เริ่มปริจเฉทที่
๒ เจตสิกสังคหวิภาค
เจตสิก
๕๒
อัญญสมานาเจตสิก ๑๓
อกุสลเจตสิก ๑๔
โสภณเจตสิก ๒๕
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗
โมจตุกเจตสิก ๔
โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙
ผัสสะ
โมหะ
สัทธา
เวทนา
อหิริกะ
สติ
สัญญา
อโนตตัปปะ
หิริ
เจตนา
อุทธัจจะ
โอตตัปปะ
เอกัคคตา
โลติกเจตสิก ๓
อโลภะ
ชีวิตินทรีย
โลภะ
อโทสะ
มนสิการ
ทิฏฐิ
ตัตรมัชฌัตตตา
ปกิณณกเจตสิก ๖
มานะ
กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ
วิตก
โทจตุกเจตสิก ๔
กายลหุตา จิตตลหุตา
วิจาร
โทสะ
กายมุทุตา จิตตมุทุตา
อธิโมกข
อิสสา
กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา
วิริยะ
มัจฉริยะ
กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา
ปีติ
กุกกุจจะ
กายุชุกตา จิตตุชุกตา
ฉันทะ
ถีทุกเจตสิก ๒
วิรตีเจตสิก ๓
ถีนะ
สัมมาวาจา
มิทธะ
สัมมากัมมันตะ
วิจิกิจฉาเจตสิก ๑
สัมมาอาชีวะ
วิจิกิจฉา
อัปปมัญญาเจตสิก ๒
กรุณา
มุทิตา
ปัญญาเจตสิก ๑
ปัญญินทรีย
ปัญจขันธ์
ปัญจขันธ์ หรือเบ็ญจขันธ์
คือ ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์
รูปขันธ์ คือ
กองรูป ได้แก่ รูปทั้งหมด หมายความว่า รูปธรรมทั้ง ๒๘ รูปนั้นแต่ละรูปก็ได้ชื่อว่า
รูปขันธ์
เวทนาขันธ์ คือ
กองเวทนา ได้แก่ เวทนาเจตสิก
สัญญาขันธ์ คือ
กองสัญญา ได้แก่ สัญญาเจตสิก
สังขารขันธ์ คือ
กองสังขาร ได้แก่เจตสิกที่เหลือทั้งหมด(๕๐ดวง)
มีความหมายว่า
ในเจตสิก ๕๐ ดวงนี้ดวงใดดวงหนึ่ง แม้เพียงดวงเดียวก็ได้ชื่อว่า สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์ คือ
กองวิญญาณ ได้แก่จิตทั้งหมด หมายความว่าจิตดวงใดดวงหนึ่ง แม้แต่ดวงเดียว ก็ได้ชื่อว่า
วิญญาณขันธ์
ตามที่ได้กล่าวแล้วนี้จะเห็นได้ว่าขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้กล่าวถึงนิพพานซึ่งเป็นปรมัตถ
ธรรมนั้นด้วยเลย ทั้งนี้ก็เพราะว่านิพพานเป็นธรรมที่พ้นจากขันธ์และเรียกว่าเป็นขันธ
วิมุตติ
คำว่าขันธ์ที่แปลว่า กอง นี้มีความหมายว่า ธรรมที่เป็นไปได้ ๑๑ กอง หรือมีได้ทั้ง
๑๑ ประเภท
หรือจัดได้ทั้ง ๑๑ อย่าง จึงจะเรียกธรรมนั้นได้ว่าเป็นขันธ์ จิต เจตสิก และรูปนั้นเป็นได้
มีได้ จัดได้ครบ ๑๑ กอง จึงเรียกว่าเป็นขันธ์ได้
ส่วนนิพพานเป็นได้ไม่ครบ ๑๑ กอง จึงไม่เป็นขันธ์ เรียกว่าพ้นจากขันธ์ เป็นขันธวิมุตติ
๑๑
กอง ๑๑ ประเภท หรือ ๑๑ อย่างนั้น คือ
๑. อดีต ๒. ปัจจุบัน ๓. อนาคต
จิต เจตสิก รูป เป็นไปในกาลทั้ง ๓ นี้ได้ เพราะจิต เจตสิก รูป มีการเกิดขึ้น
มีการดำรงคงอยู่ แล้วก็มีการดับไป ที่ดับไปแล้วนั้นเป็นอดีต ที่กำลังดำรงคงอยู่เป็นปัจจุบัน
และที่จะเกิดต่อไปภายหน้าเป็นอนาคต
ส่วนนิพพานเป็นธรรมที่เที่ยงอยู่เป็นนิจนิรันดร ไม่มีการเกิดดับ ซึ่งไม่มีกาลทั้ง
๓ นี้ พ้นจากกาลทั้ง ๓ นี้ เรียกว่าเป็น กาลวิมุตติ
๔. อัชฌัตตะ ๕. พหิทธะ
จิต เจตสิก รูป ที่เป็น อัชฌัตตะ คือเป็นภายในก็มี เป็นพหิทธะคือเป็นภายนอกก็มี
ส่วนนิพพานที่เป็นธรรมภายในนั้นไม่มี นิพพานเป็นธรรมภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น
๖. โอฬาริกะ ๗. สุขุมะ
จิต เจตสิก รูป ที่หยาบก็มี ที่ละเอียดก็มี แต่นิพพานไม่ใช่ ธรรมที่หยาบ
เป็นธรรมที่สุขุมอย่างเดียว
๘. หีนะ ๙. ปณีตะ
จิต เจตสิก รูป ที่ต่ำทรามก็มี ที่ประณีตก็มี ส่วนนิพพานไม่ใช่ธรรมที่ต่ำทราม
แต่เป็นธรรมที่ประณีตยิ่ง
๑๐. สันติเก ๑๑. ทูเร จิต
เจตสิก รูป ที่ใกล้ก็มี ที่ไกลก็มี ส่วนนิพพานไม่ใช่ธรรมที่ใกล้ แต่เป็นธรรมที่ไกล
เพราะเหตุว่านิพพานเป็นได้ไม่ครบทั้ง ๑๑ กอง จึงเป็นขันธ์ไม่ได้ ก็พ้นจากความ
เป็นขันธ์ไป ได้ชื่อว่าเป็นขันธวิมุตติ(และเป็นกาลวิมุตติด้วย)
เจตสิก
คืออะไร
เจตสิก คือ ธรรมชาติสิ่งหนึ่ง
ซึ่งประกอบกับจิต และปรุงแต่งจิตให้ประพฤติเป็น ไปตามนั้น
อาการที่ประกอบกับจิตนั้น เรียกว่า เจโตยุตฺตลกฺขณํ
คือมีสภาพที่ประกอบกับจิต บริบูรณ์ด้วยลักษณะ ๔ ประการ คือ
เอกุปฺปาท
เกิดพร้อมกับจิต
เอกนิโรธ
ดับพร้อมกับจิต
เอกาลมฺพณ
มีอารมณ์เดียวกับจิต
เอกวตฺถุก
อาสัยวัตถุเดียวกับจิต
สภาวธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์เดียวกับจิต และมีวัตถุ
ที่อาสัยเกิดก็เป็นอันเดียวกับจิต ธรรมชาตินั้นเรียกว่า เจตสิก มีจำนวน ๕๒
ดวง
เจตสิก มี ลักษณะ
(คือคุณภาพ หรือเครื่องแสดง) รสะ
(กิจการงาน หรือหน้าที่) ปัจจุปัฏฐาน
(อาการปรากฏ หรือผล) ปทัฏฐาน
(เหตุใกล้ให้เกิด) เป็น ๔ ประการ ซึ่งรวมเรียก ลักขณาทิจตุกะ
นั้นดังนี้
จิตฺตนิสฺสิตลกฺขณํ อาสัยจิตเกิดขึ้น
เป็นลักษณะ
อวิโยคุปฺปาทนรสํ เกิดร่วมกับจิต
เป็นกิจ
เอกาลมฺพณปจฺจุปฏฺฐานํ รับอารมณ์เดียวกับจิต
เป็นผล
จิตฺตุปฺปาทปทฏฺฐานํ มีการเกิดขึ้นแห่งจิตเป็นเหตุใกล้
อนึ่งเจตสิกนี้แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งจิต ให้จิตประพฤติเป็นไปตามลักษณะของ
เจตสิกก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะเจตสิกเป็นสิ่งที่ต้องอาสัยจิตเกิด
เจตสิกทั้ง
๕๒ แบ่งเป็น ๓ ประเภท
เจตสิกทั้งหมด มีจำนวน ๕๒ ดวง ซึ่งแต่ละดวงก็มีลักษณะแตกต่างกัน ไม่เหมือนกันเลย
ถึงกระนั้นก็ยังแบ่งเจตสิก ๕๒ ดวงนี้ได้เป็น ๓ ประเภท คือ
อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง
อกุสลเจตสิก ๑๔ ดวง
โสภณเจตสิก ๒๕ ดวง
อัญญสมานาเจตสิก
อัญญสมานาเจตสิก
เป็นเจตสิกที่ประกอบกับธรรมที่เป็นอกุสล หรือเป็นกุสล หรือเป็นอพยากตะได้ทุกชนิด
เมื่อประกอบกับธรรมชนิดใด ก็มีสภาพเป็นชนิดนั้นไปด้วย กล่าวคือถ้าเกิดร่วมกับอกุสลก็เป็นอกุสลไปด้วย
ถ้าเกิดร่วมกับกุสล ก็จัดเป็นกุสลไปด้วย เมื่อเกิดร่วมกับอพยากตะ ก็เรียกว่าเป็นอพยากตะไปด้วย
อัญญสมานาเจตสิก
มีจำนวน ๑๓ ดวง (ชื่ออะไรบ้าง ดูหน้า ๑.) ในจำนวน ๑๓ ดวงนี้ ยังจัดออกได้เป็น
๒ พวก คือ
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก มีจำนวน ๗ ดวง
ปกิณณกเจตสิก มีจำนวน ๖ ดวง
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก
เป็นเจตสิกที่สาธารณะแก่จิตทั้งหมด คือจิตทั้งหมด ซึ่งมีจำนวน นับอย่างย่อ
๘๙ ดวง หรือนับอย่างพิศดารก็มี ๑๒๑ ดวง นั้น เมื่อจิตดวงใด เกิดขึ้น
เจตสิกทั้ง ๗ ดวงนี้ย่อมเกิดประกอบกับจิตนั้นพร้อมกันทั้ง ๗ ดวง เสมอไป ไม่มีเว้นเลย
ดังนั้นจึงว่าเป็นเจตสิกที่สาธารณะแก่จิตทั้งหมด สมกับที่ชื่อว่า สัพพจิตตสาธารณเจตสิก
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก
๗ ดวง มีดังนี้
ผัสสเจตสิก
๑. ผัสสเจตสิก
คือการกระทบอารมณ์ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
ผุสนลกฺขโณ
มีการกระทบอารมณ์ เป็นลักษณะ
สงฺฆฏฏฺนรโส
มีการประสานอารมณ์ วัตถุ วิญญาณ เป็นกิจ
สนฺนิปาตปจฺจุปฏฺฐาโน มีการประชุมพร้อมกัน
เป็นผล
อาปาถคตวิสยปทฏฺฐาโน มีอารมณ์ปรากฏ เป็นเหตุใกล้
ความหมายของผัสสเจตสิกนี้ ไม่ได้หมายแต่เพียงว่า ของสองสิ่งกระทบกันเท่านั้น
แต่หมายถึงว่าต้องมีธรรม ๓ ประการมาประชุมร่วมพร้อมกัน จึงจะเรียกว่าผัสสเจตสิก
ธรรม ๓ ประการนั้นคือ อารมณ์ ๑ กับวัตถุ ๑ ธรรม ๒ ประการนี้กระทบกัน
และทำให้เกิด วิญญาณอีก ๑ ด้วย ไม่ใช่เพียงว่ากระทบกันเฉย ๆ
เวทนาเจตสิก
๒. เวทนาเจตสิก
คือการเสวยอารมณ์ คือความรู้สึก รู้สึกสบายหรือไม่สบาย แยกตามประเภทแห่งความเป็นใหญ่ในการรู้สึกเป็น
๕ อย่าง ได้แก่
ก. สุขเวทนาเจตสิก
คือความสุขความสบายทางกาย มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อิฏฺฐโผฏฺฐพฺพานุภวนลกฺขณา มีการสัมผัสถูกต้องกับอารมณ์ที่ดีเป็นลักษณะ
