เพชร เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในทุกวันนี้ว่า นอกจากความหายากแล้ว เพชรจัดเป็นรัตนชาติที่มีคุณค่า และราคาสูง เพราะเพชรมีคุณสมบัติดีเด่นหลายประการเป็นต้นว่ามีความแข็งมากที่สุด    มีค่าดัชนีหักเห แสงสูงและมีค่าการกระจายแสงสีสููงอีกด้วย จึงทำให้เพชรที่เจียระไนสวยงามได้สัดส่วนมีประกายวาว เป็นพิเศษ  มีการกระจายแสงสี หรือมีไฟสวยงามเพชรที่มีคุณสมบัติเป็นรัตนชาติ มักจะเกิดเป็นผลึกที่มี ความโปร่งใส มีหน้าผลึกครบสมบูรณ์ ผลึกของเพชรจะเกิดจากธาตุคาร์บอนเพียงอย่างเดียว และอาจ เกิดได้ใน  หลายรูปร่างลักษณะ รูปแบบผลึกเพชรที่พบมากที่สุดจะเป็นรูปปิรามิดฐานสี่เหลี่ยมประกบติดกัน มีแปดหน้า ผลึกรูปแบบอื่นๆ ที่พบ ได้แก่ รูปคล้ายสี่เหลี่ยมลูกเต๋าและรูปกลมคล้ายตะกร้อ และที่หน้าผลึก เพชรโดยเฉพาะหน้าที่เป็นรูปสามเหลี่ยมของแบบปิรามิดแปดหน้า มักจะพบลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม เล็กๆ เป็นร่องลึกซ้อนกันเข้าไปในเนื้อเพชรเล็กน้อยวางตัวในทิศทางกลับกับสามเหลี่ยมของหน้าผลึก เรียกว่า ไตรกอน (trigon)ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้ในเพชรแท้เท่านั้น เพชรสามารถเกิดขึ้นได้มากมายหลายสี ี แต่ชนิดที่เป็นที่รู้จัก คุ้นเคยมากจะเป็นชนิดสีขาว หรือสีใสไม่มีสี และมักมีสีอื่นปนเล็กน้อย เช่น เหลือง น้ำตาล หรือเทา เพชรที่มีสีเข้มสวยเรียกว่าเพชรสี ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม แต่ว่ามีราคาสูง และหายากมาก เพชรสีได้แก่ เพชรสีชมพูอมแดง เขียว ส้ม เหลืองทอง ฟ้า ม่วง เป็นต้น

