(A Rationalist's Guide to
Chocolate Orange: We Don't Know, But We Think We Have a Pretty Good Guess)
เขียนโดย Ben H. (Acemyth)
แปลและเรียบเรียงโดย t. riddle
ลองสรุปบทความที่ชื่อว่า A Rationalist's Guide to Chocolate
Orange: We Don't Know, But We Think We Have a Pretty Good
Guess ของ Ben H. (Acemyth) มาดูคะ เพราะเห็นว่าเขียนได้น่าสนใจดี ดูมีหลักการดีที่เดียว
แต่จะให้แปลทั้งบทความเต็มๆ คงไม่ไหว เพราะยาวมากๆ
คนเขียนยังยอมรับเลยว่ายาวอย่างกับวิทยานิพนธ์ จนมีคนแซวว่าเขียนทั้งยาว
ทั้งจริงจัง อย่างกับว่าสันติภาพของโลกขึ้นอยู่กับงานชิ้นนี้
เราก็เลยแค่สรุปประเด็นที่น่าสนใจมาดู
โครงสร้างของบทความนี้จะแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ 1) บทนำ 2)
การหาเหตุผลสนับสนุน H/G โดยตั้งข้อสังเกตจากรูปแบบวรรณคดี
3) การหาเหตุผลสนับสนุน H/G โดยอ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ของ
เจ เค โรว์ลิ่ง ซึ่งเราเน้นแปลเฉพาะในส่วนที่ 2 แต่ในส่วนที่ 3
เราจะสรุปอย่างย่อมากๆ เพราะถึงแม้คนเขียนทำการบ้านมาดีมากจริงๆ โดยเอาบทสัมภาษณ์ที่พาดพิงถึงประเด็นระหว่าง
แฮร์รี่ จินนี่ และเฮอร์ไมโอนี่ ที่เชื่อว่าทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
มาลงลึกวิเคราะห์ตัวบทสัมภาษณ์ และเอาบริบทแวดล้อมมาประกอบ
แต่เราเห็นว่าแค่ส่วนที่สองของบทความก็ยาวมากๆแล้ว กลัวคนอ่านจะเบื่อซะก่อน
และเห็นว่าส่วนหลังนี้หนักไปทางชี้ว่า เฮอร์ไมโอนี่ไม่ใช่คนที่จะคู่กับแฮร์รี่
มากกว่าจะหาเหตุผลสนับสนุนจินนี่ ก็เลยขอละไว้ก่อน
ไว้วันหลังจะมาลองแปลส่วนที่สามนี้เพิ่มละกัน (อืม...ขี้เกียจก็บอกมาตรงๆเหอะ)
ก่อนเข้าประเด็น คนขียนเกริ่นนำว่า เขาไม่ได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนใจใคร
(จริงๆแล้วตั้งใจเขียนไว้อ่านเองเดาว่าเอาไว้เป็นคู่มือแต่งฟิค)
แต่ต้องการให้เห็นว่าทำไมเขาถึงเชื่อมั่นว่าคนที่แฮร์รี่จะลงเอยด้วยถึงเป็นจินนี่
ทั้งๆถ้าดูตามรูปการตอนนี้แล้วดูจะเป็นไปได้น้อยที่เดียว มาถึงเล่ม 5
แล้วยังเพิ่งจะเริ่มเป็นเพื่อนกันเอง แถมเจ้าจินนี่ยังเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นอีก
คนเขียนยอมรับว่าเขาไม่ได้คิดข้อสังเกตในบทความนี้เองทั้งหมด
แต่รวมเอาข้อโต้แย้งที่เคยอ่านเจอจากที่ต่างๆ มารวมกับความคิดของตัวเอง
ข้อโต้แย้งบางข้อจึงอาจเคยผ่านตามาบ้างแล้ว แต่จะนำมาเสนอในมุมมองใหม่ นอกจากนี้
บทความนี้จะไม่ลงไปนำบทสนทนา และ
ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องระหว่างแฮร์รี่กับจินนี่ -โดยเฉพาะในเล่ม 5
ที่มีช่วงเวลาน่ารักๆด้วยกัน -
มาวิเคราะห์ว่าเจเคพยายามสร้างให้นิสัยใจคอของตัวละครทั้งสองตัว
เหมาะสมหรือเข้ากันได้มากเพียงใด เพราะเห็นว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล
ซ้ำตัวละครยังสามารถมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้ตลอดเวลา
อ้าว ถ้างั้นบทความนี้จะพิสูจน์ยังไงว่าจินนี่จะกลายเป็นสาวน้อยผู้โชคดี (เอ
หรือโชคร้ายนะ) คนเขียนบอกว่าเขาเชื่อเช่นนั้นก็เพราะ รูปแบบวรรณคดี ของวรรณกรรมเรื่องนี้ รวมถึง
foreshadowing หรือ
เทคนิคทางวรรณคดีในการเตรียมคนอ่านว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นโดยใช้ สัญญาณบอกเหตุล่วงหน้า ต่างดูเหมือนจะชี้ลงไปว่าเจเคได้เตรียมจินนี่ไว้เป็นสาวน้อยคนนั้น
และที่สำคัญแม้ผู้ประพันธ์หนังสืออาจจะทำให้อุปนิสัยของตัวละครมีพัฒนาการไปทางใดก็ได้