สมฺปยุตฺตานํ พยูหนรสา
มีการทำให้สัมปยุตตธรรมเจริญ เป็นกิจ
กายิกอสฺสาทปจฺจุปฏฺฐานา มีความชื่นชมยินดีทางกายเป็นผล
กายินฺทฺริยปทฏฺฐานา
มีกายประสาท เป็นเหตุใกล้
ข. ทุกขเวทนาเจตสิก
คือความทุกข์ยากลำบากกายมีลักขณาทิจตุกะดังนี้
อนิฏฺฐโผฏฺฐพฺพานุภวนลกฺขณา
มีการสัมผัสถูกต้องกับอารมณ์ที่ไม่ดี เป็น ลักษณะ
สมฺปยุตฺตานํ มิลาปนรสา
มีการทำให้สัมปยุตตธรรม เศร้าหมอง เป็นกิจ
กายิกาพาธปจฺจุปฏฺฐานา
มีการอาพาธทางกาย เป็นผล
กายินฺทฺริยปทฏฺฐานา
มีกายปสาท เป็นเหตุใกล้
ค. โสมนัสเวทนาเจตสิก
คือความสุขความสบายใจมีลักขณาทิจตุกะดังนี้
อิฏฺฐารมฺมณานุภวนลกฺขณา
มีการเสวยอารมณ์ที่ดี เป็นลักษณะ
อิฏฺฐาการสมฺโภครสา
มีการทำจิตให้อยู่ร่วมกับอารมณ์ที่ดี เป็นกิจ
เจตสิกอสฺสาทปจฺจุปฏฺฐานา
มีความชื่นชมยินดีทางใจ เป็นผล
ปสฺสทฺธิปทฏฺฐานา
มีความสงบกายสงบใจ เป็นเหตุใกล้
ง. โทมนัสเวทนาเจตสิก
คือ ความทุกข์ใจ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อนิฏฺฐารมฺมณานุภวนลกฺขณา
มีการเสวยอารมณ์ที่ไม่ดี เป็นลักษณะ
อนิฏฺฐาการสมฺโภครสา
มีการตามเสวยอารมณ์ด้วยอาการที่ไม่พอใจ เป็นกิจ
เจตสิกาพาธปจฺจุปฏฺฐานา
มีความอาพาธทางใจ เป็นผล
หทยวตฺถุปทฏฺฐานา
มีหทัยวัตถุ เป็นเหตุใกล้
จ. อุเบกขาเวทนาเจตสิก
คือความรู้สึกเฉย ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
มชฺฌตฺตเวทยิตลกฺขณา
มีการเสวยอารมณ์ปานกลาง เป็นลักษณะ
สมฺปยุตฺตานํ นาติอุปพยูหน มิลาปนรสา
มีการรักษาสัมปยุตตธรรมไม่ให้เจริญไม่ให้เศร้าหมอง
เป็นกิจ
สนฺตภาวปจฺจุปฏฺฐานา มีความเฉย ๆ เป็นผล
นิปฺปิติกจิตฺตปทฏฺฐานา
มีจิตที่ไม่ยินดี เป็นเหตุใกล้
สัญญาเจตสิก
๓. สัญญาเจตสิก
คือธรรมชาติที่จำหมายอารมณ์มีลักขณาทิจตุกะดังนี้
สญฺชานน ลกฺขณา
มีความจำ เป็นลักษณะ
ปุนสญฺชานน ปจฺจยนิมิตฺตกรณ รสา
มีการหมายไว้และจำได้ เป็นกิจ
ยถาคหิต นิมิตฺตวเสน อภินิเวสกรณ ปจฺจุปฏฺฐานา
มีความจำได้ในสิ่งที่หมายไว้ เป็นผล
ยถาอุปฏฺฐิตวิสยปทฏฺฐานา
มีอารมณ์ที่ปรากฏ เป็นเหตุใกล้
เจตนาเจตสิก
๔. เจตนาเจตสิก
คือการแสวงหาหรือขวนขวายที่จะให้เป็นไปในอารมณ์ หรือ ความตั้งใจ หรือ ความสำเร็จ
หรือ ธรรมชาติที่กระตุ้นเตือนสัมปยุตตธรรมให้ทำงาน ตามหน้าที่ของตนๆ
เช่น ความโลภเกิดก็กระตุ้นให้โลภะทำหน้าที่ ความโกรธเกิดขึ้น ก็กระตุ้นให้โทสะทำหน้าที่
ความหลงเกิดขึ้นก็กระตุ้นให้โมหะทำหน้าที่ มหากุสลจิต เกิดขึ้นก็กระตุ้นให้ทำบุญทำกุสล
เจตนา คือกรรมที่ทำหน้าที่ทาง
กาย วาจา ใจ บางแห่งเรียกว่า สังขาร
เจตนาจำแนกได้ ๖ คือ
๑. เจตนาเกิดขึ้นทางรูปสัญญเจตนา
๒. เจตนาเกิดขึ้นทางสัททสัญญเจตนา
๓. เจตนาเกิดขึ้นทางคันธสัญญเจตนา
๔. เจตนาเกิดขึ้นทางรสสัญญเจตนา
๕. เจตนาเกิดขึ้นทางโผฏฐัพพสัญญเจตนา
๖. เจตนาเกิดขึ้นทางธัมมสัญญเจตนา
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
เจตนาภาวลกฺขณา
มีการชักชวน เป็นลักษณะ
อายูหนรสา
มีการขวนขวาย เป็นกิจ
สํวิธาน ปจฺจุปฏฺฐานา
มีการจัดแจง เป็นผล
เสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐานา
มีนามขันธ์ทั้ง ๓ ที่เหลือ (คือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้
เอกัคคตาเจตสิก
๕. เอกัคคตาเจตสิก
คือ ธรรมชาติที่จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อวิกฺเขปลกฺขณา
มีการไม่ฟุ้งซ่าน เป็นลักษณะ
สหชาตานํ สมฺปิณฺฑนรสา
มีการรวบรวมสหชาตธรรม เป็นกิจ
อุปสมปจฺจุปฏฺฐานา
มีความสงบ เป็นผล
สุขปทฏฺฐานา
มีสุขเวทนา เป็นเหตุใกล้
ชีวิตินทรียเจตสิก
๖. ชีวิตินทรียเจตสิก
คือ นามธรรมที่มีหน้าที่รักษานามธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ให้ตั้งอยู่ตามอายุของตน
มีลักขณาทิจตุกะดังนี้
สหชาตานํ อนุปาลนลกฺขณํ
มีการเลี้ยงรักษาธรรมที่เกิดร่วมกันพร้อมกัน
เป็นลักษณะ
เตสํ ปวตฺตนรสํ
มีความตั้งอยู่และเป็นไปได้
เป็นกิจ
เตสญฺเญวฐปนปจฺจุปฏฺฐานํ
มีการทรงอยู่ได้ซึ่งธรรมที่เกิดร่วมกันพร้อมกัน
เป็นผล
เสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐานํ
มีนามขันธ์ทั้ง
๓ ที่เหลือ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้
มนสิการเจตสิก
๗. มนสิการเจตสิก
คือ การกระทำอารมณ์ให้แก่จิต หรือความใส่ใจในอารมณ์ มีลักขณาทิจตุกะ
ดังนี้
สารณลกฺขโณ
มีการทำให้ธรรมที่เกิดร่วมกันพร้อมกัน
(สัมปยุตตธรรม) ใส่ใจในอารมณ์ เป็นลักษณะ
สมฺปยุตฺตานํ อารมฺมเณ สํโยชนรโส
มีการทำให้สัมปยุตตธรรม
ประกอบในอารมณ์ เป็นกิจ
อารมฺมณาภิมุขีภาวปจฺจุปฏฺฐาโน
มีการทำให้สัมปยุตตธรรมให้มีหน้าที่เฉพาะอารมณ์
เป็นผล
อารมฺมณปทฏฺฐาโน
มีอารมณ์
เป็นเหตุใกล้
มนสิการเจตสิก
คือความใส่ใจในอารมณ์นี้ ถ้ามีความใส่ใจเป็นอันดีต่ออารมณ์ หรือใส่ใจในอารมณ์ด้วยอุบายอันแยบคาย
คือใส่ใจให้ถูกต้องตรงตามสภาวะแห่งความเป็นจริงแล้ว ย่อมก่อให้เกิดจิตที่ดีงาม
ความใส่ใจเป็นอันดี เรียกว่า โยนิโสมนสิการ
ถ้าไม่มีความใส่ใจเป็นอันดีต่ออารมณ์ หรือใส่ใจในอารมณ์ด้วยอุบายอันไม่
แยบคายแล้ว ย่อมก่อให้เกิดจิตที่ไม่ดี จิตที่ชั่วที่บาป ความไม่ใส่ใจเป็นอันดีนี้เรียกว่า
อโยนิโสมนสิการ
สาเหตุที่จะให้เกิด โยนิโสมนสิการ คือ
๑. ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา เคยทำบุญไว้แต่ปางก่อน
๒. ปฏิรูปเทสวาส อยู่ในประเทศที่สมควร(ประเทศที่มีสัปบุรุษ)
๓. สปฺปริสูปนิสฺสย คบหาสมาคมกับสัปบุรุษ
๔. สทฺธมฺมสฺสวน ฟังธรรมของสัปบุรุษ
๕. อตฺตสมฺมาปณิธ ตั้งตนไว้ชอบ
ส่วนสาเหตุที่จะให้เกิด อโยนิโสมนสิการ ก็ตรงกันข้าม
คือ
๑. ปุพฺเพอกตปุญฺญตา ไม่เคยสร้างสมบุญแต่ปางก่อน
๒. อปฺปฏิรูปเทสวาส อยู่ในประเทศที่ไม่สมควร (ไม่มีสัปบุรุษ)
๓. อสปฺปริสูปนิสฺสย ไม่คบหาสมาคมกับสัปบุรุษ
๔. อสทฺธมฺมสฺสวน ไม่ฟังธรรมของสัปบุรุษ
๕. อตฺต มิจฺฉาปณิธ ตั้งตนไว้ผิด
ปกิณณกเจตสิก
ปกิณณกเจตสิก
เป็นเจตสิกเบ็ดเตล็ด ไม่ประกอบกับจิตทั่วไป แต่ประกอบกับจิตได้เป็นบางดวง
ปกิณณกเจตสิกมี ๖ ดวง ดังต่อไปนี้
วิตกเจตสิก
๑. วิตกเจตสิก คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ หรือเรียกว่าการคิด
การนึกถึงอารมณ์ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อภินิโรปนลกฺขโณ
มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
เป็นลักษณะ
อาหนปริยาหนรโส
มีการกระทำให้จิตกระทบอารมณ์บ่อย
ๆ เป็นกิจ
อารมฺมเณ จิตฺตสฺส อานยนปจฺจุปฏฺฐาโน
มีจิตที่ทรงอยู่ในอารมณ์
เป็นผล
เสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐาโน
มีนามขันธ์ทั้ง
๓ ที่เหลือ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้
วิตกเจตสิก คือ
การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์นี้ มีความหมายใกล้เคียงกับเจตนาเจตสิก ความตั้งใจในอารมณ์
และมนสิการเจตสิกความใส่ใจในอารมณ์ เพื่อให้เห็นความ แตกต่างกัน
จึงมีข้ออุปมาด้วยเรือแข่งว่า
เจตนาเจตสิก
อุปมาดังคนพายหัวต้องคว้าธงให้ได้ อันหมายถึงความสำเร็จคือชัยชนะ
มนสิการเจตสิก
อุปมาดังคนถือท้าย ต้องคัดวาดเรือให้ตรงไปยังธงอันเป็นหลักชัย
วิตกเจตสิก อุปมาดังคนพายกลางลำ
มุ่งหน้าจ้ำพายไปแต่อย่างเดียว
วิจารเจตสิก
๒. วิจารเจตสิก คือ การประคองจิตให้อยู่ในอารมณ์
หรือคิดบ่อย ๆ นั่นเอง มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อารมฺมณานุมชฺชนลกฺขโณ
มีการพิจารณาอารมณ์บ่อย
ๆ เป็นลักษณะ
ตตฺถ สหชาตานุโยชนรโส
มีการทำให้สหชาตธรรมประกอบในอารมณ์
เป็นกิจ