    เพชร พบได้ในหลายบริเวณทั่วโลก โดยมีต้นกำเนิดมาจากหินอัคนีชนิดหนึ่งเรียกว่า คิมเบอร์ไลต์ ซึ่งจะเกิดอยู่ในสภาวะที่มีความร้อน ความกดดันสูงมาก และอยู่ลึกภายใต้ผิวโลกกำเนิดของเพชรแบบนี้ ี้เรียกว่า แหล่งปฐมภูมิหลังจากนั้นเมื่อมีการเคลื่อนตัวของหินคิมเบอร์ไลต์ขึ้นสู่ผิวโลก เพชรในหินนี้จะถูกนำ ขึ้นมาด้วยและเมื่อเวลาผ่านไปนานแสนนานในสภาพบรรยากาศของผิวโลก หินคิมเบอร์ไลต์จะมีการผ ุกร่อน ย่อยสลาย  ทำให้เพชรหลุดออกมาจากหินต้นกำเนิด และถูกพัดพาโดยตัวกลางหลายชนิด เช่น น้ำ ลม หิมะ ฯลฯไปสะสมตัวในสภาวะทางธรณีวิทยาที่เหมาะสม เนื่องจากมีค่าความถ่วงจำเพาะสูงมาก พอสมควร  เช่น ในท้องน้ำ ลำธาร แม่น้ำ แอ่งเขา หุบเขา ตลอดจนในทะเล แหล่งเพชรแบบนี้เรียกว่า  แหล่งทุติยภูมิ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีจำนวนมากและให้ผลผลิตเพชรในปริมาณที่มากด้วย มีผู้ประมาณกันว่า โดยเฉลี่ย แล้วเพชรดิบน้ำหนัก 4 กะรัต จะได้จากการขุดเอาเศษดินเศษหินจากแหล่งเพชรประมาณ 23 ตัน แต่ในเพชรดิบจำนวน 4 กะรัต ที่ได้นั้น จะมีเพียง 1 กะรัตเท่านั้นที่มีคุณภาพเป็นรัตนชาติ และจากเพชร 1 กะรัตนี้เมื่อนำไปเจียระไนแล้วจะเหลือน้ำหนักสุดท้ายเพียง 1/2 กะรัตเท่านั้น ดังนั้นการที่จะได้เพชรน้ำหนัก 1 กะรัตมาทำเป็นเครื่องประดับ จึงจะต้องขุดเอาจากเศษดินเศษหินในแหล่งเพชรเป็นจำนวนถึง 46 ตัน แหล่งเพชรที่มีขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งสำคัญของโลกได้แก่ ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ซาอีร์ นามีเบีย บอสวานา รัสเซีย และจีน ผลผลิตเพชรทั้งหมดทั่วโลกจะมีประมาณ 100 ล้านกะรัตต่อปี และจะมีเพียง 20 เปอร์เซนต์จากจำนวนนี้เท่านั้นที่เป็นเพชรที่มีคุณภาพทางรัตนชาติ ที่เหลือจะเป็นเพชรใช้ในทาง อุตสาหกรรมต่างๆ  และจากผลผลิตเพชรทั้งหมด จะมีประมาณ 80 เปอร์เซนต์ที่ถูกควบคุมการตลาด การซื้อขาย โดย บริษัทผู้ผลิตและผู้ค้าเพชรที่ใหญ่และมีอิทธิพลมาก คือ เดอเบียร์ส (De beers)   ผ่านทางเครือข่าย คือ CSO (Central Selling  Organization)ซึ่งจะควบคุมราคาของเพชรดิบที่จัดเตรียม จำหน่าย ให้แก่สาขาสมาชิกที่คัดเลือกจากผู้มีสิทธิ์ซื้อทั่วโลก เพื่อรักษาราคาของเพชรในตลาดค้าเพชรไว้ ศูนย์กลางการซื้อขายเพชรที่สำคัญของโลกอยู่ในประเทศเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ เยอรมัน ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศล แอฟริกาใต้ เป็นต้นสำหรับรูปแบบการเจียระไนของเพชรที่เป็นที่นิยมมากที่สุดใน ปัจจุบันนี้ ได้แก่ การเจียระไนแบบกลมเหลี่ยมเพชรหรือเหลี่ยมเกสร ซึ่งการเจียระไนแบบนี้จะสามารถแสดง คุณลักษณะ เด่นพิเศษของเพชรออกมาให้เห็นได้สวยงามชัดเจนที่สุดรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมรองลงมา ได้แก ่ รูปไข่ รูปหัวใจ รูปสี่เหลี่ยมต่างๆ รูปมาร์คีส์ รูปหยดน้ำ (ลูกแพร์) เป็นต้น ซึ่งเรียกว่าแบบแฟนซี นอกจากนี้อาจจะพบเพชรที่มีการเจียระไนในรูปแบบแปลกๆ เป็นพิเศษเฉพาะตัวได้เช่นกันศูนย์กลางการ เจียระไนเพชรที่สำคัญของโลกอยู่ในประเทศเบลเยี่ยม สหรัฐอเมริกา อิสราเอล อินเดีย ไทย เป็นต้น คุณภาพและคุณค่าราคาของเพชรในตลาดเพชรจะมีการพิจารณาตัดสินด้วย ระบบคัดคุณภาพที่มีความ ละเอียด ซับซ้อนหลายระบบ และมีการจัดแบ่งแยกคุณภาพเพชรออกได้เป็นหลายๆ ระดับแตกต่างกันไป การพิจารณาคุณภาพ และราคาของเพชรที่ดีต้องการประสบการณ์ และความชำนาญเป็นอย่างมาก และยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกระบบที่รู้จัก และเป็นที่นิยมโดยทั่วไปในการพิจารณาถึงคุณภาพราคาของ เพชร  คือ การพิจารณาในเรื่องของความสดใสไร้มลทิน (Clarity) สี (Color) การเจียระไน (Cutting) และน้ำหนัก (Carat weight) ซึ่งเรียกว่า 4C