แต่ก็ไม่อาจทิ้งหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาณบอกเหตุที่ตัวเองเขียนลงไปแล้วได้
จริงอยู่ที่สัญญาณบอกเหตุที่เรากำลังจะกล่าวถึงกันอยู่ก็ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคลเหมือนกันว่าอะไรเป็นเหตุการณ์ธรรมดา
อะไรเป็นสัญญาณบอกเหตุ สิ่งที่ควรคิดเวลาอ่านคือ เหตุการณ์ที่เรากำลังจะยกมาเป็นประเด็นนี่
ถ้าไม่ได้มีไว้เพื่อเตรียมคนอ่านไว้ว่า H/G จะเกิดขึ้น เจเคจะใส่ไว้เพื่ออะไร
แล้วสัญญาณที่ว่ามีอะไรบ้าง
1) ฉาก climax ใน The Chamber of Secrets
สัญญาณบอกเหตุที่ใหญ่ และดูจะมีน้ำหนักที่สุดคือ ฉากclimax
ใน COS (หนังสือเล่มที่ เจเคย้ำนักย้ำหนาว่าได้ซ่อนอะไรสำคัญๆ
เอาไว้เยอะ ผู้แปล)
ที่แฮร์รี่ลงไปที่ห้องแห่งความลับเพื่อช่วยชีวิตจินนี่ และปราบงูบาซิลิสก์
ในแง่ของวรรณคดี งูและมังกรเป็นตัวแทนของสิ่งเดียวกัน และมักใช้แทนกันได้
ซึ่งนี่ทำให้ฉากนี้ทั้งฉากเป็นการเลียนฉากประเภท แล้ววีรบุรุษก็เสี่ยงภัยไปปราบมังกร
เพื่อช่วยสาวน้อยผู้แสนบริสุทธิ์ ซึ่งมักปรากฏในตำนานและวรรณคดีอมตะต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำนานที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในอย่างตำนานของ
St. George นักบุญผู้อุปถัมภ์ประเทศอังกฤษ
ซึ่งเชื่อกันว่ามีที่มาจากตำนานของวีรบุรุษเพอร์ซีอุส
ผู้ช่วยเจ้าหญิงอันโดรเมดาจากมังกรทะเล
โดยที่เจเคได้นำเอาตำนานเก่าแก่นี้มาดัดแปลง สอดแทรก
และผสมผสานกับเรื่องของแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้อย่างแนบเนียนและมีหักมุมหน่อยๆ
Steve
Kolves ผู้เขียนบทภาพยนตร์ก็ได้ตอกย้ำประเด็นนี้ด้วยการระบุชัดเจนลงไปในบทภาพยนตร์ว่า
แล้วแฮร์รี่ก็กวัดไกวดาบในมือ
เพื่อต่อสู้กับงูบาซิลิสก์ที่เข้ามาโจมตี เฉกเช่นที่ St. George
ต่อสู้กับมังกรร้าย (ร่างสุดท้ายของบทภาพยนตร์
The Chamber of Secrets ฉาก 133B)
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าสาวน้อยที่วีรบุรุษของเรื่องเสี่ยงภัยเข้าไปช่วยนั้นมักจะได้เป็นสาวคนรักของเขา
ถึงแม้ว่าแฮร์รี่จะไม่ได้สนใจจินนี่ในแง่อย่างนั้นเลยตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
และทั้งคู่ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเป็นไปตามบทของวีรบุรุษและสาวผู้จะกลายเป็นคนรักของเขาในตำนานเก่าแก่และนิทานปรัมปราของทางตะวันตก
รวมทั้งตำนานของชาติอังกฤษเอง แต่เจเครู้ตัวดีแน่นอนว่ากำลังทำอะไรอยู่
และคุณคงไม่สอดแทรกตำนานเข้าไปในนิยายของคุณ แล้วทิ้งไว้เฉยๆ
ไม่นำมาสานต่อในภายหลัง เว้นเสียแต่ว่า
เจเคอาจแค่อยากใส่เหตุการณ์นี้เพื่อยกระดับหนังสือให้ดูยิ่งใหญ่ขึ้น
โดนไม่มีความตั้งใจที่จะนำแง่มุมในเรื่องความรักนี้มาเกี่ยวข้องในภายหลังก็ได้
ก็จริง แต่ให้ช่วยลองอ่านต่อไปก่อนละกันนะคะ
2) เรื่องราวของเด็กโรงเรียนประจำ
ในแง่ของวรรณคดีวิเคราะห์ เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์สามารถจัดอยู่ได้หลายประเภท
แต่ประเภทที่โดดเด่นที่สุดประเภทหนึ่งคือ แนวเด็กโรงเรียนประจำ
(boarding school story) ซึ่งเป็นสาขาที่แตกแขนงมาจากวรรณกรรมประเภทเด็กนักเรียน
อาจกล่าวได้ว่าวรรณกรรมประเภทเด็กโรงเรียนประจำนี้เป็นแนวเฉพาะที่ประเทศอังกฤษพัฒนาขึ้นมา
อันเป็นผลมาจากยุคล่าอาณานิคมในสมัยก่อนที่พ่อแม่ผู้ปกครองจากชนชั้นกลางและชนชั้นสูงของอังกฤษมีนิสัยแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