จิตฺตอนุปฺปพนฺธปจฺจุปฏฺฐาโน
มีการตกแต่งจิตให้อยู่ในอารมณ์
เป็นผล
เสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐาโน
มีนามขันธ์ทั้ง
๓ ที่เหลือ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้
อธิโมกขเจตสิก
๓. อธิโมกขเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ทำให้จิตตัดสินในอารมณ์
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
สนฺนิฏฺฐานลกฺขโณ
มีการสันนิษฐานอารมณ์ เป็นลักษณะ
อสํสปฺปนรโส
มีการไม่โยกไม่คลอน เป็นกิจ
วินิจฺฉยปจฺจุปฏฺฐาโน
มีการตัดสิน เป็นผล
สนฺนิฏฺเฐยฺยธมฺมปทฏฺฐาโน
มีสันนิษฐานธรรม เป็นเหตุใกล้
วิริยเจตสิก
๔. วิริยเจตสิก
คือ ความเพียรเพื่อให้ได้อารมณ์ การที่จะเกิดความเพียร เนื่องมาจากพิจารณาเห็นสังเวชวัตถุ
๘ ประการ คือ
๑. ความเกิด พิจารณาเห็นความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ จึงเกิดความเพียร
๒. ความแก่ พิจารณาโทษและภัยของการแก่ จึงเร่งรีบศึกษาธรรมก่อนแก่
๓. ความเจ็บไข้ พิจารณาเห็นความเจ็บไข้เป็นภัย ตอนไม่เจ็บไข้จึงรีบปฏิบัติธรรม
๔. ความตาย พิจารณาเห็นคนตายแล้วศึกษาปฏิบัติธรรมไม่ได้ จึงรีบปฏิบัติ
๕. พิจารณาเห็นทุกข์ที่อยู่ในนรก เกิดความกลัว จึงรีบขวนขวายหาธรรม
๖. เห็นการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นทุกข์ จึงเพียรปฏิบัติธรรมให้พ้นจากการเป็น
เดรัจฉาน
๗. พิจารณาเห็นการเกิดเป็นเปรต มีความทุกข์ทรมาน จึงเพียรหาทางให้พ้น
๘. พิจารณาเห็นทุกข์ของการเกิดเป็นอสุรกาย จึงเพียรหาทางที่ไม่ต้องไปเป็น
อสุรกาย
วิริยเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อุสฺสาหนลกฺขณํ
มีความอุตสาหะ เป็นลักษณะ
สหชาตานํ อุปตฺถมฺภนรสํ
มีการอุดหนุนค้ำชูสหชาตธรรม เป็นกิจ
อสํสีทนปจฺจุปฏฺฐานํ
มีการไม่ย่อท้อถดถอย เป็นผล
สํเวคปทฏฺฐานํ
มีความสลด เป็นเหตุใกล้
ปีติเจตสิก
๕. ปีติเจตสิก คือความปลาบปลื้ม หรืออิ่มใจในอารมณ์
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
สมฺปิยายนลกฺขณา
มีความอิ่มใจ เป็นลักษณะ
กายจิตฺตปีฬนรสา
มีการทำให้กายและใจอิ่มเอิบ เป็นกิจ
โอทคฺยปจฺจุปฏฺฐานา
มีกายและใจเฟื่องฟู เป็นผล
เสสขนฺธตฺตยปทฏฺฐานา มีนามขันธ์ทั้ง
๓ ที่เหลือ (เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
วิญญาณขันธ์) เป็นเหตุใกล้
ปีติเจตสิก คือความปลาบปลื้มใจ อิ่มใจในอารมณ์นั้นมี
๕ ประการ
๑. ขุทฺทกาปีติ
ปลาบปลื้มใจเล็กน้อยพอรู้สึกขนลุก
๒. ขณิกาปีติ
ปลาบปลื้มใจชั่วขณะเกิดขึ้นบ่อย ๆ
๓. โอกฺกนฺติกาปีติ ปลาบปลื้มใจจนถึงกับตัวโยกตัวโคลง
๔. อุพฺเพงฺคาปีติ
ปลาบปลื้มใจจนถึงกับตัวลอย
๕. ผรณาปีติ
ปลาบปลื้มใจจนอิ่มเอิบซาบซ่านไปทั่วทั้งกายและใจ
ปีติ ที่เป็นองค์ฌานนั้น ต้องถึงผรณาปีติ ส่วนปีติอีก
๔ ไม่นับเป็นองค์ฌาน เพราะยังเป็นของหยาบอยู่
อนึ่ง ปีติ กับ สุข ต่างกัน คือ ปีติ เป็นสังขารขันธ์ สุขเป็นเวทนาขันธ์
และเมื่อมีปีติ จะต้องมีสุขเสมอแน่นอน แต่ว่าเมื่อมีสุข อาจจะไม่มีปีติด้วยก็ได้
ฉันทเจตสิก
๖. ฉันทเจตสิก
คือ ความพอใจในอารมณ์ ความปลงใจที่จะทำ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กตฺตุกมฺยตา ลกฺขโณ
มีความปรารถนาเพื่อจะกระทำ เป็นลักษณะ
อารมฺมณปริเยสนรโส
มีการแสวงหาอารมณ์ เป็นกิจ
อารมฺมเณน อตฺถิกตาปจฺจุปฏฺฐาโน
มีความปรารถนาอารมณ์ เป็นผล
อารมฺมณปทฏฺฐาโน
มีอารมณ์ เป็นเหตุใกล้
ฉันทเจตสิก จำแนกเป็น ๒ คือ ความพอใจในกาม กับความพอใจใคร่ที่จะทำ
๑) ความพอใจในกามฉันทะ
คือความยินดีใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นอกจากนั้นแล้วถ้าตกอยู่ในอกุสลจิต
ก็จะเป็นนิวรณ์ ก็ทำแต่บาป เป็นสนิม ตกอยู่ในความกันดาร ไม่ใคร่คิดทำบุญทำกุสล
ถ้าตกอยู่ในโลภมูลจิตก็จะโลภ ทำแต่สิ่งที่คิดว่าจะได้ โดยไม่คิดให้รอบคอบ
ถ้าไม่ได้ดังที่ตั้งใจไว้ก็จะโกรธ ครั้นได้มาก็เกิดความหลงอยู่ แม้สิ่งอื่นที่พอใจในกาม
ก็เป็นกามฉันทะ เช่นพอใจในอัญญมณี พอใจในการหาลาภ ยศ สรรเสริญ คำเยินยอ พอใจในการฟุ้งเฟ้อ
ฯลฯ ก็เป็นกามฉันทะ
๒) ความพอใจใคร่ที่จะทำ คือความยินดีที่จะทำในสิ่งที่ตนชอบตนพอใจ
ถ้าทำในสิ่งที่เป็นอกุสล ก็จะพอใจในการทำสิ่งที่ผิด ๆ ก็เกิดโทษอายุจะสั้น
ถ้าทำในสิ่งที่เป็น กุสลก็จะได้ประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น เช่น พอใจในการเจริญ
อิทธิบาทภาวนา พอใจใน การทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ตนเองปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบก็ได้กุสล
ถ้าฉันทะแรงกล้า เป็นอิทธิบาทภาวนาก็จะทำสิ่งที่พอใจได้สำเร็จได้ เช่น ตั้งใจและพอใจในการทำงานชิ้นหนึ่ง
ให้สำเร็จ และได้ลงมือทำติดต่อกันงานนั้นก็สำเร็จได้ก่อนที่ตนจะต้องตายลง
เพราะแรง ของฉันทะแรงกล้า ช่วยต่ออายุให้ยืนยาวออกไป
อีกประการหนึ่ง แยกกามฉันทะ ออกเป็น ๕ ประการ คือ
ก. พอใจในการแสวงหาอารมณ์
ข. พอใจในอารมณ์ที่ได้รับแล้ว
ค. พอใจในการเสวยอารมณ์
ง. พอใจในการรักษาอารมณ์
จ. พอใจในการแจกจ่ายอารมณ์ให้ผู้ที่ตนรักตนหวังพึ่ง เช่น หาทรัพย์มาได้ก็จะพอใจแล้วใช้สอยทรัพย์นั้น
ส่วนที่เหลือก็จะเก็บไว้ เพื่อแจกจ่ายให้ บุคคลที่ตนรัก หรือตนหวังพึ่งพาอาศัย
ฉันทะทั้ง ๕ ประการ ดังกล่าวเป็นตัณหา เป็นต้นเหตุให้เกิดความรักความชังขึ้นได้
เป็นอกุสล เป็นทางให้เกิดอคติขึ้นได้ ถ้าไม่มีฉันทะทั้ง ๕ ประการดังกล่าวแล้ว
ความรัก ความชังก็ไม่เกิด
อกุสลเจตสิก
อกุสลเจตสิก
คือเจตสิกที่ชั่ว ที่บาป ที่หยาบ ที่ไม่งาม ที่ไม่ฉลาด อกุสลเจตสิกนี้ เมื่อประกอบกับจิตแล้ว
ก็ทำให้จิตเศร้าหมอง เร่าร้อน และทำให้เสียศีลธรรม
อกุสลเจตสิก
ประกอบกับอกุสลจิต ๑๒ ดวง เท่านั้น ไม่ประกอบกับจิตอย่างอื่นเลย และเพราะเหตุว่าอกุสลเจตสิกประกอบเฉพาะอกุสลจิต
ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า อกุสลเจตสิก ไม่ชื่อว่าอโสภณเจตสิก เพราะถ้าชื่อว่าอโสภณเจตสิกแล้ว
ก็จะมีความหมายไปว่า ต้องประกอบกับอโสภณจิตได้ทั้งหมด กล่าวคือ ต้องประกอบกับอเหตุกจิตด้วย
อกุสลเจตสิก มี ๑๔ ดวง แบ่งออกเป็น ๕ พวก คือ
ก. โมจตุกเจตสิก เป็นเจตสิกพวกโมหะ ประกอบกับอกุสลจิตได้ทั้งหมด
๑๒ ดวง ดังนั้นจึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สัพพากุสลสาธารณเจตสิก
หมายความว่า เป็นเจตสิกที่สาธารณแก่ อกุสลจิต ทั้งหมด มี ๔ ดวง คือ
โมหเจตสิก
อหิริกเจตสิก
อโนตตัปปเจตสิก
อุทธัจจเจตสิก
ข. โลติกเจตสิก
เป็นเจตสิกพวกโลภะ ประกอบได้เฉพาะแต่โลภมูลจิต ๘ ดวงเท่านั้น มี ๓ ดวง
คือ
โลภเจตสิก
ทิฏฐิเจตสิก
มานเจตสิก
ค. โทจตุกเจตสิก เป็นเจตสิกพวกโทสะ ประกอบได้เฉพาะแต่โทสมูลจิต
๒ ดวงเท่านั้น มี ๔ ดวง คือ
โทสเจตสิก
อิสสาเจตสิก
มัจฉริยเจตสิก
กุกกุจจเจตสิก
ง. ถีทุกเจตสิก เป็นเจตสิกพวกถีนะ ประกอบได้เฉพาะแต่อกุสลจิตที่เป็นสสังขาริก
๕ ดวงเท่านั้น มี ๒ ดวง คือ
ถีนเจตสิก
มิทธเจตสิก
จ. วิจิกิจฉาเจตสิก
ไม่มีพวกมีแต่ตัวดวงเดียว และประกอบได้เฉพาะแต่ โมหมูลจิตที่เป็นวิจิกิจฉา
ดวงเดียวเท่านั้นเอง
โมหเจตสิก
๑. โมหเจตสิก
คือ ธรรมชาติที่เป็นความหลง ความไม่รู้จริงตามสภาวของอารมณ์ มีความหลงเข้าใจไม่ตรงกับสภาวธรรม
อารมณ์ที่ดีงามกลับเห็นเป็นไม่ดีไม่งาม อารมณ์ที่ไม่ดีไม่งาม เป็นอกุสลกลับเห็นว่าดีแล้วกระทำลงไปเพราะความมืดมนธ์
ไม่มีปัญญาจึงทำผิด ควรแก้ด้วยการศึกษา และให้แสงสว่างทางปัญญาเพื่อมิให้หลงทำ
ในสิ่งที่ผิด ๆ โมหเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อญาณลกฺขโน