การพิจารณาเลือกซื้อเพชร ใช้หลักเกณฑ์ 4 ประการ

     1. มลทินหรือตำหนิ การดูว่าเพชรมีมลทินหรือตำหนินั้นจะต้องดูว่า จำนวนมลทินมีมาก หรือน้อยขนาดไหน มลทินนั้นวางตัวอยู่บริเวณใด สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือไม่ ทำให้เพชรสวยน้อยลงหรือไม่ ปัญหาในการจัดระดับคุณภาพเกี่ยวกับมลทินนั้นมีอยู่มาก เพราะใครจะเป็นตุลาการตัดสินว่าเพชรเม็ดนั้นมีมลทินมากน้อยขนาดไหน มีมาตรฐานอย่างไรในการตัดสิน เพราะในเพชรเม็ดเดียวกัน คนดูอาจจะมองเห็นแตกต่างกันไป คนหนึ่งอาจจะบอกว่ามลทินมีบ้าง อีกคนหนึ่งซึ่งไม่ชำนาญอาจจะบอกว่าใสสะอาด ไร้มลทิน ดังนั้น มาทำความเข้าใจหลักการของสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งอเมริกา (GIA)   ซึ่งได้วางมาตรฐานในการจัดระดับคุณภาพมลทินเสียก่อน คำว่ามลทิน หรือตำหนิคือ ร่องรอยที่เกิดขึ้นในเนื้อเพชร หรือบริเวณขอบนอกของเพชร ซึ่งจะมีผลต่อความสวยงาม และความคงทนของเพชร ตำหนิภายนอกอาจจะเป็น รอยขูด รอยแหว่ง บิ่น หลุม บ่อ มลทินภายในอาจจะเป็นรอยแตก ผลึกของแร่อื่น ความมัวหมอง หรือจุดดำ จะต้องดูว่ามลทิน หรือตำหนินั้นมีมากจนมีผลกระทบต่อความสวยงาม หรือความคงทนหรือไม่ มาตรฐานการจัดระดับคุณภาพมลทินจะต้อง ดูด้วยแว่นขยาย หรือกล้องขยายที่มีกำลังขยาย 10 เท่า และจะต้องใช้ผู้ดูที่มีความชำนาญ และประสบการณ์สูง ควรจะดูด้วยตาเปล่าก่อน ถ้ามลทินหรือตำหนินั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็จัดเป็นเพชรที่ไม่สวยสมบูรณ์

การจัดระดับมลทินตามมาตรฐานของสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งอเมริกา แบ่งออกได้ดังนี้ คือ
     

1.1 ระดับ FL (Flawless) สดใสไร้มลทินหรือไร้ตำหนิใดๆ ทั้งสิ้น จัดเป็นเพชรน้ำหนึ่ง แต่ถ้ามีตำหนิที่ผิวเล็กน้อยซึ่งดูแล้วเห็นว่าจะเจียระไนออกใหม่ได้จัดเป็นระดับ IF (Internally Flawless)


     

 

1.2 ระดับ VVS (Very, Very Slightly Included) มีมลทินหรือตำหนิเล็กๆ สามารถมองเห็นได้ภายใต้แว่น หรือกล้องขยายขนาด 10 เท่า ได้ยากมากๆ
               VVS 1 แสดงว่า มลทินหรือตำหนิไม่ได้อยู่บริเวณหน้าโต๊ะ


               VVS 2 แสดงว่า มลทินหรือตำหนิ อยู่บริเวณก้นหรือใต้ขอบเพชรหรืออยู่ทางด้านข้าง


     

 

1.3 ระดับ VS (Very Slightly Included) มีมลทินหรือตำหนิเล็กๆ สามารถมองเห็นภายใต้กำลังขยาย 10 เท่าได้ยากจนถึงค่อนข้างง่าย อาจจะเป็นมลทินขนาดใหญ่ 2 - 3 จุด หรือมลทินขนาดเล็กมากหลายจุด
              VS 1 แสดงว่า มลทินขนาดเล็กเห็นได้ยากภายใต้กำลังขยาย 10 เท่า


              VS 2 แสดงว่า มลทินขนาดเล็ก เห็นได้ค่อนข้างง่าย ภายใต้กำลังขยาย 10 เท่า

 


