มหารถวิมาน ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในมหารถวิมานอานิสงส์แห่งทาน
 พระมหาโมคคัลลานเถระได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า
     	"[๖๔]ท่านขึ้นรถม้าอันงามวิจิตรมิใช่น้อย เทียมด้วยม้าหนึ่งพันมาในที่ใกล้ภูมิ สถานอุทยาน ย่อมรุ่งเรือง ดุจท้าววาสวปุรินททะ
ผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาแม่แคร่รถทั่งสองของท่านก็ล้วนแล้วด้วยทองคำ ปูเรียบด้วยแผ่นกระดานทองสนิทดี มีลูกกรงอันจัดไว้ได้ระเบียบ
เรียบร้อย ดังสำเร็จด้วย นายช่างผู้มีความเพียร งามไพโรจน์ดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญ รถของท่าน นี้ปกคลุมด้วยข่ายทอง วิจิตรด้วยรตนะ
ต่างๆ อย่างมากมาย มีเสียงกึกก้องไพเราะ น่าเพลิดเพลิน รุ่งเรืองไปด้วยหมู่เทพบุตรและเทพนารีผู้ถือจามร 
	อนึ่ง ดุมรถเหล่านี้วิจิตรไปด้วยลวดลายอย่างละร้อย ดุจว่าเนรมิตแล้วดังใจนึก สว่างไสวดังสายฟ้าแลบ นับได้ด้านละร้อย รถนี้ปกคลุม
ด้วยมาลากรรมอันวิจิตรเป็นอเนก กงใหญ่อันมีรัศมีตั้งพัน เสียง แห่งกงเหล่านั้นดังไพเราะดุจดนตรีเครื่อง ๕ อันบุคคลบรรเลงแล้ว ที่งอนรถร้อย
ด้วยแก้วมณีกลมดุจมณฑล พระจันทร์ งามวิจิตร แต่งด้วย ลายทองลายแก้วไพฑูรย์งามยิ่งนักบริสุทธิ์ผุดผ่องทุกเมื่อ 
	ม้าเหล่านี้ ผูกสอดแล้วด้วยแก้วมณี ทั้งสูงทั้งใหญ่ ว่องไว ดังพรหมพลีมีฤทธิ์มาก อ้วนพี มีกำลังเร็วมาก รู้ใจของท่านวิ่งไปได้รวดเร็ว
ดังใจนึก ม้าทั้งหมดนี้อดทนไปด้วยเท้า ๔ รู้ใจของท่าน วิ่งไปได้รวดเร็วดังใจ นึก เป็นม้าอ่อนโยน ไม่ลำพอง วิ่งเรียบยังใจผู้ขับขี่ให้เบิกบาน 
เป็นม้าอันอุดมกว่าม้าทั้งหลาย ผูกสอดเครื่องประดับอันนายช่างทองทำดีแล้วสลัดขนหางอยู่ไปมา บางทีก็วิ่งยกย่างเท้าไป บางทีก็เหาะไป 
เสียง แห่งเครื่องประดับเหล่านั้น ดังไพเราะน่าฟัง ดังดนตรีเครื่อง ๕ อันบุคคลบรรเลงแล้ว เสียงรถเสียงเครื่องประดับทั้งหลาย เสียงบันลือ 
แห่งกลีบม้า เสียงม้าคำรนร้อง และเสียงเทพเจ้าผู้บันเทิง ดังไพเราะน่าฟัง ดังดนตรีแห่งคนธรรพ์ในสวนจิตรลดา 		
	มีนางเทพอัปสรทั้งหลายยืนอยู่บนรถ มีดวงตารุ่งเรืองดังตาลูกเนื้อทราย มีขนตาดก มีหน้ายิ้ม แย้มพูดจาอ่อนหวาน มีสรีระปกคลุม
ด้วยข่ายแก้วไพฑูรย์ มีผิวพรรณอันละเอียดอ่อน ผู้อันคนธรรพ์เทวดาผู้เลิศบูชาแล้ว นุ่งห่มผ้าแดงและ ผ้าเหลืองอันน่ากำหนัดรักใคร่ 
มีตากว้างยาว มีดวงตางาม มีสรีระงดงาม หัวเราะเพราะพริ้งเกิดแล้วในตระกูล นางอัปสรทั้งหลายยืน ประนมปรากฏอยู่บนรถ สอดสวมกำไล