คือชอบขับไล่ไสส่งลูกชายไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่ยังเด็กๆ
จนเป็นที่มาของวรรณกรรมคลาสสิกชื่อดัง (ในอังกฤษ) อย่าง
Tom Browns Schooldays ของ Thomas Huges และ
The Crofton Boys ของ Harriet Martineau
ทีนี้ หนังสือประเภทเด็กโรงเรียนประจำนี้
จะมีอยู่พลอตหนึ่งที่นิยมใช้กันประจำคือ
เพื่อนรักสองคนมักกลายเป็นพี่เขยน้องเขยกันไป
ด้วยการให้พระเอกลงเอยกับน้องสาวของเพื่อนรักซะ
ซึ่งพลอตแบบนี้ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียว เก็บพลอตได้สองพลอตพร้อมกัน
คือพระเอกของเราก็ยังคงได้ซี้ปึ้กสนิทแนบแน่นกับเพื่อนรักต่อไป
แถมยังได้มีครอบครัวตามที่อยากได้นักหนา
เพราะตัวเองถูกพลัดพรากจากครอบครัวของตนมาตั้งแต่เล็กๆ
บังเอิญว่าในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เพื่อนรักของพระเอกก็ดันมีน้องสาวคนเดียว
อายุก็ไล่เลี่ยกับพระเอก (และเราก็เป็นที่รู้กันจากฉากกระจกแห่งแอริแซดว่า สิ่งที่แฮร์รี่ปรารถนามากที่สุดคือครอบครัว
และครอบครัวที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นที่สุด ที่เขารักที่สุดคือ ครอบครัววีสลีย์ผู้แปล) เป็นไปได้ไหมว่าการแนะนำให้รู้จักแผนผังครอบครัวตระกูลแบล็ค
และการเกริ่นถึงความนิยมในการแต่งงานระหว่างตระกูลผู้วิเศษ คือสัญญาณบอกเหตุอีกอันหนึ่ง
ผู้อ่านอาจแย้งว่าไม่จำเป็นที่เรื่องนี้จะจบเหมือนเรื่องเด็กโรงเรียนประจำอื่นๆ
และถ้าจะพูดกันจริงๆ
เรื่องส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จบด้วยการให้พระเอกลงเอยกับน้องสาวเพื่อนเสมอไป
เพราะเรื่องแนวนี้จะเน้นไปที่การผจญภัยและมิตรภาพระหว่างนักเรียนชาย
มากกว่าเรื่องรักๆใคร่ๆ
ก็จริง แต่ให้ช่วยลองอ่านต่อไปก่อนละกันนะคะ
3) ลักษณะการสร้างตัวละครของจินนี่
จินนี่อาจเป็นตัวละครสำคัญคนหนึ่งในเรื่องตอนนี้
แต่เทคนิคทางวรรณคดีที่ผู้ประพันธ์นำมาใช้กับจินนี่บ่งชี้ว่า
เมื่อถึงตอนจบของเรื่องแล้ว ความสำคัญของเธอจะไม่เป็นแค่ เพื่อนสนิท ของแฮร์รี่
ประการแรก จินนี่เป็นเด็กผู้หญิงคนแรกในวัยใกล้เคียงกับแฮร์รี่
ที่เขาสังเกตเห็นในโลกพ่อมด หรือถ้าจะว่ากันไปแล้ว
เป็นเด็กผู้หญิงคนแรกของเรื่องที่แฮร์รี่เจอซะด้วยซ้ำ
ซึ่งข้อเท็จจริงที่ว่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกอะไรบางอย่าง แต่ยังเป็นเทคนิคที่พวกหนังสือลึกลับอย่างของ
Agatha Christie หรือ Dorothy Sayers ชอบใช้
โดยการแนะนำให้ตัวเอกเจอกับตัวละครที่จะมีความสำคัญต่อพลอตในภายหลังตั้งแต่ต้นๆเรื่อง
แน่นอน เป็นไปได้ว่าการที่จินนี่เป็นเด็กผู้หญิงคนแรกอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
เพราะยังไงซะ แฮร์รี่ก็ต้องเจอเด็กผู้หญิงคนไหนสักคนเป็นคนแรก
และเผอิญหวยมาออกที่จินนี่ ก็แค่นั้นเอง
ก็เป็นไปได้ แต่ให้ช่วยลองอ่านต่อไปก่อนละกันนะคะ
ประการที่สอง ดูเหมือนว่า
เจเคจะชอบที่จะสรรหาคำเพราะๆมาใช้บรรยายจินนี่ซะเหลือเกิน เข่น ในเล่มหนึ่ง
เราเห็นจินนี่ ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้
พยายามวิ่งตามรถไฟมาให้ทัน
(She was running, half laughing, half
crying
")
ในเล่มสอง เจเคบรรยายว่า แฮรี่ได้เห็นตาสีน้ำตาลสดใส
โผล่ขึ้นมา หน้าแดงเหมือนดวงอาทิตย์ยามตกดิน ผมแดงเพลิงยาวสยาย ใบหน้าของเด็กหญิงเย็นเฉียบและเผือดขาวราวกับเห็นอ่อน
(Harry caught a pair of bright brown eyes
," Her face was glowing like
the setting sun, flaming-red hair, Her face was white as marble, and as
cold
")