1.4 ระดับ SI (Small Included) มีมลทินหรือตำหนิขนาดเล็กเห็นได้ง่ายภายใต้กำลังขยาย 10 เท่า
             SI 1 แสดงว่า มลทินขนาดเล็กที่สังเกตเห็นได้ง่าย ภายใต้กำลังขยาย 10 เท่า


             SI 2 แสดงว่า มีมลทินขนาดเล็กที่สังเกตเห็นได้ง่ายมากภายใต้กำลังขยาย 10 เท่า และอาจเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่าเมื่อวางเพชรคว่ำหน้าลง และมองผ่านส่วนล่างของเพชร

 


1.5 ระดับ I (Imperfect) มีมลทินหรือตำหนิเด่นชัดเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า และมีกระทบต่อความคงทน และความสวยงาม

    I1 รอยตำหนิรอยร้าว (feather) และผลึก (crystal) กระจายทั่วไป ทั้งบนคราวน์ และพา วิลเลียน

 

    I2 รอยตำหนิรูปผลึก (crystal) ค่อนข้างมากที่เห็นจากบนคราวน์ รอยร้าว (feather) ยาวบนหน้าเทเบิล และจุด pinpoint

 

    I3 รอยแหว่ง (cavity) ที่บนคราวน์ และพาวิลเลียนเห็นชัด

 

    เพชรที่มีรอยแตกเล็กๆ เหมือนเส้นผมกระจายอยู่ทั่วไปจัดเป็นเพชรที่ไม่สมบูรณ์ ถึงแม้จะมองไม่เห็น ด้วยตาเปล่า  ราคาจะถูกลงมากส่วนเพชรที่ขุ่นมัวไม่สุกใสไม่มีประกายก็จัดเป็นเพชรที่มี คุณภาพต่ำด้วย ราคาของเพชรจะลดหลั่นลงตามคุณภาพของมลทินอย่างไม่สม่ำเสมอกล่าวคือ เพชรที่มีคุณภาพมลทิน จาก ระดับ IF ถึง I มีราคาลดหลั่นลงจากระดับหนึ่งมาระดับหนึ่งไม่เท่ากันตัวอย่างเช่น ราคาที่ลดลงจาก ระดับหนึ่งมาอีกระดับหนึ่ง อาจจะมากหรือน้อยก็คือ จากระดับมลทิน คุณภาพ IF มาถึงมลทินคุณภาพ VS ราคาจะลดลงมากในคุณภาพสีเดียวกัน (มลทินระดับ IF สี G และมลทินระดับ VS 1 สี G ขนาด 1 กะรัต ราคาต่างกันถึง 40,320 บาท) แต่จากระดับ VS 1 ขนาดเท่ากันมาถึงระดับ SI 1 ราคาจะลดลงไม่มากนัก (มลทินระดับ VS 1 สี G และมลทินระดับ SI สี G ขนาด 1 กะรัต ราคาต่างกันแค่ 20,160 บาท) นอกจากนี้ราคายังถูกกำหนดด้วยขนาดของเพชร สี และการเจียระไน (Rappaport Diamond Report พฤษภาคม 2539)

ข้อควรระวังในการตรวจคุณภาพมลทิน

     1. ยากต่อการจะตรวจหามลทินได้ภายใต้แว่นขยาย 10 เท่า ถึงแม้ตามมาตรฐานจะให้ใช้กำลังขยาย แค่ 10 เท่า คนที่มีความชำนาญคุ้นเคยเท่านั้น จึงจะมองเห็นมลทินขนาดเล็กมากๆ ในเพชรระดับ VVS คือ เพชรที่เกือบใสไร้มลทิน คนทั่วไปจะมองเห็นได้ยาก และแม้แต่เพชรในระดับ VS ก็อาจจะมองไม่เห็นเช่นกัน ยิ่งเป็นเพชรที่อยู่ในตัวเรือนยิ่งยากมาก
     2. ระบบแสงที่ใช้ในการตรวจหามลทินก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรจะใช้แสงเข้าทางด้านข้างของเพชรเพื่อหลีกเลี่ยงแสงที่จะสะท้อนกลับมายังตาของผู้ดู ทำให้มองไม่เห็นมลทิน เพราะจะเห็นแต่ประกายวูบวาบของเพชรแทน
     3. ก่อนตรวจดู ควรทำความสะอาดเพชรเสียก่อน เพราะอาจจะเห็นฝุ่นละอองที่อยู่บนเพชรเป็นมลทินไปได้
     4. มลทินบางจุดที่มองเห็นจากก้นเพชร อาจจะมองไม่เห็นทางด้านหน้าโต๊ะเพชร
     5. เพชรที่อยู่ในตัวเรือน จะตรวจหามลทินได้ยากมาก ดังนั้นถ้าเพชรมีขนาดใหญ่ราคาสูงควรจะต้องยอมถอดเพชรออกจากเรือน แล้วค่อยตรวจคุณภาพมลทิน
     6. การจัดระดับคุณภาพมลทินในเพชรขนาดใหญ่ควรทำด้วยความระมัดระวัง จัดระดับให้ถูกต้อง เพราะราคาในแต่ละระดับแตกต่างกันมาก การจัดระดับผิดในแต่ละช่วงมลทินจากระดับใสสะอาด (IF) ระดับเกือบสดใสไร้มลทิน (VVS) ระดับมีมลทินเล็กน้อยมาก (VS) จะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมีผลต่อราคายิ่งประกอบกับ เป็นเพชรขาวไร้สีราคายิ่งต่างกันมาก