มีการไม่รู้ เป็นลักษณะ
อารมฺมณสภาวจฺฉาทนรโส มีการปกปิดไว้ซึ่งสภาวแห่งอารมณ์
เป็นกิจ
อนฺธการปจฺจุปฏฺฐาโน
มีความมืดมนธ์ เป็นผล
อโยนิโสมนสิการปทฏฺฐาโน มีการไม่เอาใจใส่เป็นอันดีต่ออารมณ์นั้น
เป็นเหตุใกล้
ที่ว่าไม่รู้นั้น หมายความว่าไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้
แต่ไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้
ความไม่รู้ในที่นี้ หมายเฉพาะไม่รู้ในธรรม ๘ ประการ คือ
๑) ไม่รู้ในทุกข์ ว่าทุกข์คืออะไร อะไรเป็นตัวทุกข์ และไม่รู้ว่า ตัวทุกข์นั้นมีอยู่เท่าไร
อะไรบ้าง
๒) ไม่รู้เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์คือไม่รู้ว่าทุกข์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด
นั้นเกิดมาจากเหตุอะไรอะไรเป็นเหตุให้เกิด
๓) ไม่รู้ธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ คือ นิพพาน
๔) ไม่รู้ทางที่จะปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
๕) ไม่รู้ขันธ์ ธาตุ อายตนะฯ ที่เป็นอดีต (อเหตุกทิฏฐิ ไม่เชื่อเหตุ)
๖) ไม่รู้ขันธ์ ธาตุ อายตนะฯ ที่เป็นอนาคต (อุทเฉททิฏฐิ เห็น ว่าสูญ
และนัตถิกทิฏฐิ ไม่เชื่อผล)
๗) ไม่รู้ขันธ์ ธาตุ อายตนะฯ ที่เป็นทั้งอดีต และอนาคต (อกิริยทิฏฐิ ไม่เชื่อทั้งเหตุและผล)
๘) ไม่รู้ธรรมที่เป็นเหตุ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย ตามนัยปฏิจจสมุปบาท
(อัตตทิฏฐิ เชื่อว่าเป็นตัวเป็นตน)
อหิริกเจตสิก
๒. อหิริกเจตสิก
คือ ความไม่ละอายต่อการทำบาป ไม่ละอายต่อการทำอกุสล มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กายทุจฺจริตาทีหิอชิคุจฺฉนลกฺขณํ มีการไม่เกลียดต่อกายทุจริตเป็นต้น เป็นลักษณะ
ปาปานํกรณรสํ
มีการกระทำบาป เป็นกิจ
อสงฺโกจนปจฺจุปฏฺฐานํ
มีความไม่เกลียดต่อบาปธรรม เป็นผล
อตฺตอคารวปทฏฺฐานํ
มีการไม่เคารพตน เป็นเหตุใกล้
ที่ไม่เคารพตน เพราะ
ก. ไม่ละอายต่อ วัย
ข. ไม่ละอายต่อ เพศ
ค. ไม่ละอายต่อ ตระกูล
ง. ไม่ละอายต่อ อกุสล
อโนตตัปปเจตสิก
๓. อโนตตัปปเจตสิก
คือ ความไม่สะดุ้งกลัวต่อการทำบาป ไม่สะดุ้งกลัวต่อการทำ อกุสล มีลักขณาทิจตุกะ
ดังนี้
อนุตฺตาสลกฺขณํ
มีการไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป เป็นลักษณะ
ปาปานํกรณรสํ
มีการกระทำบาป เป็นกิจ
อสงฺโกจนฺปจฺจุปฏฺฐานํ มีความไม่เกลียดต่อบาปธรรม เป็นผล
ปรอคารวปทฏฺฐานํ ไม่มีการเคารพผู้อื่น
เป็นเหตุใกล้
อุทธัจจเจตสิก
๔. อุทธัจจเจตสิก คือความฟุ้งซ่าน ไม่สงบ คิดฟุ้งไปในอารมณ์ต่าง
ๆ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อวูปสมลกฺขณํ
มีความไม่สงบ เป็นลักษณะ
อนวตฺถานรสํ
มีการไม่มั่นในอารมณ์เดียว เป็นกิจ
ภนฺตตฺถ ปจฺจุปฏฺฐานํ
มีความหวั่นไหว เป็นผล
อโยนิโสมนสิการ ปทฏฺฐานํ มีการไม่เอาใจใส่เป็นอันดีต่ออารมณ์นั้น เป็นเหตุใกล้
โลภเจตสิก
๕. โลภเจตสิก
คือธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต ทำให้ติดใจในอารมณ์ ๖ หรือ ความรัก ความอยากได้
ความติดใจในอารมณ์ ๖ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อารมฺมณคหณลกฺขโณ
มีการถือมั่นซึ่งอารมณ์ เป็นลักษณะ
อภิสงฺครโส
มีการติดในอารมณ์ เป็นกิจ
อปริจฺจาคปจฺจุปฏฺฐาโน
มีการไม่บริจาค เป็นผล
สํโยชนิธมฺเมสุ อสฺสาททสฺสนปทฏฺฐาโน
มีการดูด้วยความยินดีในสังโยชน์
เป็นเหตุใกล้
อรรถของโลภะ จำแนกออกได้ ๑๐ ประการ คือ
(๑) ตัณหา ความต้องการ
(๒) ราคะ ความกำหนัด
(๓) กามะ ความใคร่
(๔) นันทิ ความเพลิดเพลิน
(๕) อภิชฌา ความเพ่งเล็ง
(๖) ชเนตติ ความก่อให้เกิดกิเลส
(๗) โปโนพภวิก ความนำให้เกิดในภพใหม่
(๘) อิจฉา ความปรารถนา
(๙) อาสา ความหวัง
(๑๐) สังโยชน์ ความเกี่ยวข้อง ความผูกพันธ์ ผูกมัด รัดไว้ ล่ามไว้
ความกระหายอยากได้ซึ่งอารมณ์นั้น เรียกว่า ตัณหา
ความกำหนัดที่อยากได้ซึ่งกามคุณอารมณ์นั้น เรียกว่า กามตัณหา
ตัณหาที่เกิดพร้อมด้วย สัสสตทิฏฐิ เรียกว่า ภวตัณหา
ตัณหาที่เกิดพร้อมด้วย อุจเฉททิฏฐิ เรียกว่า วิภวตัณหา
ทิฏฐิเจตสิก
๖. ทิฏฐิเจตสิก
คือธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต ทำให้จิตเห็นผิดจากความเป็นจริง มีลักขณาทิจตุกะ
ดังนี้
อโยนิโส อภินิเวส ลกฺขณา
มีการถือมั่นด้วยหาปัญญามิได้ เป็นลักษณะ
ปรามาส รสา
มีการถือผิดจากสภาวะ เป็นกิจ
มิจฺฉาภินิเวสปจฺจุปฏฺฐานา
มีการยึดถือความเห็นผิด เป็นผล
อริยานํ อทสฺสน กามตาทิ ปทฏฺฐานา ไม่ต้องการเห็นพระอริยะเป็นต้น เป็นเหตุใกล้
คำว่า ทิฏฐิ ถ้าใช้ลอย
ๆ ก็หมายถึงมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด เว้นไว้แต่ที่ใดบ่งว่าเป็น สัมมาทิฏฐิ
จึงมีความเห็นว่าเป็นความเห็นชอบ ความเห็นถูก
โดยเฉพาะ ทิฏฐิเจตสิก เป็นความเห็นผิดเสมอไป และทิฏฐินี้แบ่งอย่างหยาบ ๆ เป็น
๒ คือ ทิฏฐิสามัญ และทิฏฐิพิเศษ
ทิฏฐิสามัญ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ คือเห็นเป็นตัวตนบุคคลเราเขา อันเป็นความเห็นผิด
แต่ที่จัดเป็นสามัญ เพราะทิฏฐิชนิดนี้มีประจำทั่วทุกตัวสัตว์เป็นปกติวิสัย
(เว้นพระอริยบุคคล)
ทิฏฐิพิเศษ ได้แก่ นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ คือ
อเหตุกทิฏฐิ
ไม่เชื่อเหตุ นัตถิกทิฏฐิ
ไม่เชื่อผล อกิริยทิฏฐิ ไม่เชื่อทั้งเหตุทั้งผล
สัสสตทิฏฐิ
เห็นว่าเที่ยงแท้แน่นอน
อุจเฉททิฏฐิ
เห็นว่าสูญ
ตลอดทั้งทิฏฐิ ๖๒ ที่จัดเป็นทิฏฐิพิเศษ ก็เพราะว่าทิฏฐิชนิดนี้บางคนก็มี บางคนก็ไม่มี
มานเจตสิก
๗. มานเจตสิก คือ ความถือตนความทะนงตน มีลักขณาทิจตุกะดังนี้
อุณฺณติ ลกฺขโณ มีการทะนงตน เป็นลักษณะ
สมฺปคฺค รโส มีการยกย่องสัมปยุตตธรรม เป็นกิจ
เกตุกมฺยตาปจฺจุปฏฺฐาโน มีความปรารถนาสูง เป็นผล
ทิฏฺฐิวิปฺปยุตฺตโลภ ปทฏฺฐาโน มีโลภจิตที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตต เป็นเหตุใกล้
มานะ นี้ท่านจัดไว้ ๙ ประการ คือ
(๑) เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่า
เลิศกว่าเขา
(๒)
"
"
เสมอเขา
(๓)
"
"
เลวกว่าเขา
(๔) เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่า
เลิศกว่าเขา
(๕)
"
"
เสมอเขา
(๖)
"
"
เลวกว่าเขา
(๗) เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่า
เลิศกว่าเขา
(๘)
"
"
เสมอเขา
(๙)
"
"
เลวกว่าเขา
อติมานะ=ดูหมิ่นท่าน,สารัมภะ=แข่งดี,ถัมภะ=หัวดื้อ,สาเถยยะ=โอ้อวด เหล่านี้จัดเป็นมานะทั้งสิ้น
ข้อควรสังเกต คือถ้าเกิดมีการเปรียบเทียบเรากับเขาขึ้นเมื่อใดก็เป็นมานะเมื่อนั้น
ไม่ว่าการเปรียบเทียบนั้นจะเป็นการเปรียบเทียบด้วย ชาติ โคตร สกุล รูป สมบัติ
ทรัพย์ ศิลปะวิทยา การงาน หรือ ความเฉลียวฉลาด
โทสเจตสิก
๘. โทสเจตสิก คือ ความโกรธ ความไม่ชอบใจในอารมณ์ทั้ง
๖ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
จณฺฑิกลกฺขโณ
มีความหยาบกระด้าง เป็นลักษณะ
นิสฺสยทาหนรโส
มีการทำให้จิตตนและผู้อื่นหม่นไหม้ เป็นกิจ
ทูสนปจฺจุปฏฺฐาโน
มีการประทุษฐร้าย การทำลาย เป็นผล
อาฆาตวตฺถุ ปทฏฺฐาโน
มีอาฆาตวัตถุ เป็นเหตุใกล้
ความไม่ชอบใจ เสียใจ กลุ้มใจ รำคาญใจ
หงุดหงิด โกรธ เกลียด กลัว ประทุษฐร้าย ทำลาย เหล่านั้นเป็นลักษณะหรือเป็นตัวโทสะทั้งนั้น
อาฆาตวัตถุ อันเป็นเหตุใกล้ให้เกิดโทสะนั้นมี
๑๐ ประการ คือ
(๑) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา ได้ ทำความเสื่อมเสียให้แก่เรา
(๒) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา กำลัง ทำความเสื่อมเสียให้แก่เรา
(๓) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา จัก ทำความเสื่อมเสียให้แก่เรา