ในเล่มห้า ผมที่ยาวแดงและหนา จินนี่นั่งขดตัวกลมเหมือนแมวอยู่บนเก้าอี้ แต่ตาเบิกกว้าง แฮร์รี่มองเห็นดวงตานั้นสะท้อนแสงไฟจากเตาผิง
ผมยุ่งเหยิงเหมือนถูกลมตี ("A mane of red
hair," "Ginny was curled like a cat on her chair, but her eyes were
open; Harry could see them reflecting the firelight," looking very
windswept คำว่า ผมยุ่งเหยิง นี้อาจดูเหมือนไม่ค่อยเป็นคำชมในภาษาไทย
แต่ในภาษาอังกฤษเป็นคำชมที่เพราะมากค่ะ เพราะคำว่า windswept เขาเอาไว้ใช้บรรยายพวกนางแบบเวลาเดินชายหาดอะไรทำนองนั้นนะค่ะ)
ตามปกติแล้ว เจเคจะเป็นคนละเอียดลออในการบรรยายสิ่งของและสถานที่
แต่ไม่ค่อยกับคน แต่นี่เจเคตั้งใจที่จะใช้คำบรรยายในทางที่ดีกับคนใดคนหนึ่งซ้ำๆกันตลอด
แล้วทำไมเจเคต้องคอยย้ำในเรื่องนี้เหมือนกับจะให้คนอ่านค่อยๆซึมซับพร้อมๆกับตัวแฮร์รี่ว่า
อืม...น้องสาวของเจ้ารอนก็หน้าตาใช้ได้ทีเดียวแฮะ
หากว่าลักษณะหน้าตาของจินนี่จะไม่มีความสำคัญต่อเรื่องในภายหลัง
บางคนอาจแย้งว่าวิธีการเขียนที่ค่อนข้างแปลกประหลาดนี้
อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
จะมาสรุปว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องรักๆใคร่ๆในภายหลังก็ดูจะด่วนสรุปไปนิด
ก็นั่นสิ เราก็ว่างั้น แต่ให้ช่วยลองอ่านต่อไปก่อนละกันนะคะ
ประการสุดท้ายที่คนเขียนบทความยกขึ้นมาคือ ภาษา
ที่เจเคใช้บรรยายความรู้สึกที่แฮร์รี่มีต่อจินนี่ ความโล่งใจความโล่งใจที่แสนวิเศษสุดแผ่ซ่านไปทั่วตัวแฮร์รี่
(Warm sweeping glorious relief) เป็นความรู้สึกที่ดีที่สุดเท่าที่เราเห็นว่าแฮร์รี่เคยรู้สึกมาตลอดทั้งเรื่อง
และค่อนข้างแปลกที่ความรู้สึกนี้เกิดจากการที่แฮร์รี่รู้ว่าจินนี่จะไม่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนหลังจากเกิดเรื่องที่เกี่ยวกับห้องแห่งความลับ
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าว่า ในเล่ม 5
แฮร์รี่มีความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกที่ว่านี้
หลังจากที่แฮร์รี่รู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่ปลอดภัยหลังจากที่โดนคำสาบของโดโลฮอฟทำร้าย (กระแสคลื่นความโล่งใจลูกใหญ่สาดซัดไปทั่วตัวแฮร์รี่
จนขณะหนึ่งเขารู้สึกหัวหมุน such a powerful of relief that it made
him feel light-hearted) แต่ต่างกันที่ในกรณีของจินนี่เป็นความรู้สึกห่วงใยแท้ๆ
ไม่มีความรู้สึกผิดมาเจือปนอย่างของเฮอร์ไมโอนี่ (ขออย่าให้เธอตาย
เป็นความผิดของฉันถ้าเธอตาย) เหตุที่ทำให้แฮร์รี่เกิดความรู้สึกอันนี้ก็ต่างกัน
คนหนึ่งไม่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน อีกคนหนึ่งไม่ตาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ต่างกันมาก
นอกจากนี้ วันที่จินนี่ถูกพาลงไปที่ห้องแห่งความลับเป็นช่วงเวลาที่ให้ ความรู้สึกเป็นที่สุด ในแง่ของอารมณ์ (absoluteness) ซึ่งเจเคไม่ได้เขียนแบบนี้บ่อยนัก จริงอยู่ ผู้อ่านอาจแย้งว่า
ความรู้สึกเป็นที่สุดนี้เกิดขึ้นเพราะโรงเรียนฮอกวอร์ตจะถูกปิด
แต่ถ้าดูจากบริบทโดยรวม เป็นที่ชัดเจนว่าการที่จินนี่ถูกลักพาตัว
ไม่ใข่การที่โรงเรียนจะถูกปิด เป็นเหตุที่ทำให้ แฮร์รี่รู้สึกว่า วันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุดในชีวิตเขา (This is probably the worst
day in Harrys entire life
Harry could see the sun sinking, blood red, below
the skyline. This was the worst he had ever felt. If only there was something
they could do.)
ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมา ไม่ใช่ต้องการจะบอกว่า ในจิตใต้สำนึกแฮร์รี่ห่วงใยจินนี่มากกว่าใครทุกคนมาตั้งแต่เล่มสอง
เพราะเวลาเจเคจะให้ตัวละครแสดงความรู้สึกชอบใคร ก็เขียนออกมาตรงๆ
และเราก็รู้กันตรงๆว่าตั้งแต่เล่ม 3-5 แฮร์รี่สนใจโช แชง
และก็ไม่ได้จะบอกว่าความเป็นห่วงเป็นใยนี้
เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าแฮร์รี่จะมาหลงรักจินนี่ในภายหลัง
เพราะแฮร์รี่รักและเป็นห่วงทุกคนที่อยู่ข้างเขา ไม่ว่าจะเป็นรอน เฮอร์ไมโอนี่
ซิเรียส และ ลูปิน
และก็ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้จะกลายมาเป็นคนรักของเขาในอนาคต
(อึ๋ย...คนเขียนบทความมีแอบ Y เรอะ)
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า
คงไม่มีนักประพันธ์เก่งๆคนไหนจะเลือกใช้อารมณ์ที่ทรงพลังอย่าง ความโล่งใจที่แสนวิเศษสุดแผ่ซ่านไปทั่ว หรือเขียนให้สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งให้อารมณ์ที่เป็นที่สุด
โดยไม่ได้ตั้งใจจะสื่อหรือมีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ การที่เจเคเลือกที่จะเขียนอย่างนี้
ชวนให้คิดว่าหรือบางทีเจเคอาจจะตั้งใจค่อยๆสร้างให้
จินนี่เป็นคนที่แฮร์รี่เห็นความสำคัญ
และให้ความสงสารเห็นใจขึ้นมาทีละน้อยอย่างที่ทั้งแฮร์รี่ (และคนอ่าน) ไม่รู้ตัว
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ผู้ประพันธ์มักนิยมใช้กับตัวละครที่จะเป็นคนพิเศษของตัวเอกในอนาคต
แน่นอน ผู้อ่านอาจแย้งว่าไม่มีอะไรบอกแน่นอนว่าเจเคก็กำลังใช้วิธีนี้เช่นกัน
ความห่วงของแฮร์รี่ อาจเพื่อแสดงให้เห็นว่าแฮร์รี่เป็นคนดี มีนิสัยเป็น พระเอก แค่ไหน
และที่อารมณ์ตอนนั้นเป็นที่สุดก็เพราะตอนนั้นมาถึงจุดไคลแมกซ์ของเล่ม
และแฮร์รี่เองก็เพิ่งอายุ12 ปี เด็กอายุ12 ทุกคน ถ้าการที่ได้ยินการตายของน้องสาวเพื่อนสนิทก็คงรู้สึกแย่สุดๆทุกคน
ก็เป็นไปได้ แต่ให้ช่วยลองอ่านต่อไปก่อนละกันนะคะ
4) เทคนิคทีชอบเจเคใช้ irony
เทคนิคการเขียนที่โดดเด่นและเจเคชอบใช้มากที่สุดอันหนึ่งคือ การใช้
irony หรือ คำพูดที่ฟังดูขบขัน
เพราะเป็นการพูดสิ่งที่มีความหมายตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด หรือ
อยู่ในสถานการณ์ที่ตรงกันข้าม เช่น พวกมุขตลกส่วนใหญ่ของรอน อย่างในเล่ม 2
รอนมีประชดว่า ทอม ริดเดิ้ลอาจจะได้รางวัลทำคุณงามความดีพิเศษให้กับโรงเรียน เพราะ
เขาอาจฆาตกรรมเมอร์เทิล นั่นก็คงเป็นความดีความชอบต่อทุกคน
ก็เป็นตัวอย่างของ irony เพราะเรามารู้ที่หลังว่า
