจมส์ ทั้งคู่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดพร้อมกันเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์เช่นกันเพื่อน”

เสียงขยับตัวค่อยๆเบาลงเมื่อทุกๆคนเริ่มหลับสนิท ดวงจันทร์ที่มีอยู่ครึ่งดวงฉายแสงผ่านเข้ามาในห้อง ก่อนที่เมฆจะเลื่อนตัวเข้ามาบัง ความมืดเข้ามาแทนที่ ความเงียบสงบเข้ามาปกคลุมทุกหนทุกแห่ง


**3**

เสียงวิ่งอย่างร้อนรนดังขึ้น เจมส์ ซีเรียส รีมัสและปีเตอร์ต่างพากันวิ่งแข่งกันไปที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้าก่อนเข้าเรียน

“เร็วหน่อยปีเตอร์ เดี๋ยวไม่ทันเรียนคาบแรกกันพอดี” เจมส์ร้องเร่งปีเตอร์ที่ทำท่าเหมือนจะหยุดวิ่ง

“ฉันวิ่งไม่ไหวนี่ อีกอย่างเขาห้ามวิ่งบนระเบียงนี่ไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ ถ้าอาจารย์ไม่เห็นน่ะ” เจมส์ยักคิ้วกับซีเรียส รีมัสส่ายหน้า

“ถ้านายคิดแบบนี้ล่ะก็นะ เราคงต้องเสียคะแนนเข้าสักวัน” เขาพูดเบาๆ ทั้งสี่คนวิ่งไปจนจวนจะถึงประตูทางเข้าห้องอาหารแต่มีอันต้องหยุดชะงักอย่างกระทันหัน ศาสตราจารย์มักกอนนากัลกำลังยืนจ้องเขม็งมายังพวกเขา

“ฉันคิดว่าพรีเฟ็คได้แจ้งให้พวกเธอได้ทราบกฏของที่นี่แล้วว่าห้ามวิ่งบนระเบียงทางเดินสายตาที่ดุดันจ้องมองนิ่งก่อนที่จะ

“หักคะแนนทั้งสี่คน 4 คะแนน ฐานวิ่งบนระเบียงทางเดิน” ซีเรียสตาโต

“อะไรนะครับ ตั้ง 4 คะแนน อาจารย์เป็นอาจารยประจำบ้านของพวกเรานะครับ” เขาท้วงแต่ต้องเงียบเมื่อโดนจ้องกลับด้วยสายตาที่เอาเรื่อง

“เพราะพวกเธอเป็นด็กในปกครองของฉันน่ะสิ ถ้าเป็นคนอื่นฉันจะหักคนละ 5 คะแนนด้วยซ้ำ เอ้ารีบๆเข้าห้องอาหารได้แล้ว พวกเธอต้องเรียนกับฉันในคาบแรกนะ ถ้ามีใครไปสายล่ะก็ฉันไม่ไว้หน้าแน่ๆ” เธอมองอย่างเอาเรื่องทั้งสี่คนขยับตัว

“เดี๋ยวก่อนมิสเตอร์ลูปิน เธอมากับฉันก่อน” เสียงศาสตราจารย์มักกอนนากัลเรียก เด็กชายชะงักเขาหันไปมองเพื่อๆที่มีสีหน้างงๆเช่นเดียวกันก่อนจะส่งยิ้มให้แล้วเดินตามศาสตรารจารย์มักกอนนากัลไปอย่างเงียบๆ

“รีมัสไปทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอถึงได้โดนเรียกไปแบบนั้นน่ะ” ปีเตอร์ถามเบาๆขณะที่กำลังตักอาหารใส่จานของตัวเอง

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าในพวกเราจะมีใครโดนเรียกไปเพื่อทำโทษแล้วล่ะก็นะ น่าจะเป็นเราสองคนมากกว่า” ซีเรียสพูดพลางหันไปทางเจมส์ เขาพยักหน้า

“สงสัยคงต้องแอบเอาไอ้นี่ไปห้องเรียนด้วยแล้ว” ซีเรียสพูดพลางยัดขนมปังสี่ห้าก้อนลงกระเป๋าเสื้อคลุมปีเตอร์มองดูเขาอย่างงๆ

“นายจะแอบเข้าไปกินในห้องเรียนอย่างนั้นเหรอซีเรียส” เขาถามเสียงหวั่นๆซีเรียสมองอย่างรำคาญ

“รีมัสน่ะมาไม่ทันอาหารเช้าอยู่แล้วล่ะ” เขาเหลือบตาขึ้นมองดูเจมส์ที่กำลังแอบถ่ายน้ำฟักทองลงในขวดเล็กๆแล้วปิดฝา

