เรวดีวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในเรวดีวิมาน
พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระมหาโมคคัลลานเถระว่า
     	"[๕๒]ญาติ มิตร และสหายทั้งหลาย ย่อมพากันชื่นชมยินดีกะบุรุษผู้พลัดพรากจากกันไปนาน กลับมาโดยสวัสดี
แต่ที่ไกลว่าเป็นผู้มาแล้ว ฉันใดบุญทั้งหลายย่อมต้อนรับบุคคลผู้ทำบุญไว้แล้ว จากโลกนี้ไปสู่ปรโลกดุจญาติต้อนรับญาติที่รัก
ผู้กลับมาแล้ว ฉันนั้น.
	ยักษ์ผู้เป็นทูตของพญายม ปรารถนาจะจับนางเรวดีโยนลงไปในอุสสทนรก เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวกะนางเรวดีว่า 
แน่ะนางเรวดีผู้แสนจะชั่วช้า ผู้ไม่ให้ทาน ประตูนรกได้เปิดไว้คอยให้ เจ้าเข้าไป เพราะเจ้าด่าว่าพระอริยเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจง
รีบลุกขึ้นเร็ว เถิด พวกเราจักพาเจ้าไปโยนลงในอุสสทนรก อันเป็นที่ทอดถอนใจของเหล่าสัตว์นรก พรั่งพร้อมอยู่ด้วยทุกข์. 
	ยักษ์ ๒ ตนผู้เป็นทูตของพญายม ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มีนัยน์ตาลุกแดงใหญ่โตน่าสะพรึงกลัว จับนางเรวดีที่
แขนคนละข้าง หลีกไปใน สำนักแห่งหมู่เทวดาในดาวดึงส์. 
	นางเรวดีอันยักษ์ ๒ ตนนั้นนำไปสู่ภพดาวดึงส์อย่างนี้แล้ว วางไว้ ณ ที่ใกล้วิมานของ  นันทิยเทพบุตร ได้เห็นวิมาน
อันมีรัศมีเปล่งปลั่งยิ่งนัก ดุจรัศมีพระอาทิตย์ จึงถามยักษ์ทั้ง ๒  นั้นว่านี่วิมานของใคร มีรัศมีจุดพระอาทิตย์ งามระยับเลื่อม
ประภัสสรปกคลุมด้วยข่ายทองงามแพรวพราว เกลื่อนกล่นไปด้วยเทพบุตรและเทพธิดา มีรัศมีรุ่งเรืองดังรัศมีพระอาทิตย์ มีหมู่
นางเทพนารีผู้มีสกลกายลูบไล้ ไป ด้วยจุรณจันทน์แดงอยู่ทั้งภายในและภายนอกวิมานทั้ง ๒ ข้าง ต่างก็พากันเข้าไปขับกล่อม
ด้วยดุริยางค์ดนตรี วิมานนั้นปรากฏมีรัศมีดุจพระ อาทิตย์ ใครมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมานนี้? "
	ยักษ์ ๒ ตนจึงบอกแก่นางเรวดีว่า
	"วิมานของนันทิยอุบาสกในเมืองพาราณสี ซึ่งเป็นผู้ไม่ตระหนี่เป็นทานา ธิบดี มีใจโอบอ้อมอารี เป็นวิมานเกลื่อนกล่น
ไปด้วยเทพบุตรเทพธิดามีรัศมีรุ่งเรือง ดุจรัศมีพระอาทิตย์ มีหมู่นางเทพนารีผู้มีสกลกายลูบไล้ ด้วยจุรณจันทน์แดง อยู่ทั้งภาย
ในและภายนอกทั้งสองข้าง ต่างพากัน เข้าไปขับกล่อมดุริยางค์ดนตรี วิมานของนันทิยอุบาสกนั้น ปรากฏมี รัศมีดุจพระอาทิตย์ 
นันทิยอุบาสกนั้นมาเกิดในสวรรค์บันเทิงอยู่ในวิมานนี้." 
	ลำดับนั้น นางเรวดีกล่าวว่า
	"ฉันเป็นภรรยาของนันทิยอุบาสก เป็นหญิงแม่เรือน เป็นใหญ่ในสกุล ทั้งปวง เพราะฉะนั้น บัดนี้ฉันจักรื่นรมย์
อยู่ในวิมานของสามี ก็พวกท่านปรารถนาจะนำฉันไปสู่นรก ฉันไม่ปรารถนาจะเห็นนรกนั้น."
	ยักษ์ ๒ ตนนั้นมิยอมอนุญาตให้ จึงพาตัวลงไปใกล้อุสสทนรก แล้วจึงกล่าวว่า
	" แน่นางเรวดีแสนจะชั่วช้า นรกนี่แลเป็นของเจ้า เพราะเมื่อเจ้าอยู่ในมนุษยโลก ไม่ได้ทำบุญไว้ ด้วยว่า บุคคลผู้มี
ความตระหนี่ขึ้งโกรธ มีธรรมอันเลวทราม ย่อมไม่ได้ความเป็นสหายแห่งเทวดาผู้เข้าถึงสวรรค์." 