ทอม ริดเดิ้ลเป็นคนทำให้ เมอร์เทิล จอมคร่ำครวญตายจริงๆ นอกจากนี้ บทพูดของ
บาร์ตี้ เคราช์ จูเนียร์ ในฐานะของ แมดอาย มูดดี้ ตลอดทั้งเล่ม 4 ก็เป็น
irony ที่แสนร้ายกาจครั้งใหญ่
ทีนี้ถ้าแฮร์รี่หันมาตบหน้าผากตัวเอง บ่นอุบว่า เรามัวไปมองอะไรอยู่เนี่ย
ตอนที่จินนี่เลิกสนใจแฮร์รี่แล้ว คงเป็น irony ที่เจ็บแสบอีกอันหนึ่ง
อันใหญ่มากด้วย
เจเคอาจจะแอบใบ้เรื่องนี้เอาไว้แล้วในเล่ม 5
ตอนที่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไปดึงแฮร์รี่ที่แยกตัวออกมาจากคนอื่น หลังคุณ วีสลีย์ถูกทำร้าย
เพราะคิดว่าตัวเองถูกโวลเดอร์มอร์ครอบงำ ให้มาเจอรอนกับจินนี่
เฮอร์ไมโอนี่มีพูดขึ้นมาว่า บางทีพวกเธอคงผลัดกันดูคนละทีสิ
เลยคลาดกันอยู่เรื่อย พร้อมกับที่ มุมปากกระตุกนิดๆ
คนเขียนบทความคิดว่า นี่ไม่น่าจะเป็นสัญลักษณ์ แต่น่าจะเป็นตัวเจเคเองที่อยากจะสื่ออะไรให้คนอ่าน
ถ้าหากมุมปากของเฮอร์ไมโอนี่ไม่กระตุก ประโยคนี้ก็ไม่น่าจะมีความหมายอะไรลึกซึ้ง
และรู้สึกว่าคุณhs3puk ก็เคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า
ประโยคนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ เพราะดูจากนิสัยของเฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่ค่อยชอบพูดตลก
แถมสถานการณ์ตอนนั้นก็ตึงเครียดซะเหลือเกิน ถือเป็นเรื่อง แปลก
จริงๆที่คนที่นิสัยจริงจังอย่างหนูเฮอร์ (โอ้ย ชื่อสะกดยากจัง)
จะมาปล่อยมุข ยิ้มมุมปากตอนนี้
นี่ทำให้คิดถึงเพลง Ode to Harry Potter ของวง
Switchblade Kittens (ผู้แปล: เคยลองฟังเพลงนี้กันรึยังคะ
วงนี้เขาชอบจินนี่มากๆ เลยแต่งเพลงให้ซะเลย
เป็นสไตล์ร๊อคเข้ากับจินนี่เวอร์ชั่นเล่ม5 ดีทีเดียว ลองหาโหลดมาฟังดูได้นะคะ
หรืออันที่จริงหาเนื้อเพลงมาอ่านเล่นอย่างเดียวก็ได้
เนื้อน่ารักแต่คนร้องร้องไม่ค่อยเพราะหรอกค่ะ) ที่จบท่อนฮุคด้วยประโยคที่ว่า When
you miss me, it will be too late. (พอเธอหันมาคิดถึงฉัน
มันก็จะสายไปแล้ว) เพลงนี้ออกมานานแล้ว ก่อนที่เล่ม 5 จะออกตั้งนาน ในตอนนั้น
กลับไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องแปลกที่จู่ๆเพลงนี้จะฟันธงว่าจินนี่จะ เลิกชอบ แฮร์รี่
เพราะเมื่อคิดถึงสไตล์การเขียนของเจเคที่ชอบใช้ irony เรื่องแบบนี้จะเกิดก็ไม่แปลก
แต่แน่นอน ไม่มีอะไรบ่งชี้ชัดว่า
เจเคจะเอาเรื่องความรู้สึกของสองคนนี้มาหักมุมเป็น irony อีกอันหนึ่ง ก็จริงค่ะ แต่ให้ช่วยลองอ่านต่อไปก่อนละกันนะคะ
5) มุขสลับคู่วุ่นยุ่งเหยิง?