    ควรจะซื้อเพชรระดับมลทินใดดี สำหรับคนมีฐานะปานกลางมีเงินไม่มากนัก ระดับ VS - SI เป็นระดับที่เหมาะสมต่อการซื้อมากที่สุด เพราะราคาจะถูกกว่าระดับ IF และ VVS มาก มลทินในระดับ VS - SI มีผลกระทบต่อความสวยงามของเพชรน้อยมาก เว้นแต่จะใช้กล้องขยาย กำลังสูงดู จึงจะเห็นความแตกต่าง

    

    2. สี ตามสากลนิยม เพชรที่ไร้สี ไม่มีสี (colorless) บริสุทธิ์ คือเพชรที่จัดว่ามีคุณภาพดีที่สุดแต่ความสามารถในการดูสี ความแหลมคมของสายตา และประสาทที่สัมผัสสีของแต่ละคน จะแตกต่างกัน สีของเพชรมีความสำคัญในการประเมิน คุณค่ารองลงมาจากมลทิน เนื่องจากเพชรที่ไร้ส ีกับเพชรที่มีสีปนเล็กน้อย จะแยกออกจากกันได้ด้วยตาเปล่าได้ยากมาก จะต้องมีมาตรฐานสีมาเปรียบเทียบ จึงจะมองเห็นความแตกต่างได้ เพชรที่ไร้สีบริสุทธิ์ แต่มีมลทินที่เห็นได้ชัดจะมีราคาถูกกว่าเพชรที่ไม่ไร้สีทีเดียว หรือน้ำไม่ขาวสนิทแต่สดใสไร้มลทิน การจัดระดับคุณภาพสีผิดพลาดก็มีผลกระทบต่อราคาเช่นเดียวกันกับการจัดระดับคุณภาพมลทินผิดพลาด เพราะแต่ละระดับของสีราคาต่างกันมาก เช่น ระดับ D และระดับ E ราคาต่างกันประมาณ 32,760 บาท แต่ระดับ F และระดับ G ราคาต่างกันประมาณ 25,200 บาท ระดับ H และระดับ I ราคาต่างกันประมาณ 10,000 บาท (หมายถึงในขนาดและคุณภาพมลทินเดียวกัน) ใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าเพชรนั้นไร้สีหรือไม่ มีปริมาณสีเหลืองเทาปนอยู่มากน้อยเพียงใด ดังนั้นการพิจารณาสีจึงต้องมีมาตรฐานสีเปรียบเทียบเช่นกัน (ราคาเพชรชนิดมลทิน VVS 1 ขนาด 1 กะรัต จาก Rappaport Diamond Report พฤษภาคม 2539)