	ครั้นยักษ์ทั้งสองกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็หายไป ณ ที่นั่นเอง ก็วันนั้น นางเรวดีเห็นนาย  นิรยบาล ๒ คนพากันมาฉุดคร่า
ตนเพื่อจะโยนลงในคูถนรก ชื่อว่าสังสวกะ จึงถามนายนิรยบาล  นั้นว่า
	"เหตุไรคูถนรกและมูตนรกจึงปรากฏมีกลิ่นเหม็น ไม่สะอาด ไฉนคูถนี้จึง มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไปเล่า?" 	
	นายนิรยบาลตอบว่า
	"แน่ะนางเรวดี นี่เป็นนรกชื่อสังสวกะ ลึกร้อยชั่วบุรุษ เจ้าจักหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นสิ้นพันปี."
	 นางเรวดีจึงถามว่า
	" ฉันทำชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ เพราะกรรมอะไรฉันจึงตกนรกสังสวกะอันลึกร้อยชั่วบุรุษเล่า?" 
	นายนิรยบาลตอบว่า
	"เพราะเจ้าด่าว่าสมณพราหมณ์ และวณิพกเหล่าอื่น ด้วยคำมุสาวาท บาป นั้นเจ้าทำไว้แล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าจึงต้องตก
นรกสังสวกะลึกร้อยชั่วบุรุษ แน่ะนางเรวดี เจ้าจักหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นสิ้นพันปี ใช่แต่เท่านั้น นายนิรยบาลทั้งหลายจะตัดมือ 
เท้า หู และแม้จมูกของเจ้า อนึ่ง ฝูงกา ปากเหล็กย่อมพากันมารุมจิกกินเนื้อของเจ้าให้ดิ้นรนอยู่."
	นางเรวดีจึงวิงวอนว่า
	"ขอไหว้เถิดพ่อคุณ ขอจงได้นำฉันกลับไปส่งยังมนุษยโลกเถิด ฉันจักทำบุญให้มากด้วยการให้ทาน การประพฤติธรรมสม่ำ
เสมอ ความสำรวม การฝึกฝนตน ชนทั้งหลายทำสิ่งใดแล้ว ย่อมได้รับความสุขและไม่ เดือดร้อนในภายหลัง ฉันจักทำแต่สิ่งนั้น." 
	นายนิรยบาลกล่าวว่า
	"เมื่อก่อนเจ้าประมาทมัวเมา เดี๋ยวนี้จะมาร่ำไรไปทำไมเล่า เจ้าจักต้องเสวยผลแห่งกรรมทั้งหลายอันทำไว้เอง."
	นางเรวดีสั่งว่า
	" ถ้าใครจากเทวโลกไปสู่มนุษยโลก พึงช่วยบอกแก่บุตรของฉันอย่างนี้ว่า จงให้ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่นอน ที่นั่ง ข้าวและน้ำ
เป็นทานในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีอาญาอันวางแล้ว เพราะว่า บุคคลผู้ตระหนี่ ขึ้งโกรธด่าว่า มีธรรมอันเลวทราม ย่อมไม่ได้เป็น
สหายของหมู่เทวดาผู้เข้าถึงสวรรค์." 
	นางเรวดีได้กล่าวต่อไปว่า
	"ถ้าฉันไปจากนรกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักเป็นผู้มีใจโอบอ้อม อารี สมบูรณ์ด้วยศีล ทำกุศลให้มาก โดยให้ทาน 
ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ สำรวมกาย วาจา ใจ ฝึกฝนตน จักสร้างอารามและสพานในที่ลุ่ม ขุดบ่อ ขุดสระน้ำให้เป็นทาน ด้วยจิตอัน
เลื่อมใส จักรักษาอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ๘ ค่ำแห่งปักษ์ และในวันปาฏิหาริยปักษ์ จักเป็นผู้
สำรวมระวังในศีลทุกเมื่อและจักไม่ประมาทในทาน เพราะผลแห่งกรรมนี้ฉันได้เห็นเองแล้ว." 
	พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ว่านายนิรยบาลทั้งหลายพากันจับนางเรวดี ผู้ดิ้นรนรำพันอยู่อย่างนี้ เอาเท้า ขึ้นเบื้องบน 
เอาหัวลงเบื้องต่ำ โยนลงไปในนรกอันร้ายกาจ.เมื่อชาติก่อน เราเป็นคนตระหนี่ ด่าว่าสมณพราหมณ์ หลอกลวงสามี ด้วยเรื่องเท็จ 
จึงได้มาหมกไหม้อยู่ในนรกอันร้ายกาจนี้. 
                จบเรวดีวิมานที่ ๒.