ท้ายสุด ในเล่ม 5 ที่แฮร์รี่ออกเดทกับโช และจินนี่กับไมเคิล คอนเนอร์
ยังคงจำกันได้ที่ เฮอร์ไมโอนี่ถามแฮร์รี่หลังจากการนัดพบในร้านหัวหมูว่า พูดถึงไมเคิลกับจินนี่ แล้วโชกับเธอล่ะว่าไง (And talking about
Michael and Ginny, what about Cho and you?) สังเกตว่าในส่วนแรกของคำถาม
เฮอร์ไมโอนี่พูดชื่อผู้ชายก่อน แล้วค่อยชื่อผู้หญิง ส่วนคำถามที่สอง
เฮอร์ไมโอนี่พูดชื่อผู้หญิงก่อน แล้วค่อยพูดถึงผู้ชาย ซึ่งก็คือแฮร์รี่ อย่างกับมีใบ้ (ในฉบับภาษาไทย
ผู้แปลปรับให้เป็นชื่อแฮร์รี่ขึ้นมาก่อน
เดาว่าผู้แปลคงสังเกตเห็นการเรียงที่ไม่เป็นธรรมชาติอันนี้ เลยจับเรียงใหม่เอง)
แถมตอนจบเจ้าไมเคิลที่ถูกจินนี่ทิ้งก็วิ่งไปปลอบโชอีก ทำให้คิดได้ว่า
บางทีเจเคอาจจะกำลังเล่นมุข double date ที่มีคนสี่คนจับคู่เป็นสองคู่
แล้วอยู่ๆคู่เดทของทั้งฝ่ายก็หนีไปคบกันเอง ทิ้งให้อีกสองคนที่เหลือมาเจอกัน
น่าคิดไหมว่าทำไมคู่ของจินนี่ต้องเป็นไมเคิล คอนเนอร์ และทำไมเจเคต้องจงใจบอกให้เรารู้ว่า
พอโชเลิกคบกับแฮร์รี่ก็หันไปคบกับไมเคิลแทน
แน่นอน บางทีเราอาจจะคิดมากไป อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่โชหันไปคบกับไมเคิล
แต่ช่วยอ่านต่อไปก่อนนะคะ
อ่านต่อไป...อ่านต่อไป อะไรกัน จะให้อ่านต่อไปถึงไหนกัน
ก็ไหนบอกว่าบทความนี้มีเหตุผลที่ตามหลักวรรณคดีวิเคราะห์ว่าแฮร์รี่จะคู่กับจินนี่
อ่านมาตั้งนานแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร
ก็ทุกข้อที่เขียนก็ที่อ่านมาก็โต้แย้งในตัวเองเสร็จว่าอาจจะมีคำอธิบายอย่างอื่น
หรืออาจจับเรื่องที่ไม่เป็นประเด็นมาตีความจนมากเกินไป
แล้วคนเขียนต้องการจะบอกอะไรเนี่ย
กลับไปดูทั้งหมดอีกครั้งสิ
แม้ทุกข้อที่กล่าวมาดูจะมีคำอธิบายโต้แย้งได้
และผู้เขียนก็ยอมรับว่าการทำนายว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นโดยเอารูปแบบทางวรรณคดีและเทคนิคของผู้แต่งมาวิเคราะห์นั้นให้ผลไม่แน่นอนเสมอไป
แต่ในบางครั้งทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอย
ชี้ไปทางเดียวกันมากซะจนเกินกว่าจะเป็นแค่เหตุบังเอิญ
แม้แต่ละข้ออาจจะมีคำอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูภาพโดยรวมอีกที
จะเห็นว่าทุกข้อชี้ไปทางเดียวกัน เรารู้ว่าแฮร์รี่จะพบรักครั้งใหม่
(ทั้งจากตัวเรื่องและบทสัมภาษณ์ของเจเค) และ บังเอิญมีสาวน้อยที่เป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท (ที่ตามแบบวรรณกรรมประเภทเด็กโรงเรียนประจำ
มักจะได้ลงเอยกับพระเอก) ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกในวัยใกล้เคียงกับแฮร์รี่ที่เขาได้พบ
ซึ่งเป็นคนที่ผู้แต่งตั้งอกตั้งใจสรรหาถ้อยคำมาพรรณนาซะเหลือเกิน
ซึ่งเป็นคนที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฉากที่เลียนตำนานเก่าแก่ของโลกตะวันตกที่มีวีรบุรุษพิชิตมังกรเพื่อช่วยสาวน้อยที่มักจะเป็นคนรักของเขาในอนาคต
ซึ่งเป็นคนที่ถ้าเจ้าแฮร์รี่หันมาชอบหลังจากเล่ม 5 นี้ จะกลายเป็น irony ครั้งใหญ่ของเรื่องที่ผู้แต่งชอบใช้ ironyซะเหลื่อเกิน
นี่ยังไม่รวมการ บอกใบ้ แสนคลาสสิก
ประเภทยิ้มมุมปากของเฮอร์ไมโอนี่ หรือการมองอย่างมีความหมายของรอนในตอนท้ายเรื่อง
(คนที่ปล่อยมุขอะไรมักจะเกิดขึ้นจริงเสมอ) และการเล่นมุขสลับคู่ระหว่าง โช กับ
ไมเคิล เหลือแฮร์รี่ทิ้งไว้กับจินนี่ ทุกประเด็นพร้อมใจกันชี้นำมาขนาดนี้
ทั้งหมดนี้คงเป็นแค่ เรื่องบังเอิญ ไม่ได้แล้วค่ะ
หลักฐานทั้งหมดมัดตัวไว้แล้ว แฮร์รี่หนีจินนี่ไม่พ้นแน่...