ทองมีร่างส่วนกลางงดงาม มีลำขาและถันอันสมบูรณ์ นิ้วมือกลม หน้างาม น่าดูน่าชม นางอัปสร บางพวกยืนประนมมืออยู่บนรถ มีช้องผม
อันงาม ล้วนแต่เป็นสาวรุ่นๆมีผมอันสอดแซมด้วยแก้วมาลา ลอนผมเรียบร้อย งดงาม แบ่งออกเท่าๆ กัน 
	นางอัปสรเหล่านั้น มีกิริยาเรียบร้อย มีใจยินดีต่อท่านนางอัปสรทั้งหลายยืนประนมมือปรากฏบนรถ บางเหล่าสวมพวงมาลัยปกคลุม
ไปด้วยดอกประทุมและดอกอุบล ตบแต่งแล้วด้วยมาลามาลัย ลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์ นางเทพอัปสรเหล่านั้นมีกิริยาเรียบร้อย มีใจ ยินดีต่อท่าน 
นางเทพอัปสรทั้งหลายยืนประนมมือปรากฏอยู่บนรถ บางพวกสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ ด้วยเครื่องประดับทั้งหลายที่ประดับแล้วที่คอ ที่มือ 
ที่เท้า ที่ศีรษะ ดุจพระอาทิตย์ส่องแสงอุทัยในสารทกาล ดอกไม้ และเครื่องประดับที่แขนทั้งสอง อันกำลังลมพัดพานแล้ว ย่อมเปล่งเสียงกึกก้อง
ไพเราะเจริญใจ เป็นเสียงอันเลิศ อันวิญญูชนทั้งปวงพึงฟัง
	ดูกรท่านผู้เป็นจอมเทพ ก็เสียงอันเกิดแล้วเพราะรถ ช้างและดุริยางค์ดนตรีทั้งหลาย อันตั้งอยู่แล้วในภูมิสถานอุทยาน โดยสอง
ข้างเหล่านั้น ย่อมยังท่านให้บันเทิงใจ ดุจพิณทิพย์ทั้งหลาย มีรางและคันถือประกอบแล้วเรียบร้อย อันนักดีดพิณบรรเลงอยู่ ย่อมยังชนผู้ฟัง
ให้บันเทิงฉะนั้น เมื่อพิณเป็นอันมากนี้ มีเสียงไพเราะเจริญใจ อันนางอัปสรทั้งหลายบรรเลงอยู่แม้เสียงนั้นจับใจยิ่งนัก 
	นางเทพกัญญาทั้งหลาย ผู้ได้ศึกษาแล้ว พากันฟ้อนรำขับร้องอยู่ในดอกปทุมทั้งหลายเปรียบ เหมือนการขับร้องการฟ้อนรำ 
และการประโคม ย่อมประสานเสียง เป็นเสียงเดียวกัน ฉะนั้น 
	นางเทพอัปสรบางพวกฟ้อนรำอยู่บนรถของ ท่านนี้และนางเทพอัปสรบางพวกย่อมยังทศทิศให้สว่างไสว ในข้าง ทั้งสองใน
ประเทศนั้น ด้วยสรีระของตนและด้วยรัศมีแห่งวัตถาภรณ์ ท่านนั้นเป็นผู้อันหมู่ทิพยดนตรีปลุกปลื้ม บันเทิงใจ อันหมู่ทวยเทพทั้งหลายบูชาอยู่ 
ดุจท้าววชิราวุธ เมื่อพิณทิพย์เป็นอันมากนี้ เสียงไพเราะ เจริญใจ อันนางอัปสรทั้งหลายบรรเลงอยู่ แม้เสียงนั้นก็จับใจอย่างยิ่ง
	เมื่อชาติก่อน ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ด้วยตนเอง ชาติก่อน ท่านเป็น มนุษย์ได้รักษาอุโบสถ หรือว่าได้ชอบใจการประพฤติธรรม
 และการ สมาทานวัตรอะไร การที่ท่านมีอิทธานุภาพอันไพบูลย์รุ่งโรจน์โชติช่วงครอบงำซึ่งหมู่เทวดาอย่างยิ่ง นี้ไม่ใช่ผลแห่งกรรมอัน
ท่านทำแล้ว หรือแห่งอุโบสถอันท่านประพฤติแล้วในชาติก่อน มีประมาณนิดหน่อยเลยนี่เป็นผลแห่งทาน ศีลหรืออัญชลีกรรมของท่าน 
อาตมาถามแล้วขอท่านจงบอกผลกรรมนั้นแก่อาตมา?"
	เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ จึงพยากรณ์
ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า
	" เมื่อชาติก่อน ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้มีอินทรีย์อันชนะแล้ว มีความก้าวหน้าไม่ต่ำทรามผู้สูงสุดกว่านระ ทรงพระนามว่า
กัสสปเป็นอัครบุคคล ผู้เปิดประตูแห่งอมตธรรม เป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา มีมหาปุริสลักษณะอันเกิดแล้วด้วยอำนาจบุญตั้งร้อย ผู้เช่นกับ
กุญชรข้ามโอฆะได้แล้ว มีพระรูปงามดุจทองสิงคิวรรณและทองชมพูนุท ครั้นได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้วก็เกิดความเลื่อมใสทันที 
ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้เป็นธงชัยแห่ง พระธรรมได้ถวายข้าวและน้ำ อันประกอบด้วยรสอร่อย สะอาด ประณีตกับทั้งจีวร แก่พระผู้มี
พระภาคพระองค์นั้น ในที่อยู่ของตนอันเกลื่อน กล่นไปด้วยดอกไม้ ข้าพเจ้ามีใจไม่ข้องอยู่ในอะไรๆ ได้อังคาสพระ พุทธเจ้าพระองค์นั้น 
ซึ่งเป็นผู้สูงสุดกว่าหมู่สัตว์ ด้วยข้าว น้ำ จีวรของเคี้ยว ของบริโภค และของควรลิ้ม จึงรื่นรมย์อยู่ในสวรรค์อันเป็นเทพบุรีโดยอุบายนี้ 
ข้าพเจ้าได้ถวายมหาทานที่ควรบูชาอันบริสุทธิ์ ๓อย่างนี้เสมอๆ ละร่างมนุษย์แล้ว เป็นผู้เสมอด้วย พระอินทร์ รื่นรมย์ อยู่ในเทพบุรี."
	โคบาลเทพบุตร ครั้นบอกบุรพกรรมอันตนทำแล้วแก่พระเถระด้วยประการดังนี้แล้ว บัดนี้  มีความปรารถนาเพื่อยังชนแม้เหล่าอื่น
ให้ดำรงอยู่ในนิสสยสมบัติ เมื่อจะประกาศความเลื่อมใส ของตนในพระตถาคต จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า 
	"ข้าแต่ท่านผู้เป็นมุนี เมื่อใครๆ หวังซึ่งอายุ วรรณะ สุขะ พละ และ รูปอันประณีต อย่างพึงมีใจข้องอยู่ในสิ่งอื่น พึงยังข้าว
และน้ำอันตน ตบแต่งดีแล้วเป็นอันมาก ให้ตั้งไว้ในพระพุทธเจ้า เพราะใครๆ ใน โลกนี้หรือโลกอื่น จะเป็นผู้ประเสริฐหรือเสมอด้วยพระพุทธเจ้า 
มิได้มีพระตถาคตเจ้านั้นถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ควรบูชาอย่างยิ่ง กว่าบุคคลผู้ควรบูชาทั้งหลาย ของชนผู้มีความต้องการบุญ แสวงหาผลอันไพบูลย์." 
                จบ มหารถวิมานที่ ๑๔.
contact usติดต่อผู้จัดทำ