“เรียบร้อยพวกเราไปกันเถอะ” ซีเรียสพูดก่อนจะลุกเดินออกจากห้องอาหารไปอย่างเร็วโดยมีเพื่อนอีกสองคนเดินตามไปติดๆ

ซีเรียสรีบก้าวพรวดเข้าไปในห้องเรียนวิชาการแปลงร่างอย่างเร็วชนิดที่เรียกได้ว่ากระโดดเข้าไป เขาทำสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นรีมัสกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะจ้องมองไปยังกระดานดำด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเพื่อน

“นายโดนทำโทษเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ รีมัส” ซีเรียสถามด้วยความเป็นห่วง รีมัสยิ้มน้อยๆก่อนส่ายหน้า

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกเพื่อน ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์เรียกฉันไปเรื่องสุขภาพต่างหาก” เขาอธิบายเสียงเบา เจมส์ที่เดินมานั่งข้างๆโยกตัวมาใกล้ๆ

“สุขภาพใคร” เขาถามเสียงร้อนรน

“ของฉันเอง คือร่างกายฉันไม่ค่อยแข็งแรงน่ะไม่สบายบ่อยๆ” รีมัสพูดด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

“จะว่าไป” เจมส์มองดูเพื่อนของเขาที่นั่งหน้าซีดอยู่อย่างไตร่ตรอง

“นายก็ดูซีดๆเซียวๆจริงๆน่ะแหละ” เขาทำเป็นยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของรีมัสแล้วอุทานเบาๆ

“ตายล่ะ นายมีไข้นี่ต้องรีบพาไปส่งห้องพยาบาลแล้ว”ซีเรียสรีบลุกขึ้นทันทีในขณะที่ปีเตอร์ยังคงทำหน้างงๆ

“ไม่ต้องเลยเพื่อน นายอย่ามาหาเรื่องหนีเรียนตั้งแต่คาบแรกเลย โดยเฉพาะวิชาของศาสตรารจารย์มักกอนนากัลนี่ด้วย” รีมัสพูดยิ้มๆ เจมส์หัวเราะแล้วดึงซีเรียสให้นั่งลง

“ถ้าอย่างนั้นก็เอานี่ไปก่อน” ซีเรียสล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วหยิบขนมปังออกมาส่งให้รีมัสในขณะที่เจมส์ดึงขวดน้ำฟักทองออกมา

“รีบกินก่อนที่อาจารย์จะมา” รีมัสมองดูเพื่อนทั้งสองด้วยความขอบคุณก่อนจะรีบกินขนมปังทั้งหมดอย่างรวดเร็วขนมปังคำสุดท้ายถูกกลืนลงคอทันเวลากับที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลเดินเข้ามาในห้องพอดี เธอมีพรสวรรค์อย่างยิ่งยวดในการที่ทำให้เด็กทุกๆคนในชั้นเรียนเงียบเสียงลงได้โดยไม่ต้องพูดอะไรออกมา สายตาที่คมกริบกวาดมองไปรอบๆห้อง

“สวัสดีทุกคน ก่อนอื่นฉันต้องเตือนพวกเธอว่าการเรียนวิชาการแปลงร่างไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเธอคิด มันเป็นศาสตร์ที่มีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ในการที่เราจะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อะไรบางอย่างให้เปลี่ยนไป ฉันจะมีเมตตาสำหรับคนที่มีความตั้งใจเรียนอย่างที่สุด ในขณะเดียวกันฉันจะทำสิ่งตรงกันข้ามสำหรับคนที่ไม่ให้ความสำคัญต่อการสอนของฉัน และหวังอย่างยิ่งว่าคงไม่มีใครสอบวิชาของฉันไม่ผ่านนะ”

เสียงระฆังหมดคาบดังขึ้น สหายทั้งสี่ต่างพากันเดินออกมาจากห้องเรียนแล้วรีบเดินต่อไปยังห้องเรียนที่คุกใต้ดินเพื่อเรียนวิชาการปรุงยา

“นายทำได้ยังไงน่ะซีเรียส” ปีเตอร์ถามเสียงสั่นๆ “ฉันหมายถึงนายสามารถเสกคาถาแปลงร่างนั่นได้ยังไงกันนี่มันครั้งแรกที่เราเรียนกันเลยนะ” ซีเรียสทำหน้านิ่ว

“แล้วนายมาถามฉันคนเดียวทำไม ไม่ถามเจมส์กับรีมัสบ้างล่ะสองคนนั่นก็ทำได้เหมือนกันนี่” เขาพูดทำนองรำคาญก่อนจะเปิดประตูคุกห้องใต้ดินเข้าไปแล้วนั่งบริเวณแถวหน้า เด็กชายทำหน้ายุ่งๆเมื่อเห็นเพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว

“ไง ซีเรียส นั่นเพื่อนใหม่เธออย่างนั้นเหรอ” เสียงดังมาจากเด็กสาวผมดำสนิทซีเรียสไม่ตอบอะไรเขาเพียงแต่นั่งลงเฉยแล้วดึงสมุดออกมาจากกระเป๋าของเขา

“ช่างเลือกเพื่อนได้เหมาะสมดีจริงๆเจ้าพอตเตอร์นั่นน่ะสุดยอดแห่งการฝักใฝ่ในพวกมักเกิ้ลเลยนะ” เสียงยานๆของลูเชียส มัลฟอยดังขึ้น

“แล้วยังพวกลูปินซอมซ่อนั่นอีก” เด็กชายผมบลอนด์ยังคงพูดเสียงยานๆต่อไปเรื่อยๆด้วยท่าทางดูแคลน ซีเรียสหันไปมองหน้าลูเชียส

“ระวังปากหน่อย มัลฟอย” เขาพูดเสียงดัง “อย่าคิดว่าตัวเองวิเศษสูงส่งนักสิ” เขากวาดตามองกลุ่มเด็กสลิธีริน

“พวกเราแค่รู้จักคบคนที่มีระดับเท่าๆกัน ซีเรียส” เสียงหยิ่งๆของนาร์ซิสซาร์ดังขึ้นมา เบลาทริกซ์หัวเราะเบาๆ

“อย่าไปสนใจพวกชนชั้นต่ำๆแบบนี้เลย นาร์ซิสซาร์” เธอพูดเสียงดัง “ซีเรียสน่ะเขาชอบทำตัวต่ำๆแบบนั้นเสมอแหละ”

“เธอว่ายังไงนะ” ซีเรียสลุกขึ้นตวาดเสียงดัง เด็กๆทุกคนเงยหน้าขึ้นมองทันที

“ฉันไม่สนว่าแม่จะให้ท้ายเธอยังไง เบลาทริกซ์ แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านตระกูลแบล็ค ไม่มีคนคอยให้ท้ายเธอเพราะฉะนั้นอย่ามาทำยะโสกับฉัน” เขาจ้องหน้าเบลาทริกซ์นิ่ง

“มันก็ไม่จำเป็นหรอกนะว่าคนให้ท้ายฉันจะต้องเป็นคนที่บ้านเสมอไปน่ะ ซีเรียส” เบลาทริกซ์พูดเสียงเข้มขณะที่จ้องหน้าเขากลับอย่างไม่กลัวเกรง

“หมายความว่ายังไง” เขาถามเสียงก้อง

“หมายความว่าเธอจะต้องโดนหักคะแนนโทษฐานก่อความไม่สงบในห้องเรียนของฉันน่ะสิ มิสเตอร์แบล็ค” เสียงนุ่มเบาแต่เยือกเย็นดังขึ้น ซีเรียสหันไปมอง ชายวัยกลางคนร่างผอมสูงหน้าสีเหลืองซีดกำลังยืนจ้องมายังเขา รอยยิ้มเหยียดจางๆปรากฏที่มุมปาก

“วันแรก แค่ 5 คะแนนคงพอสำหรับเธอนะนั่งลงได้แล้ว” เขาเดินสะบัดผ้าคลุมขึ้นไปนั่งประจำบนโต๊ะอาจารย์

“นั่งลงน่ะซีเรียส” เจมส์พูดเบาๆ ซีเรียสกำมือแน่นก่อนจะค่อยๆนั่งลง

“นั่นน่ะ ศาสตราจารย์เวนอัม โซโรอัสเตอร์เป็นอาจารย์ประจำบ้านสลิธีริน แล้วเขายังเป็นอาจารย์สอนวิชาปรุงยาด้วย” รีมัสกระซิบบอก ซีเรียสกัดฟันแน่น เขาเพิ่งเข้าใจความหมายที่เบลาทริกซ์พูดเรื่องการให้ท้ายพวกเธอ

“อย่ามีเรื่องกับพวกนั้นในชั่วโมงนี้จะดีกว่านะ” รีมัสเตือนเบาๆก่อนจะหยิบปากกาขนนกขึ้นมาเริ่มจดเล็คเชอร์ตามอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าชั้นอย่างตั้งใจ

“นี่มันอะไรกันน่ะ เพ็ตตริกรูว์” เสียงศาสตราจารย์โซโรอัสเตอร์พูดขึ้นหลังจากที่เดินสำรวจเด็กๆทุกคนรอบๆห้อง

“นี่น่ะรึที่เขาเรียกกันว่าการเคี่ยวทากมีเขาน่ะ” เขาตักเนื้อทากที่เละขึ้นมาแล้วเทกลับลงไปในหม้อ