    2.1 สเกลที่ไม่ได้มาตรฐาน การใช้สเกลเทียบสีมีความแตกต่างกันมากมาย ซึ่งเป็นสเกลที่ตั้งขึ้นมาอย่างไม่มีมาตรฐาน ใช้สายตาคาดคะเนดูว่าเพชรนั้นมีน้ำขาวบริสุทธิ์ น้ำขาว น้ำเหลืองปนหรือไม่ บ้างใช้คำว่า RIVER สำหรับเพชรไร้สี (น้ำขาวบริสุทธิ์) CAPE สำหรับเพชรที่มีสีเหลืองปน บ้างก็เรียกเป็นเปอร์เซนต์ซึ่งส่วนใหญ่ทางเอเชียใช้กัน เช่น ถ้ามองดูน้ำขาวไร้สีบริสุทธิ์จัดเป็น 100 % เบี่ยงเบนจากขาวไร้สีมาเล็กน้อยจัดเป็น 99 % บ้างเรียกน้ำขาวบริสุทธิ์เป็นเพชรน้ำหนึ่ง น้ำเหลืองปนนิดหน่อยเป็นน้ำรองลงมา ปัญหาก็คือว่าสเกลเหล่านี้ไม่เป็นสเกลสากลไม่ได้ยอมรับกันโดยทั่วไป เพราะว่าเมื่อจัดระดับคุณภาพว่าเป็นเพชรน้ำขาวบริสุทธิ์ไร้สีโดยมองจากทางด้านหน้าโต๊ะ แต่ถ้ามองจากทางด้านข้างกลับมองเห็นมีสีเหลืองปนนิดหน่อย แต่บางทีมองจากด้านข้างกลับไม่เห็นสีเหลือง ดังนั้นจะใช้สเกลอะไรดีจึงจะถูกต้องได้มาตรฐานมากที่สุด
   2.2 สเกลที่ได้มาตรฐาน หลายปีมาแล้ว ที่สถาบันอัญมนีศาสตร์แห่งอเมริกาคิดจัดทำมาตรฐานสีของเพชรขึ้นไว้สำหรับเป็นตัวอย่างเทียบสี เพื่อจัดระดับคุณภาพสีของเพชรโดยการรวบรวมเพชรที่มีช่วงของสีจากไร้สีจนถึงสีเหลืองอ่อน   เพชรที่ใช้เป็นตัวอย่างมาตรฐานเทียบสี มีขนาดตั้งแต่ 1/4 กะรัต (0.25 ct) ขึ้นไป และรวบรวมจัดทำชุดของเพชรเป็นแม่แบบของสีขึ้นมา และใช้สเกลเป็นตัวอักษรจาก D - Z โดยแบ่งเป็นกลุ่ม ดังนี้
                    D E F        ไร้สี
                    G H I J      เบี่ยงเบนจากไร้สีนิดหน่อย
                    K L M        มีสีเหลืองนิดหน่อย
                    N - R       มีสีเหลืองปนบ้าง ตามองเห็นได้ง่าย
                    S - Z        มีสีเหลืองอ่อน เห็นได้ชัด

     เพชรที่มีระดับสีสูงๆ ราคาจะแพงและราคาจะลดลงมาตามระดับ แต่อัตราการลดลงของราคาในแต่ละระดับไม่สม่ำเสมอ เช่นราคาในช่วงเดียวกัน D E F ราคาจะลดลงไม่มากนัก แต่พอข้ามช่วงจาก F มา G ราคาจะลดลงมากขึ้นคือ ราคาของช่วงระดับ D E F และระดับG H I J จะแตกต่างกันมาก ราคาของช่วงระดับ G H I J และระดับ K L M ราคาจะต่างกันมากเช่นกัน แต่จากช่วงระดับ K L M และระดับ N - R และร跢ดับ S - Z ราคาจะลดลงไม่มากนัก (พูดถึงเพชรในขนาดเดียวกัน คุณภาพมลทินเท่ากัน) ดังนั้นจะเห็นว่าการใช้ตาหรือความรู้สึกจัดระดับสีเพชรจะเป็นการเสี่ยงมาก อาจจะทำให้สูญเสียเงินโดยไม่คุ้มค่าได้