(๔) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา ได้ ทำความเสื่อมเสียให้แก่ผู้ที่เรารักเราชอบ
(๕) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา กำลัง ทำความเสื่อมเสียให้แก่ผู้ที่เรารักเราชอบ
(๖) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา จัก ทำความเสื่อมเสียให้แก่ผู้ที่เรารักเราชอบ
(๗) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา ได้ ทำคุณประโยชน์ให้แก่ผู้ที่เราเกลียดชัง
(๘) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา กำลัง ทำคุณประโยชน์ให้แก่ผู้ที่เราเกลียดชัง
(๙) อาฆาตเขา เพราะคิดว่าเขา จัก ทำคุณประโยชน์ให้แก่ผู้ที่เราเกลียดชัง
(๑๐) ความอาฆาตเกิดขึ้นในฐานะอันไม่สมควร
เช่นเกิดโกรธขึ้นเมื่อเดินสะดุดตอไม้ หรือ เหยียบหนาม เป็นต้น
อิสสาเจตสิก
๙. อิสสาเจตสิก คือธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต ให้จิตเกิดความไม่ยินดี
ความริษยาในการ ได้ลาภได้ยศของผู้อื่น มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
ปรสมฺปตฺตีนํ อุสฺสูยนลกฺขณา
มีการริษยาในสมบัติของผู้อื่น
เป็นลักษณะ
ตตฺเถว อนภิรติรสา
มีการไม่ชอบใจในความมั่งมีของผู้อื่น
เป็นกิจ
ตโตวิมุขภาวปจฺจุปฏฺฐานา
มีการเบือนหน้าหนีจากสมบัติของผู้อื่น
เป็นผล
ปรสมฺปตฺติปทฏฺฐานา
มีสมบัติของผู้อื่น
เป็นเหตุใกล้
มัจฉริยเจตสิก
๑๐. มัจฉริยเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต
ให้จิตเกิดความตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ยอมเสียสละ มีลักขณาทิจตุกะ
ดังนี้
อตฺตโนสมฺปตฺตีนํ นิคูหนลกฺขณํ
มีการซ่อนสมบัติของตน
เป็นลักษณะ
ตาสํ เยว ปเรหิสาธารณภาว อกฺขมนรสํ มีการไม่ชอบให้สมบัติของตนเป็นสาธารณแก่ผู้อื่น
เป็นกิจ
สงฺโกจนปจฺจุปฏฺฐานํ
มีความหดหู่
หวงแหน ไม่เผื่อแผ่ เป็นผล
อตฺตสมฺปตฺติปทฏฺฐานํ
มีสมบัติของตน
เป็นเหตุใกล้
มัจฉริยะ ๕ ประการ ได้แก่
(๑) อาวาสมัจฉริย ตระหนี่
ที่อยู่
(๒) กุลมัจฉริย ตระหนี่
สกุล
(๓) ลาภมัจฉริย ตระหนี่
ลาภ
(๔) วัณณมัจฉริย ตระหนี่ วรรณะ
(๕) ธรรมมัจฉริย ตระหนี่ ธรรม
กุกกุจจเจตสิก
๑๑. กุกกุจจเจตสิก คือธรรมชาติที่เดือดร้อนรำคาญใจในสิ่งชั่ว
อกุสลกรรมที่ได้ทำ ไปแล้ว และร้อนใจในกุสลกรรม ความดีที่ยังไม่ได้ทำ มีลักขณาทิจตุกะ
ดังนี้
ปจฺฉานุตาปลกฺขณํ
มีความเดือดร้อนอยู่เนืองๆ
ในภายหลัง เป็นลักษณะ
กตากตานุโสจนรสํ
มีการตามเดือดร้อนอยู่เนือง
ๆ ถึงบาปที่ได้กระทำแล้ว และบุญที่ไม่ได้กระทำ เป็นกิจ
วิปฺปฏิสารปจฺจุปฏฺฐานํ
มีความกินแหนงใจอยู่
เป็นผล
กตากตปทฏฺฐานํ
มีการทำบาป
มิได้กระทำบุญ เป็นเหตุใกล้
ถีนเจตสิก
๑๒. ถีนเจตสิก คือเจตสิกที่ทำให้จิตท้อถอยหดหู่
เซื่องซึม ไม่ใส่ใจในอารมณ์ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อนุสฺสาหลกฺขณํ
มีการไม่อุตสาหะ เป็นลักษณะ
วีริยวิโนทนรสํ
มีการทำลายความเพียร เป็นกิจ
สํสีทนปจฺจุปฏฺฐานํ
มีความท้อถอย เป็นผล
อโยนิโสมนสิการปทฏฺฐานํ มีการไม่เอาใจใส่เป็นอันดีต่ออารมณ์นั้น
เป็นเหตุใกล้
มิทธเจตสิก
๑๓. มิทธเจตสิก คือเจตสิกที่ทำให้เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยตนให้หดหู่ท้อถอย
ง่วงเหงาหาวนอน และง่วงซึมหลับ จับอารมณ์ไม่ติด มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อกมฺมญฺญตาลกฺขณํ
มีความไม่ควรแก่การงาน เป็นลักษณะ
โอทหนรสํ
มีการกั้นกำบังกุสล เป็นกิจ
ลีนตาปจฺจุปฏฺฐานํ
มีความท้อถอย เป็นผล
อโยนิโสมนสิการปทฏฺฐานํ มีการไม่เอาใจใส่เป็นอันดีต่ออารมณ์นั้น
เป็นเหตุใกล้
วิจิกิจฉาเจตสิก
๑๔. วิจิกิจฉาเจตสิก คือ ความสงสัย ความลังเลไม่แน่ใจ
ในอารมณ์ต่างๆ สงสัยตัดสินอารมณ์ไม่ได้ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
สํสยลกฺขณา
มีความสงสัย เป็นลักษณะ
กมฺปนรสา
มีการหวั่นไหวในอารมณ์ เป็นกิจ
อนิจฺฉยปจฺจุปฏฺฐานา
มีการไม่สามารถตัดสินใจได้ เป็นผล
อโยนิโสมนสิการปทฏฺฐานา มีการไม่เอาใจใส่เป็นอันดีต่ออารมณ์นั้น
เป็นเหตุใกล้
ความสงสัยในวิจิกิจฉาเจตสิกนี้ หมายเฉพาะสงสัยในธรรม
๘ ประการเท่านั้น
(๑) สงสัยในพระพุทธเจ้า ได้แก่สงสัยในพระสรีระ
(ว่าเห็นจะไม่มีตัวจริง น่าจะสมมุติขึ้น)
(๒) สงสัยในพระธรรม ว่ามัคค ๔ ผล ๔ นิพพาน
๑ มีจริงหรือและธรรมนี้นำออก จากทุกข์ ได้จริงหรือ
(๓) สงสัยในพระสงฆ์ ว่าสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในมัคค
๔ ผล ๔ มีจริงหรือ สงฆ์ที่ปฏิบัติดีจริง มีหรือ ผลแห่งทานที่ถวายแก่สงฆ์
มีจริงหรือ
(๔) สงสัยในสิกขา ๓ (ศีล สมาธิ ปัญญา) ว่ามีจริงหรือ
ผลานิสงส์แห่งการศึกษา ปฏิบัติในสิกขา ๓ มีจริงหรือ
(๕) สงสัยในขันธ์ ๕ อายตน ธาตุที่เป็นส่วนอดีตมีจริงหรือ
คือสงสัยว่าชาติก่อนมี จริงหรือ (อเหตุกทิฏฐิ)
(๖) สงสัยในขันธ์ อายตน ธาตุ ที่เป็นอนาคต
มีจริงหรือ คือสงสัยว่า ชาติหน้ามี จริงหรือ (อุจเฉททิฏฐิ)
(๗) สงสัยในขันธ์ อายตน ธาตุ ทั้งที่เป็นส่วนอดีตและอนาคตนั้น
มีจริงหรือ คือสงสัยทั้งชาติก่อนและชาติหน้า (อกิริยทิฏฐิ)
(๘) สงสัยในปฏิจจสมุปบาทธรรม คือ ธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลอาศัยกันเกิดขึ้นต่อ
เนื่องกันไปโดยไม่ขาดสายเลยนั้น มีจริงหรือ (อัตตทิฏฐิ)
ความสงสัยอย่างอื่นที่ไม่ใช่ธรรม ๘ ประการ
เช่นสงสัยในเรื่องสมมุติและบัญญัติ ไม่เป็นกิเลส
โสภณเจตสิก
โสภณเจตสิก เป็นเจตสิกที่ดีงาม ไม่เศร้าหมอง
ไม่เร่าร้อน เมื่อประกอบกับจิต ก็ทำให้จิตนั้นดีงาม ปราศจากความเร่าร้อน ให้จิตตั้งอยู่ในศีลธรรม
มีการเว้นจากบาป เว้นจากทุจริตต่างๆ ฉะนั้นเจตสิกประเภทนี้ จึงเรียกว่า โสภณเจตสิก
จิตที่มีโสภณเจตสิกประกอบ ก็เรียกว่า โสภณจิต
ส่วนจิตใดที่ไม่มีโสภณเจตสิก ประกอบ ก็เรียกว่า อโสภณจิต
โสภณเจตสิก มีจำนวน ๒๕ ดวง และยังแบ่งออกได้เป็น
๔ พวก คือ
ก. โสภณสาธารณเจตสิก มี ๑๙ ดวง เป็นเจตสิกที่สาธารณะกับโสภณจิตทั้งหมด
หมายความว่า โสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ดวงนั้น ไม่ว่าดวงใดดวงหนึ่งเกิดขึ้น จะต้องมีโสภณสาธารณเจตสิกนี้ประกอบพร้อมกันทั้ง
๑๙ ดวง ไม่มีเว้นเลย
ข. วิรตีเจตสิก มี ๓ ดวง เป็นเจตสิกที่เว้นจากบาปธรรมทั้งปวง
อันเกิดจากกายทุจริต และวจีทุจริต
ค. อัปปมัญญาเจตสิก มี ๒ ดวง เป็นเจตสิกที่มีความรู้แผ่ไปไม่มีประมาณ
เรียกว่า พรหมวิหาร ก็ได้
ที่เรียกว่า อัปปมัญญานั้นเพราะแผ่ไปในสัตว์ทั้งหลาย
จนประมาณไม่ได้
ที่เรียกว่า
พรหมวิหารนั้น เพราะธรรมนี้เป็นที่อยู่สำราญของพวกพรหม
ง. ปัญญาเจตสิก มีดวงเดียว ไม่มีพวก เป็นเจตสิกที่มีความรู้เป็นใหญ่
เป็นประธาน ปกครองซึ่งสหชาตธรรมทั้งปวง ปัญญินทรียเจตสิก ก็เรียก
โสภณสาธารณเจตสิก
๑๙ ดวง มีดังนี้
สัทธาเจตสิก
๑. สัทธาเจตสิก
คือ ความเชื่อถือเหตุผลตามความเป็นจริง ความเลื่อมใสในกุสลธรรม ความเชื่อในฝ่ายดี
เช่น เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
สทฺทหนลกฺขณา
มีความเชื่อถือในอารมณ์ที่ดี เป็นลักษณะ
ปสาทนรสา
มีการเลื่อมใส เป็นกิจ
อกาฬุสฺสิยปจฺจุปฏฺฐานา
มีความไม่ขุ่นมัว เป็นผล
สทฺเทยฺยวตฺถุปทฏฺฐานา
มีปูชนียวัตถุ เป็นเหตุใกล้
สัทธาแม้อย่างน้อยเพียงเชื่อว่าสัตว์นั้นมีกรรมเป็นของตน
คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพียงเท่านี้ก็เป็นคุณยิ่ง มิฉะนั้นก็จะไม่ประหยัดต่อบาปกรรม
จะกระทำอะไรก็ไม่คิดว่าเป็นทุจริตเสียหาย เพราะสำคัญผิดว่าจะไม่ต้องได้รับผลนั้น
ถ้ามีสัทธา
เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมแล้ว ก็จะตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ ประกอบการงาน
ที่ปราศจากโทษ
สัทธา จึงเป็นธรรมเบื้องต้นที่จะทำให้ประกอบคุณงามความดี
เป็นบุญเป็นกุสล จนหาประมาณมิได้
สัทธา พีชํฯ สัทธาเปรียบเหมือนพืช (อันจะงอกงามโตใหญ่ให้ดอกผลในภายหน้า)
เหตุอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสสัทธา
(๑) รูปปมาณ เลื่อมใสสัทธา เพราะเห็นรูปสมบัติสวยงาม
(๒) ลูขปฺปมาณ เลื่อมใสสัทธาเพราะเห็นความประพฤติเรียบร้อยเคร่งในธรรมวินัย
(๓) โฆสปฺปมาณ เลื่อมใสสัทธา เพราะได้ฟังชื่อเสียงลือว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้
(๔) ธมฺมปฺปมาณ เลื่อมใสสัทธา เพราะได้สดับธรรมของผู้ที่ฉลาดในการแสดง
สติเจตสิก
๒. สติเจตสิก
คือความระลึกรู้อารมณ์และยับยั้งมิให้จิตตกไปในอกุสล ความระลึก อารมณ์ที่เป็นกุสล
ความระลึกได้ที่รู้ทันอารมณ์
สติ เป็นธรรมที่มีอุปการะมากต้องใช้สติต่อเนื่องกันตลอดเวลา
ในทางเจริญวิปัสสนา หรือเจริญสมาธิ มุ่งทางปฏิบัติซึ่งเป็นทางสายเดียวที่จะหลุดพ้นจากกิเลสไปได้
โดยเจริญสติปัฏฐานทาง กาย เวทนา จิต ธรรม มีสติระลึกรู้อยู่เนื่อง ๆ ว่า กายมีปฏิกูล
ฯลฯ
สติมีลักขณาทิจตุกะ
ดังนี้
อปิลาปนลกฺขณา
มีความระลึกได้ในอารมณ์เนืองๆ
คือมีความไม่ประมาทเป็นลักษณะ
อสมฺโมหรสา
มีการไม่หลงลืม เป็นกิจ
อารกฺขปจฺจุปฏฺฐานา
มีการรักษาอารมณ์ เป็นผล
ถิรสญฺญาปทฏฺฐานา
มีการจำได้แม่นยำ เป็นเหตุใกล้
สติเป็นเครื่องชักนำใจให้ยึดถือกุสลธรรมเป็นอุดมคติ
ถ้าหากว่าขาดสติเป็น ประธานเสียแล้ว สมาธิก็ไม่สามารถจะมีได้เลย และเมื่อไม่มีสมาธิแล้ว
ปัญญาก็เกิดไม่ได้
เหตุให้เกิดสติ
โดยปกติมี ๑๗ ประการ คือ
(๑) ความรู้ยิ่ง เช่น สติของบุคคลที่ระลึกชาติได้
พระพุทธองค์ระลึกชาติได้ ไม่จำกัดชาติจะระลึกได้ทุกชาติที่พระองค์ปรารถนา
สติของพระอานนท์จำพระสูตร ที่พระพุทธจ้าตรัสไว้ได้หมด
(๒) ทรัพย์ เป็นเหตุให้เจ้าของทรัพย์มีสติ
คือเมื่อมีทรัพย์มักจะเก็บรักษาไว้อย่างดี และจะระมัดระวังจดจำไว้ว่าตนเก็บทรัพย์ไว้ที่ใด
(๓) สติเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
เช่น พระโสดาบันจะจำได้โดยแม่นยำถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้บันลุเป็นพระโสดาบัน
หรือบุคคลที่ได้รับยศยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต
(๔) สติเกิดขึ้น โดยระลึกถึงเหตุการณ์ที่ตนได้รับความสุขที่ประทับใจ
เมื่อนึกถึงก็จะจำเรื่องต่าง ๆ ได้
(๕) สติเกิดขึ้น เนื่องจากความทุกข์ที่ได้รับเมื่อระลึกถึงก็จะจดจำได้
(๖) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ตนเคยประสบ
(๗) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับที่เคยประสบ
(๘) สติเกิดขึ้น เพราะคำพูดของคนอื่น
เช่น มีคนเตือนให้เก็บทรัพย์ที่ลืมไว้
(๙) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเครื่องหมายที่ตนทำไว้
เช่น เห็นหนังสือที่เขียนชื่อไว้ถูกลืมไว้
(๑๐) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเรื่องราวต่าง
ๆ หรือผลงาน เช่น เห็นพุทธประวัติ ก็ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นต้น
(๑๑) สติเกิดขึ้น เพราะความจำได้ เช่น
มีการนัดหมายไว้ เมื่อมองไปที่กระดาน ก็จำได้ว่าต้องไปตามที่ได้นัดไว้
(๑๒) สติเกิดขึ้น เพราะการนับ เช่น การเจริญสติระลึกถึงพระพุทธคุณ
ก็ใช้นับลูกประคำ เพื่อมิให้ลืม
(๑๓) สติเกิดขึ้น เพราะการทรงจำเรื่องราวต่าง
ๆ ที่ศึกษาค้นคว้า แล้วจำเรื่องราว
ต่าง
ๆ ได้
(๑๔) สติเกิดขึ้นเพราะการระลึกชาติได้
๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง (บุคคลที่มิใช่พระพุทธเจ้า)
(๑๕) สติเกิดขึ้น เพราะการบันทึกไว้
เมื่อดูบันทึกก็จำได้
(๑๖) สติเกิดขึ้น เพราะทรัพย์ที่เก็บได้เช่นเห็นทรัพย์ก็นึกขึ้นได้ว่าได้เก็บทรัพย์ไว้
(๑๗) สติเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เคยพบเคยเห็นมาแล้ว
เมื่อเห็นอีกครั้งก็ระลึกได้
หิริเจตสิก
๓. หิริเจตสิก คือความละอายต่อการทำบาปทำชั่ว
ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ
บาป
คือธรรมชาติที่ทำให้จิตเศร้าหมอง บุญ
คือธรรมชาติที่ชำระจิตให้สะอาดผ่องแผ้ว ในขณะที่จิตอกุสลเกิดขึ้นอยากจะประพฤติผิดศีล
๕ เครื่องยับยั้งมิให้เกิดอกุสลจิต
นั้นก็คือ หิริ
คือเกิดความละอายต่อบาปที่จะกระทำ
จึงยับยั้งไว้ช่วยไม่ให้ทำ อกุสล
ฉะนั้นหิริจึงเป็นธรรมที่เป็นโลกบาล
คือเป็นธรรมชาติที่คุ้มครองโลก หิริ เกิดขึ้นทำให้ละอายต่อบาปจึงไม่กล้าทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
สิ่งที่ทำให้เกิดหิริ คือมีการเคารพตนเอง จึงละอายต่อการทำบาป หิริเจตสิกมีลักขณาทิจตุกะดังนี้
ปาปโตชิคุจฺฉนลกฺขณา
มีความเกลียดต่อบาป เป็นลักษณะ
ปาปานํอกรณรสา
มีการไม่ทำบาป เป็นกิจ
ปาปโตสงฺโกจน ปจฺจุปฏฺฐานา
มีความละอายต่อบาป เป็นผล
อตฺตคารวปทฏฺฐานา
มีความเคารพในตน เป็นเหตุใกล้
โอตตัปปเจตสิก
๔. โอตตัปปเจตสิก
คือ ธรรมชาติที่มีความสะดุ้งกลัวต่อผลของบาป จึงไม่ทำบาป มีลักขณาทิจตุกะ
ดังนี้
อตฺตาสนลกฺขณํ
มีความสะดุ้งกลัวต่อบาป เป็นลักษณะ
ปาปานํอกรณรสํ
มีการไม่ทำบาป เป็นกิจ
ปาปโตสงฺโกจนปจฺจุปฏฺฐานํ
มีความละอายต่อบาป เป็นผล
ปรคารวปทฏฺฐานํ
มีความเคารพผู้อื่น เป็นเหตุใกล้
หิริกับโอตตัปปะ จะเกิดได้ต้องอาศัย เหตุภายนอก
๔ เหตุภายใน ๘ อย่างใดอย่างหนึ่ง
เหตุภายนอก
๔ ได้แก่
(๑) อตฺตานุวาทภยํ กลัวต่อการถูกติเตียนตนด้วยตนเอง
(๒) ปรวาทานุภยํ กลัวต่อการถูกติเตียนตนจากผู้อื่น
(๓) ทณฺฑภยํ กลัวต่อราชทัณฑ์ คือกฎหมายบ้านเมือง
(๔) ทุคฺคติภยํ กลัวต่อภัยในอบายภูมิ
เหตุภายใน
๘ ได้แก่
(๑) กุละ ละอายบาป กลัวบาปโดยคำนึงถึงตระกูลของตน
(๒) วยะ ละอายบาปกลัวบาป โดยคำนึงถึงวัยของตน
(๓) พาหุสัจจะ ละอายบาปกลัวบาป โดยคำนึงถึงการศึกษาของตน
(๔) ชาติมหัตตะ ละอายบาปกลัวบาปโดยคำนึงถึงชาติอันประเสริฐของตน
(๕) สัตถุมหัตตะ ละอายบาปกลัวบาปโดยคำนึงถึงพระพุทธเจ้า
บิดา มารดา ครู อาจารย์
(๖) ทายัชชมหัตตะ ละอายบาปกลัวบาปโดยคำนึงถึง
มรดกของพระพุทธเจ้า ของบิดา มารดา ซึ่งตนเองจะต้องรับมรดกนั้น
(๗) สพรหมจารีมหัตตะ ละอายบาปกลัวบาปโดยคำนึงถึง
เพื่อนที่ดีที่เคยคบมา
(๘) สูรภาวะ ละอายบาปกลัวบาปโดยคำนึงถึง
ความกล้าหาญและความสงบเสงี่ยม เจียมตัวของตน
อโลภเจตสิก
๕. อโลภเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ไม่อยากได้ ไม่ข้องในอารมณ์
ไม่ติดในอารมณ์ เมื่อประสบในอารมณ์นั้น จะพยายามให้หลุดออกไปจากอารมณ์นั้น
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อลคฺคภาวลกฺขโณ
มีความไม่ติดอารมณ์ เป็นลักษณะ
อปริคฺคหรโส
มีการไม่หวงแหน เป็นกิจ
อนลฺลีนภาวปจฺจุปฏฺฐาโน
มีการไม่ยึดมั่น เป็นผล
โยนิโสมนสิการปทฏฺฐาโน
มีการเอาใจใส่เป็นอันดีต่ออารมณ์นั้น เป็นเหตุใกล้
อโทสเจตสิก
๖. อโทสเจตสิก
คือธรรมชาติที่ไม่โกรธ ไม่หยาบคาย ไม่มีปองร้าย ไม่ประทุษร้าย (มีเมตตาต่อกัน)
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อจณฺฑิกลกฺขโณ
มีความไม่ดุร้าย เป็นลักษณะ
อาฆาตวินยรโส
มีการทำลายความอาฆาต เป็นกิจ
โสมภาวปจฺจุปฏฺฐาโน
มีความร่มเย็น เป็นผล
โยนิโสมนสิการปทฏฺฐาโน
มีการเอาใจใส่เป็นอันดีต่ออารมณ์นั้น เป็นเหตุใกล้
ขนฺติ คือความอดทน ทนตรากตรำ ทนลำบาก ทนต่อเหตุที่ทำให้เจ็บใจ
อกฺโกธ คือ ความไม่โกรธ
ส่วน เมตฺตา ยังประสงค์ให้ผู้อื่นมีความสุขอีกด้วย