“ไม่ได้สนใจที่ฉันพูดเมื่อครู่เลย ใช่ไหม” เขาจ้องหน้าปีเตอร์แล้วแสยะยิ้ม

“หักกริฟฟินดอร์ 1 คะแนน” เขาเดินกลับมาที่ซีเรียสและพยายามจะหาเรื่องหักคะแนนหรือติเตียนวิธีการปรุงยาของเด็กชายแต่ดูเหมือนเขาจะหาข้ออ้างอะไรไม่ได้จึงหันไปที่เจมส์ทันที

“ตั้งใจเรียนหน่อย พอตเตอร์อย่ามัวแต่เล่น” เขามองลงไปในหม้อยาของเจมส์ที่เช่นเดียวกับของซีเรียสที่ไม่สามารถหาข้อตำหนิใดๆมาลงโทษเด็กชายได้

“อ้อ ลูปิน” เขาหมุนไปทางรีมัส เด็กชายหน้าซีดเล็กน้อย

“ท่าทางเธอจะปรุงยานี่ได้ดีนะ คิดจะเอาไปใช้เองบ้างไหมล่ะ มันคงไม่เลวสำหรับเธอหรอกนะ ใช่ไหม” เขาจ้องหน้าเด็กชายที่ดูซีดลง

“ครับ ศาสตราจารย์” รีมัสตอบเสียงเบา โซโรอัสเตอร์ยิ้มแสยะด้วยท่าทางพึงพอใจก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง เสียงระฆังดังขึ้น

“เขียนรายงานเรื่องการปรุงยาบำรุงร่างกายอย่างง่ายมาส่งฉัน ความยาวสองม้วนกระดาษส่งพุธนี้” เขาร้องสั่งก่อนจะปล่อยตัวเด็กๆออกจากห้องเรียน

“ทำไมหมอนั่นถึงได้เล่นงานนายน่ะรีมัส” เจมส์ถามขึ้นอย่างสงสัยในห้องอาหาร รีมัสส่ายหน้าน้อยๆขณะที่กำลังตักเนื้อแกะอบใส่จาน

“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม” เขาเคี้ยวอาหารช้าๆแล้วยกแก้วน้ำฟักทองขึ้นดื่มด้วยท่าทางไม่สนใจ ซีเรียสมองหน้าเพื่อน

“เหมือนเขากำลังข่มขู่นายมากกว่านะ หรือว่าไง” ซีเรียสจ้องหน้าราวกับจะจับผิด รีมัสยิ้มน้อยๆ

“ฉันว่าพวกนายคิดมากไปเองมากกว่า รีบๆกินกันดีกว่าจะได้ไปพักผ่อนเร็วๆ” เขาหันไปสนใจอาหารตรงหน้าราวกับจะตัดบทสนทนาทั้งหมด เจมส์และซีเรียสได้แต่มองหน้ากันก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารอย่างเร็ว

..................................................................................................................................................

หลังจากเปิดเทอมผ่านไปได้ราวหนึ่งอาทิตย์ เจมส์และซีเรียสรู้สึกกังวลกับท่าทีของรีมัสเป็นอย่างมาก เขาดูอ่อนแอลงทุกวัน

“นายไม่เป็นไรนะ” เจมส์ถามขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ซีเรียสชะงักมือที่กำลังหยิบน่องไก่ทอดแล้วมองหน้ารีมัสบ้าง

“นายหน้าซีดมากเลย แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรน่ะ” เขาถามเสียงค่อนข้างดัง รีมัสยิ้ม

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ขอบใจมากที่เป็นห่วง เพื่อน” เขาก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารตรงหน้าเงียบๆ

“ฉันว่านายน่าจะไปหามาดามพอมฟรีย์นะ” เจมส์พูดเบาๆ

“โดยหนีวิชาการปรุงยาน่ะเหรอ ไม่ดีกว่าพื่อน” รีมัสตอบเบาๆ

“ไม่ได้หนี แค่ไปห้องพยาบาล” ซีเรียสแก้ รีมัสยิ้ม

“โดยมีนายสองคนเป็นคนไปส่ง ใช้เวลาเดินทางไปห้องพยาบาลสองคาบเรียนใช่ไหม” เขาดักคอ เจมส์ยิ้ม

“ใช่เพื่อน”

“ถ้าอย่างนั้น ไม่มีทาง” รีมัสตอบพลางยกแก้วน้ำฟักทองขึ้นมาดื่มแล้วลุกขึ้น ซีเรียสมองอย่างงงๆ

“นั่นนายจะไปไหน”

“ห้องสมุด” รีมัสตอบสั้นๆก่อนจะขอตัวเดินออกไปก่อน

“แล้วเจอกันที่ห้องเรียน” เจมส์ตะโกนไล่หลังก่อนจะหันมาแย่งน่องไก่จากปากของเพื่อนรักของเขา

“เฮ้” ซีเรียสร้องเบาๆแล้วหัวเราะ