ข้อควรระวังในการจัดระดับคุณภาพสี

   1. แสงสีฟ้าจากไฟหรือการสะท้อนแสงของแสงสีขาวออกจากสิ่งแวดล้อม จะทำให้เพชรดูมีน้ำขาวไร้สีมากกว่าความเป็นจริง
   2. เพชรร่วงมักจะห่ออยู่ในกระดาษสีฟ้าทำให้ดูขาวไร้สีขึ้น อย่าจัดระดับสีเพชรโดยใช้ฉากหลังสีฟ้า วิธีการดูสีที่แท้จริง (body color) ของเพชร ทดลองใช้วิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้คือ ล้างเพชรให้สะอาด ม้วนกระดาษสีขาวให้โค้ง ถือไว้ด้วยมือซ้าย ใช้ปากกาคีบคีบจับเพชรด้วยมือขวาโดยให้ด้านหน้าโต๊ะของเพชรวางอยู่บนด้านล่างของกระดาษที่ม้วน ให้มองสีที่ก้นเพชรว่า ขาวไร้สีหรือมีสีเหลืองปน แต่วิธีนี้ใช้กับเพชรที่อยู่ในตัวเรือนไม่ค่อยได้ผล
   3. เพชรที่อยู่ในตัวเรือน จะจัดระดับสีได้ยากเพราะอาจจะทำให้ดูขาว หรือเหลืองกว่าความเป็นจริง
   4. อย่าจัดระดับสีเพชรภายใต้แสงที่สว่างเกินความจำเป็น เพชรจะดูเข้มด้วยแสงไฟ ซึ่งจะบดบังความเหลืองที่ปนอยู่
   5. ให้ระวังมากๆ เมื่อจัดระดับสีเพชรขนาดใหญ่ ยิ่งขนาดใหญ่ยิ่งมีความแตกต่างอย่างมากในราคาแต่ละระดับ สำหรับกลุ่มไร้สีกับเกือบไร้สี การผิดพลาดในการจัดระดับคุณภาพสีจะถือเป็นเรื่องใหญ่ และจะผิดพลาดมากยิ่งขึ้นถ้าเพชรนั้นใสไร้มลทินเพราะราคาจะผิดไปมาก

    ควรจะซื้อเพชรที่อยู่ในระดับสีใด สีที่ควรเลือกใช้ G H I จะถูกกว่า D E F มาก เพชรระดับ G H I จะมองดูขาวไร้สีเหมือนระดับ D E F เมื่อมองจากทางด้านบนของเพชร ดังนั้นเมื่อนำมาเข้าตัวเรือนก็ยากต่อการที่จะมองเห็นความแตกต่างของสี ของสองระดับนี้ และจะไม่มีใครมองเห็นว่าเพชรนี้ไม่ได้ขาวเลยทีเดียว โปรดระวังอย่าจ่ายเงินซื้อเพชรในระดับเกือบไร้สี (G H I) ในราคาของเพชรไร้สี (D E F) เพราะสองช่วงระดับนี้ราคาแตกต่างกันมาก

 

    3. การเจียระไน มีความสำคัญมาก เพราะถ้าเจียระไนดีจะนำเอาความสวยงามของเพชรออกมาให้เห็นเด่นชัด คนทั่วไปมักจะมองข้ามการเจียระไน แต่มุ่งความสนใจไปที่มลทิน และสี ความสวยงามของเพชรจะสมบูรณ์ต่อเมื่อเพชรนั้นมีการกระจายแสงที่ดี หรือที่เรียกว่า มีไฟดี มีความสุกใสสดใส มีประกายแวววับเข้าสู่ตา คุณสมบัติเหล่านี้จะพร้อมมูลต่อเมื่อเพชรนั้นมีการเจียระไนได้ถูกต้อง ได้สัดส่วน มีฝีมือประณีตเรียบร้อย ปัจจุบันเพชรจะมีการเจียระไน 58 เหลี่ยม ที่เรียกว่าเหลี่ยมเกสร หรือเรียกว่า brilliant cut ส่วนเหลี่ยมกุหลาบ หรือเรียกว่า single cut จะเจียระไน 36 เหลี่ยม แต่ไม่ค่อยมีไฟ และความสุกใสประกายวาวเท่าที่ควร ปัจจุบันมีการเจียระไนที่เรียกว่า russian cut ซึ่งก็คือเพชร ที่เจียระไน 58 เหลี่ยมนั้นเอง แต่สัดส่วนของการเจียระไนได้สัดส่วน มีขนาดโต๊ะ ขนาดบ่า ขนาดความลึกของก้น ตามสัดส่วนที่ได้วางมาตรฐานไว้ว่าจะให้ไฟ ความสุกใสประกายสวยงามที่สุด รวมทั้งความปราณีตของแต่ละหน้าแต่ละเหลี่ยมคมชัดสวยงาม เพชรที่เจียระไนแบบนี้จะมีราคาค่อนข้างแพง