ทั้ง ขันติ อักโกธ และเมตตา นี้องค์ธรรมได้แก่
อโทส
เมตตา มีการเพ่งเล็งเห็นความงดงามแห่งจิตใจของผู้อื่น
เป็นฐานที่เกิด
ส่วนราคะ มีการเพ่งเล็งเห็นความงดงามแห่งร่างกายของผู้อื่น
เป็นฐานที่เกิด
ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก
๗. ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก
คือ การทำใจเป็นกลาง เป็นยุตติธรรม ไม่มีอคติ ไม่ลำเอียง การวางใจเฉยในอารมณ์
(เป็นอุเบกขาในพรหมวิหาร) มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
จิตฺตเจตสิกานํ สมวาหิตลกฺขณา มีการทรงไว้ซึ่งจิตและเจตสิกให้เสมอภาค
เป็นลักษณะ
อูนาธิกตานิวารณรสา
มีการห้ามความยิ่งหย่อน เป็นกิจ
มชฺฌตฺตภาวปจฺจุปฏฺฐานา
มีความเป็นกลาง(อุเบกขา) เป็นผล
สมฺปยุตฺตานํปทฏฺฐานา
มีสัมปยุตตธรรม เป็นเหตุใกล้
กายปัสสัทธิเจตสิก
และ จิตตปัสสัทธิเจตสิก
๘.กายปัสสิทธิเจตสิก
คือ สภาวที่ทำให้เจตสิกสงบจากอกุสล ความสงบจากอกุสลของ เจตสิก
๙. จิตตปัสสัทธิเจตสิก
คือ สภาวที่ทำให้จิตสงบจากอกุสล ความสงบจากอกุสลของจิต
เจตสิก
๒ ดวงนี้ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กายจิตฺตานํทรถวูปสมลกฺขณา
มีการทำให้เจตสิก
ทำให้จิตสงบจากความเร่าร้อน เป็นลักษณะ
กายจิตฺตทรถนิมฺมทฺทนรสา
มีการทำลายความเร่าร้อนของเจตสิก
ของจิต เป็นกิจ
กายจิตฺตานํ อปริปฺผนฺทนสีติภาว ปจฺจุปฏฺฐานา
มีความเยือกเย็น
ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นผล
กายจิตฺตปทฏฺฐานา มีเจตสิก
มีจิต
เป็นเหตุใกล้
กายลหุตาเจตสิก
และ จิตตลหุตาเจตสิก
๑๐. กายลหุตาเจตสิก
คือสภาวที่ทำให้เจตสิกเบาจากอกุสล ความเบาของเจตสิกจาก อกุสล
๑๑. จิตตลหุตาเจตสิก
คือสภาวที่ทำให้จิตเบาจากอกุสล ความเบาของจิตจากอกุสล
เจตสิก
๒ ดวงนี้ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กายจิตฺตครุภาววูปสมลกฺขณา
มีการทำให้เจตสิก
ทำให้จิต สงบจากความหนัก เป็นลักษณะ
กายจิตฺตครุภาวนิมฺมทฺทนรสา
มีการทำลายความหนักของเจตสิก
ของจิต เป็นกิจ
กายจิตฺตานํอทนฺธตาปจฺจุปฏฺฐานา
มีความไม่หนักของเจตสิก
ของจิต เป็นผล
กายจิตฺตปทฏฺฐานา
มีเจตสิก
มีจิต เป็นเหตุใกล้
กายมุทุตาเจตสิก
และ จิตตมุทุตาเจตสิก
๑๒. กายมุทุตาเจตสิก
คือ สภาวที่ทำให้เจตสิกมีความอ่อนโยน ความอ่อนโยนของ เจตสิก ทำให้เป็นไปง่ายดายในอารมณ์ที่เป็นกุสล
๑๓. จิตตมุทุตาเจตสิก
คือ สภาวที่ทำให้จิตอ่อนโยน เจตสิกที่ทำให้จิตอ่อนโยน เป็นไปได้ง่ายดายในอารมณ์ที่เป็นกุสล
เจตสิก
๒ ดวงนี้ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กายจิตฺตถทฺธวูปสมลกฺขณา
มีเจตสิก
และมีการทำให้จิตสงบจากความแข็ง กระด้าง เป็นลักษณะ
กายจิตฺตถทฺธภาวนิมฺมทฺทนรสา
มีการทำลายความแข็งกระด้างของเจตสิก
และของจิต เป็นกิจ
อปฺปฏิฆาตปจฺจุปฏฺฐานา
มีความไม่โกรธไม่อาฆาต
เป็นผล
กายจิตฺตปทฏฺฐานา
มีเจตสิก
มีจิต เป็นเหตุใกล้
กายกัมมัญญตาเจตสิก
และ จิตตกัมมัญญตาเจตสิก
๑๔. กายกัมมัญญตาเจตสิก
คือ เจตสิกที่ควรแก่การงานอันเป็นกุสล ความควรแก่
การงานของเจตสิก
๑๕. จิตตกัมมัญญตาเจตสิก
คือเจตสิกที่ทำให้จิตควรแก่การงานอันเป็นกุสล การทำให้จิตควรแก่งาน
เจตสิก
๒ ดวงนี้ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กายจิตฺตากมฺมญฺญภาววูปสมลกฺขณา
มีการทำให้เจตสิกทำให้จิตสงบจากความไม่ควรแก่การงาน
เป็นลักษณะ
กายจิตฺตา กมฺมญฺญภาว นิมฺมทฺทนรสา
มีการทำลายความไม่ควรแก่การงานของเจตสิก
ของจิต เป็นกิจ
กายจิตฺตานํ อารมฺมณกรณสมฺปตฺติปจฺจุปฏฺฐานา
ทำให้เจตสิก
ทำให้จิตมีอารมณ์สมควรแก่การงาน เป็นผล
กายจิตฺตปทฏฺฐานา
มีเจตสิก
มีจิต เป็นเหตุใกล้
จิตที่ไม่ควรแก่การงาน จะใช้จิตทำสมาธิก็มีผลน้อย
เช่นจิตที่มีร่างกายอ่อนเพลีย หรือป่วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง เมื่อร่างกายไม่สะบายการทำสมาธิก็ได้ผลน้อย
เสียเวลาทำสมาธิ ๒ ชั่วโมง ก็ทำไม่ได้ เพราะจิตไม่มีกัมมัญญตาเจตสิกประกอบ
จิตและเจตสิกที่ไม่ควรแก่การงาน
คือจิตและเจตสิกที่ถูกนิวรณ์ครอบงำ
นิวรณ์เปรียบ
เหมือน ตะปูตรึงจิต หรือสนิมกินเนื้อเหล็กทำให้เหล็กกร่อน นิวรณ์ทั้ง ๕ อันมี
กามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์
เมื่อนิวรณ์ครอบงำจิตแล้วจิตก็ไม่ควรแก่การงาน ต้องละนิวรณ์ให้ได้ก่อน
แล้วจึงใช้จิต ทำงาน เมื่อจิตมีกัมมัญญตาเจตสิกประกอบแล้ว การทำสมาธิก็จะได้ผลในชั่วระยะเวลา
เพียงเล็กน้อย
กายปาคุญญตาเจตสิก
และ จิตตปาคุญญตาเจตสิก
๑๖. กายปาคุญญตาเจตสิก
คือ เจตสิกที่ทำให้เจตสิกคล่องแคล่วต่อกุสล ความคล่อง แคล่วของเจตสิกในกุสล
๑๗. จิตตปาคุญญตาเจตสิก
คือเจตสิกที่ทำให้จิตคล่องแคล่วต่อกุสล การทำให้จิต คล่องแคล่วในกุสล
เจตสิก
๒ ดวงนี้ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กายจิตฺตานํ อเคลญฺญภาวลกฺขณา
มีความไม่อาพาธของเจตสิก
ของจิต เป็นลักษณะ
กายจิตฺตเคลญฺญนิมฺมทฺทนรสา
มีการทำลายความอาพาธ
ของเจตสิก ของจิต เป็นกิจ
นิราทีนวปจฺจุปฏฺฐานา
มีความปราศจากโทษ
เป็นผล
กายจิตฺตปทฏฺฐานา
มีเจตสิก
มีจิต เป็นเหตุใกล้
กายุชุกตาเจตสิก
และ จิตตุชุกตาเจตสิก
๑๘. กายุชุกตาเจตสิก
คือเจตสิกที่ทำให้เจตสิกมุ่งตรงต่อกุสล ความมุ่งตรงของ เจตสิกต่อกุสล
๑๙. จิตตุชุกตาเจตสิก
คือ เจตสิกที่ทำให้จิตมุ่งตรงต่อกุสล การทำให้จิตมุ่งตรงต่อกุสล
เจตสิก
๒ ดวงนี้ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กายจิตฺตอชฺชวลกฺขณา
มีความซื่อตรงของเจตสิก
ของจิต เป็นลักษณะ
กายจิตฺตกุฏิลภาวนิมฺมทฺทนรสา
มีการทำลายความไม่ซื่อตรงของเจตสิก
ของจิต เป็นกิจ
อชิมฺหตาปปจฺจุปฏฺฐานา
มีความซื่อตรงของเจตสิก
ของจิต เป็นผล
กายจิตฺตปทฏฺฐานา
มีเจตสิก
มีจิต เป็นเหตุใกล้
วิรตีเจตสิก
วิรตีเจตสิก มี ๓ ดวง คือ สัมมาวาจาเจตสิก
สัมมากัมมันตเจตสิก และสัมมาอาชีวะ เจตสิก
สัมมาวาจาเจตสิก
๑. สัมมาวาจาเจตสิก คือ การพูดชอบ พูดสิ่งที่เป็นกุสล
เว้นจากวจีทุจริตทั้ง ๔ มี มุสาวาท พูดปด ปิสุณาวาท พูดส่อเสียด
ผรุสวาท พูดหยาบคาย สัมผัปปลาป พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับอาชีพ
สัมมาวาจามี ๓ ประการ
ก. กถาสัมมาวาจา ได้แก่ การกล่าววาจาที่ดี
มีศีลธรรม เพื่อหวังประโยชน์แก่ผู้ฟัง เช่น อาจารย์สอนศิษย์ เป็นต้น
ข. เจตนาสัมมาวาจา ได้แก่ ผู้มีเจตนาสมาทานศีล
ว่าจะละเว้นวจีทุจริต มีการไม่กล่าวมุสา เป็นต้น
ค. วิรตีสัมมาวาจา ได้แก่ การเว้นจากวาจาทุจริตทั้ง
๔ มีเว้นจากมุสาวาท ปิสุณาวาท ผรุสวาท สัมผัปปลาป ในเมื่อมีอารมณ์ที่ควรจะล่วงปรากฏอยู่เฉพาะหน้า
(วิรมิตัพพวัตถุ) (ไม่มีความตั้งใจไว้ก่อน เมื่อประสบกับอารมณ์เฉพาะหน้าจึงต้องงดเว้น)
สัมมากัมมันตเจตสิก
๒. สัมมากัมมันตเจตสิก
คือ ประกอบการงานชอบ การงานที่ไม่ทุจริต เว้นจากกายทุจริตทั้ง ๓ มี ฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ และล่วงประเวณี เป็นการกระทำปกติ คือ เป็นการทำงานปกติประจำวัน
ไม่เกี่ยวกับอาชีพ สัมมากัมมันตะ มี ๓ ประการ
ก. ยถาพลังสัมมากัมมันตะ ได้แก่ การกระทำการงานโดยชอบ
การงานที่ไม่ทุจริต มีการประกอบกุสล เป็นต้น ตามกำลังของตน
ข. เจตนาสัมมากัมมันตะ ได้แก่เจตนาที่ตั้งใจสมาทานว่าจะละเว้นกายทุจริต
มีการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ล่วงประเวณี
ค. วิรตีสัมมากัมมันตะ ได้แก่ การเว้นจากกายทุจริตทั้ง
๓ มีเว้นการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การล่วงประเวณี ในเมื่อมีอารมณ์ที่ควรจะล่วงมาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า