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ตัวบทความนี้ยังมีส่วนที่ 3 ต่อ
แต่เราเห็นว่ายาวมากแล้ว จึงขอสรุปเฉพาะประเด็นหลักที่คนเขียนต้องการจะบอกนะคะ
ในการที่จะเดาเนื้อเรื่องว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
นอกจากจะวิเคราะห์ตัวหนังสือแล้ว พวกคำพูดหรือบทสัมภาษณ์ของผู้แต่งก็นำมาใช้เป็นแนวทางประกอบเสริมได้
คนเขียนอ้างว่าถ้าดูจากวิธีการให้สัมภาษณ์ของเจเค จะเห็นได้ว่า ถ้าใครถามมาถูกทาง
เธอก็มักจะตอบแบบเลี่ยงๆเสีย เพราะถ้ารับหรือปฏิเสธไปเลย
ก็จะเป็นการเฉลยความลับของเรื่อง หรือไม่ก็เป็นการพูดเท็จ (ซึ่งเธอไม่เคยทำ) ทีนี้
คนเขียนชี้ว่า ถ้าเราสังเกตดูให้ดี เวลามีคำถามประเภท จินนี่จะลงเอยกับแฮร์รี่ไหม
เจเคจะตอบเลี่ยงๆ ไม่รับไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าเป็นเฮอร์ไมโอนี่กับแฮร์รี่
เจเคจะตอบปฏิเสธ อย่างชัดเจน
ที่เราใส่เครื่องหมายคำพูดกำกับไว้ที่คำว่า อย่างชัดเจน
เพราะคนเขียนใช้เนื้อที่ส่วนใหญ่ของส่วนที่สามของบทความไปเพื่อบรรยายและวิเคราะห์ว่า
เจเคจะตอบปฏิเสธอย่างชัดเจนอย่างไร โดยดูทั้งตัวคำสัมภาษณ์ และบริบทประกอบ เช่น
คำสัมภาษณ์ที่ว่าเฮอร์ไมโอนี่กับแฮร์รี่เป็น platonic friends ที่ชาว H/Hr มักจะแย้งว่า
เจเคอาจใช้ platonic ในความหมายโบราณ
หรือเจเคอาจหมายความว่าทั้งคู่เป็น platonic friends เฉพาะในเล่ม
4 คนเขียนเขาก็ไล่พจนานุกรมให้ดูว่า platonic ไม่อาจเป็นอย่างอื่นนอกจาก
เพื่อนสนิทที่ไม่มีวันคิดเป็นอื่นไกล และถ้าใครไปค้นมาได้ว่าในภาษาโบราณ แปลไปได้อย่างอื่น เขาก็ว่าให้มันรู้กันไปว่าเจเคจะใช้คำนี้ในความหมายโบราณในการตอบคำถามเด็กสิบกว่าขวบที่เป็นคนเข้าร่วมงานส่วนใหญ่ในวันนั้น
และถ้าเอาคำถามที่ถามในวันนั้นมาไล่ดู
จะเห็นว่าเป็นคำถามที่ถามเกี่ยวกับเรื่องโดยรวม ไม่ใช่แค่เรื่องราวในเล่ม 4
คงเป็นเรื่องแปลกมากที่เจเคจะตอบคำถามในแง่ของเรื่องโดยรวมสำหรับข้ออื่น
และจู่ๆก็ถือว่าคำถามนี้ใช้ได้เฉพาะกับเล่ม 4 โดยไม่บอกไม่กล่าว
เมื่อดูตามนี้แล้ว จะเห็นว่าบทสัมภาษณ์ก็สนับสนุนบทวิเคราะห์ตัวหนังสือ คือ
กาชื่อเฮอร์ไมโอนี่ทิ้ง และชี้ไปทางจินนี่มากกว่า (ส่วนลูน่า
เขาไม่เอามาร่วมคิดวิเคราะห์ด้วยตั้งแต่ต้นเลย) นี่ตอกย้ำว่า
ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว แต่จะเป็นจินนี่ที่เป็นคนพิเศษของแฮร์รี่
ในท้ายที่สุด คนเขียนบทความเขาสรุปว่าเขาฟันธงไม่ได้ แต่เขาว่าเขาเดามาถูกทางแล้ว
แล้วคนอ่านว่าอย่างไรคะ เห็นด้วยหรือเปล่าเอ่ย
บทความนี้: http://www.geocities.com/novatron2002/rghg.html
ตอนท้ายบทความ มีลิ้งค์ดีๆที่เกี่ยวกับ H/G เยอะแยะเลยด้วยนะคะ