    4. น้ำหนัก เพชรจะมีราคาแพงตามขนาดและจะมีค่าสูงตั้งแต่ 1 กะรัตขึ้นไปและค่าจะสูงมากขึ้นตั้งแต่ 5 กะรัตขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวประกอบ สี มลทิน การเจียระไนด้วย

 

ข้อแนะนำในการเลือกซื้อเพชร

     1. เลือกซื้อจากร้านที่มีชื่อเสียง หรือร้านที่รู้จัก
     2. ใช้วิธีการให้ทางร้านอธิบายให้ฟังถึงสี มลทิน การเจียระไนของเพชรที่จะซื้อ
     3. ให้มีใบรับประกันคุณภาพ และสามารถรับคืนได้โดยหักเงินเพียง 10 - 20 %
     4. ใช้แลกเปลี่ยนซื้อของชิ้นใหม่ที่ราคาแพงกว่าได้
     5. ให้ระวังเพชรเทียม เช่น เพชรรัสเซีย เป็นต้น โปรดสังเกตว่าเพชรเทียมจะมีน้ำ ไฟประกายวูบวาบจนผิดสังเกต และจะมีน้ำหนักมากกว่าเพชรเกือบเท่าตัว และเหลี่ยมคมของการเจียระไนไม่ดีเท่าเพชรแท้
     6. ถ้ามีเงินไม่มากนัก ควรเลือกซื้อแหวนเพชรที่ใช้ได้ทุกสมัย ไม่ล้าสมัยเร็ว ( อย่าเลือกแบบแฟนซี ) แบบที่ว่านี้ได้แก่ แหวนเพชรเม็ดเดียว แหวนเพชรที่เพชรเม็ดกลางโตหน่อย มีเพชรเล็กข้างๆ หรือล้อมรอบ มีช่วงราคาประมาณ 20,000 บาท ขนาดของเพชรอย่าให้เล็กเกินไป ถ้าเป็นแหวนเพชรเม็ดเดียวขนาดที่น่าซื้อคือน้ำหนักประมาณ 60 สตางค์ ระดับสี I ระดับมลทิน VS2 มีการเจียระไนที่ดี เลือกแหวนแบบ นี้จะได้ทั้งความสวยงาม และราคาย่อมเยาด้วย แต่ถ้าหากอยากจะได้แหวนแถว ที่น่าซื้อก็จะเป็นแหวนแถวเดียวใช้เพชร 5 เม็ด และอย่าให้สีของเพชรแตกต่างกันมากเพราะจะดูไม่สวย และควรเลือกเพชรเจียระไนเหลี่ยมเกสร น้ำหนักเพชรทั้ง 5 เม็ด ควรรวมกันแล้วได้ประมาณ 50 สตางค์ หรือครึ่งกะรัต ระดับสีประมาณ H I J ระดับมลทิน VS2
     7. ถ้าหากว่าจ่ายเงินซื้อเพชร สี F ระดับ IF ขนาด 1 กะรัต แต่ที่จริงแล้วเป็นเพชรสี H ระดับ VS คุณจะจ่ายเงินมากเป็นสองเท่าของความเป็นจริง

     การทำเทียมเลียนแบบเพชรสามารถทำได้ทั้งจากรัตนชาติแท้ชนิดอื่น รัตนชาติสังเคราะห์ และรัตนชาติเทียมแบบต่างๆ ตัวอย่างเช่น เพชรเทียมจากคิวบิกเซอร์โคเนีย แย๊ก จีจีจี เซอร์คอน คอรันดัม เป็นต้น นอกจากนี้สามารถสังเคราะห์เพชรขึ้นได้โดยเครื่องมือทางวิทยาศาสตรในปริมาณมากมายในระดับ ์เพชรอุตสาหกรรม และในปริมาณจำกัดในระดับรัตนชาติ เพชรจึงจัดเป็นรัตนชาติที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ให้ความ  รู้สึกลึกล้ำ ความมีสุข และมีคุณค่าทางใจอย่างประมาณมิได้นอกเหนือไปจากความมีค่ามีราคาสูง เด่นล้ำกว่า   รัตนชาติชนิดอื่นๆนตลาดรัตนชาติเพชรที่มีความสวยงามคุณภาพอันดับหนึ่งก็จะยิ่งยากที่จะหาสิ่งใดเทียบได