(วิรมิตัพพวัตถุ) หมายความว่าไม่ได้ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะงดเว้น
แต่มาประสบกับอารมณ์ จึงต้องงดเว้นเฉพาะหน้า
สัมมาอาชีวเจตสิก
๓. สัมมาอาชีวเจตสิก
คือ ความเป็นอยู่ชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ประกอบอาชีพที่สุจริต เว้นจากทุจริตทั้ง
๗ คือ เว้นกายทุจริต ๓ และเว้นวจีทุจริต ๔ ที่เกี่ยวกับอาชีพ
สัมมาอาชีวะ
มี ๒ ประการ
ก. วิริยสัมมาอาชีวะ ได้แก่ความเพียรในการกระทำการงานหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม
ข. วิรตีสัมมาอาชีวะ ได้แก่การงดเว้นจากกายทุจริต
๓ วจีทุจริต ๔ ที่เกี่ยวแก่อาชีพ
เจตสิก
๓ ดวงนี้ มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
กายทุจฺจริตาทิวตฺถุนํ อวีติกฺกมลกฺขณา
มีการไม่ล่วงกายทุจริต
เป็นต้น เป็นลักษณะ
กายทุจฺจริตวตฺถุโตสงฺโกจนรสา
มีการเว้นจากกายทุจริต
เป็นต้น เป็นกิจ
อกริยปจฺจุปฏฺฐานา
มีการไม่ทุจริต
เป็นผล
สทฺธาหิโรตฺตปฺปาทิคุณปทฏฺฐานา
มีคุณธรรมคือ
สัทธา หิริโอตตัปป เป็นต้น เป็นเหตุใกล้
อัปปมัญญาเจตสิก
อัปปมัญญาเจตสิก มี ๒ ดวง ได้แก่ กรุณาเจตสิก
และมุทิตาเจตสิก
กรุณาเจตสิก
๑. กรุณาเจตสิก
คือ มีความสงสาร อยากจะช่วยเหลือสัตว์ที่กำลังได้รับทุกข์อยู่ หรือที่จะได้รับทุกข์ในภายหน้า
มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
ทุกฺขาปนยนาการปวตฺติลกฺขณา
มีการได้เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์
ย่อมมีความสงสาร เป็นลักษณะ
ปรทุกฺขาสหนรสา
มีการไม่ชอบเห็นทุกข์ของผู้อื่น
เป็นกิจ
อวิหึสาปจฺจุปฏฺฐานา
มีความไม่เบียดเบียน
เป็นผล
ทุกฺขาภิภูตานํ อนาถภาวทสฺสน ปทฏฺฐานา
มีการได้เห็นสัตว์อนาถา
อันถูกทุกข์ ครอบงำ เป็นเหตุใกล้
อวิหึสา = ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
กรุณา = ยังประสงค์ช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์อีกด้วย
โสก = เราสูญเสียของที่เรารัก ก็โศกเศร้า
กรุณา = เห็นผู้อื่นสูญเสียสิ่งที่เขารัก เราก็ช่วยให้เขาพ้นทุกข์จากการเศร้าโศก
เมตตาและกรุณา
เป็น อพยาปาท มุทิตา
อุเบกขาและมุทิตาเจตสิก เป็นอนภิชฌา(ไม่คิดจ้องจะเอาของเขา)
มุทิตาเจตสิก
๒. มุทิตาเจตสิก
คือ พลอยยินดีด้วยในเมื่อรู้ว่าเขามีความสุข มีความยินดีต่อสัตว์
ที่ได้สุข มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
ปโมทนลกฺขณา
มีความยินดีด้วยในความสุขของผู้อื่น เป็นลักษณะ
อนิสฺสายนรสา
มีการไม่อิสสาริษยา เป็นกิจ
อรติวิฆาตปจฺจุปฏฺฐานา
มีความปรารถนาให้ผู้อื่นเจริญ เป็นผล
สตฺตานํ สมฺปตฺติทสฺสนปทฏฺฐานา
มีการได้เห็นสัตว์มีสมบัติ เป็นเหตุใกล้
ปัญญาเจตสิก
ปัญญาเจตสิก
มีแต่ดวงเดียวไม่มีพวก มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปัญญินทรียเจตสิก
ปัญญาเจตสิก
คือความรู้ในเหตุผลแห่งความจริงของสภาวธรรมและทำลายความเห็นผิด หรือเป็นเจตสิกที่มีความรู้เป็นใหญ่
ปกครองซึ่งสหชาตธรรมทั้งปวง มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
ธมฺมสภาวปฏิเวธลกฺขณา
มีความรู้แจ้งซึ่งสภาวธรรม เป็นลักษณะ
โมหนฺธการวิทฺธํสนรสา
มีการกำจัดมืด เป็นกิจ
อสมฺโมหปจฺจุปฏฺฐานา
มีความไม่หลงผิด หรือไม่เห็นผิด เป็นผล
สมาธิปทฏฺฐานา
มีสมาธิ เป็นเหตุใกล้
ปัญญานี้ มีอรรถาธิบายอย่างกว้างขวาง และแจกแจงได้หลายนัย
หลายกระบวน เป็นจำนวนมากมาย แต่ในที่นี้จะกล่าวย่อ ๆ พอให้รู้เค้า จึงขอแจกแจงว่า
ปัญญามีเพียง
๓ นัย
เท่านั้น คือ
ก. กัมมสกตาปัญญา ปัญญาที่รู้ว่า กรรมเป็นสมบัติของตน
ข. วิปัสสนาปัญญา ปัญญาที่รู้ขันธ์ ๕ รูปนาม
เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ค. โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจจ
๔
ปัญญาที่รู้เห็นความที่สัตว์มีกรรมเป็นสมบัติของตน
อันเรียกว่า กัมมสกตาปัญญานี้ มี ๑๐ ประการ คือ
(๑) อตฺถิทินนํ ปัญญารู้เห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว
ย่อมมีผล
(๒) อตฺยิฏฐํ ปัญญารู้เห็นว่า
การบูชาย่อมมีผล
(๓) อตฺถิหุตํ ปัญญารู้เห็นว่า
การบวงสรวงเทวดา ย่อมมีผล
(๔) อตฺถิกมฺมานํ ผลํวิปาโก ปัญญารู้เห็นว่า
ผลวิบากของกรรมดีและชั่วมีอยู่ (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม)
(๕) อตฺถิอยํโลโก ปัญญารู้เห็นว่า
โลกนี้มีอยู่ (ผู้จะมาเกิดนั้นมี)
(๖) อตฺถิปโรโลโก ปัญญารู้เห็นว่า
โลกหน้ามีอยู่ (ผู้จะไปเกิดนั้นมี)
(๗) อตฺถิมาตา ปัญญารู้เห็นว่า มารดามีอยู่
(การทำดี ทำชั่วต่อมารดาย่อมจะได้รับผล)
(๘) อตฺถิปิตา ปัญญารู้เห็นว่า บิดามีอยู่
(การทำดี ทำชั่วต่อบิดาย่อมจะได้รับผล)
(๙) อตฺถิ สตฺตโอปปาติกา ปัญญารู้เห็นว่าโอปปาติกสัตว์นั้นมีอยู่
(สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหมนั้นมี)
(๑๐) อตฺถิ โลเกสมณพฺรหฺมณา สมฺมาปฏิปนฺนา
ปัญญารู้เห็นว่าสมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบด้วยความรู้ยิ่ง
เห็นจริงประจักษ์ซึ่งโลกนี้ และโลกหน้า ด้วยตนเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้นั้นมีอยู่ในโลกนี้
สัมปโยคนัย
สัมปโยค แปลว่า
ประกอบพร้อม ในที่นี้หมายความว่า เจตสิกแต่ละดวงนั้น ดวงหนึ่ง ๆ ประกอบกับจิตได้กี่ดวง
คือจิตใดบ้าง เฉพาะในจิตตุป ปาทะ (จิตที่เกิดขึ้น)
ดวงหนึ่ง ๆ ซึ่งจะได้แสดงต่อไปนี้
สัมปโยคนัยแห่งอัญญสมานาเจตสิก
๑. สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ดวงประกอบในจิตได้ทุกดวง(โดยย่อจิตมี
๘๙ ดวง)
๒. ปกิณณกเจตสิก ๖ ดวงประกอบกับจิตได้เฉพาะแต่ที่ควร
(ประกอบ ได้ บางดวง)
๓. อกุสลเจตสิก ๑๔ ดวง ประกอบได้เฉพาะในอกุสลจิต
๑๒ ดวงเท่านั้น
๔. โสภณเจตสิก ๒๕ ดวง ประกอบได้เฉพาะโสภณจิตเท่านั้น
จิตที่ปกิณณกเจตสิกไม่ประกอบ
มีจำนวนตามลำดับดังนี้
วิตก
ไม่ประกอบกับจิต
๖๖ ดวง
วิจาร
" "
๕๕ ดวง
อธิโมกข
" "
๑๑ ดวง
วิริยะ
" "
๑๖ ดวง
ปีติ
" "
๗๐ ดวง
ฉันทะ
" "
๒๐ ดวง
จิตที่ปกิณณกเจตสิกย่อมเข้าประกอบ
มีจำนวนตามลำดับดังนี้
วิตก
ย่อมเข้าประกอบกับจิต
๕๕ ดวง
วิจาร
" "
๖๖ ดวง
อธิโมกข
" "
๗๘ ดวง
วิริยะ
" "
๗๓ ดวง
ปีติ
" "
๕๑ ดวง
ฉันทะ
" "
๖๙ ดวง
อธิบาย
รวมความว่า อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง กล่าวโดยสัมปโยคนัย
คือการประกอบกับจิตต่าง ๆ ได้นั้น แบ่งออกเป็น ๗ นัย คือ
นัยที่ ๑ สัพพจิตตสาธารณ ๗ ดวง คือ ผัสสะ
เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย และ มนสิการ นี้ประกอบกับจิตได้ทั้งหมดทุกดวง
คือทั้ง ๘๙ ดวง หรือนับอย่างพิศดาร ก็ทั้ง ๑๒๑ ดวง ไม่มีเว้นเลย
นัยที่ ๒ วิตกเจตสิก
ประกอบกับจิต ๕๕ ดวง แต่ไม่ประกอบกับจิต
๖๖ ดวง
" ๓ วิจารเจตสิก
" " ๖๖ ดวง
" " ๕๕ ดวง
" ๔ อธิโมกขเจตสิก
" " ๗๘ ดวง
" " ๑๑
ดวง
" ๕ วิริยเจตสิก
" " ๗๓ ดวง
" " ๑๖
ดวง
" ๖ ปีติเจตสิก
" " ๕๑ ดวง
" " ๗๐
ดวง
" ๗ ฉันทเจตสิก
" " ๖๙
ดวง
" " ๒๐
ดวง
วิตกเจตสิก
ประกอบกับจิต ๕๕ ดวง คือ
ไม่ประกอบกับจิต ๖๖ ดวง คือ
อกุสลจิต ๑๒
ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐
อเหตุกจิต ๘ (เว้นทวิปัญจ ๑๐)
ทุติยฌาน ๑๑
กามโสภณ ๒๔
ตติยฌาน ๑๑
ปฐมฌานจิต ๑๑
จตุตถฌาน ๑๑
ปัญจมฌาน ๒๓
วิจารเจตสิก
ประกอบกับจิตได้ ๖๖ ดวง คือ
ไม่ประกอบกับจิต ๕๕ ดวง คือ
อกุสลจิต ๑๒
ทวิปัญจวิญญาน ๑๐
อเหตุกจิต ๘ (เว้นทวิปัญจ ๑๐)
ตติยฌาน ๑๑
กามโสภณ ๒๔
จตุตถฌาน ๑๑
ปฐมฌาน ๑๑
ปัญจมฌาน ๒๓
ทุติยฌาน ๑๑
อธิโมกขเจตสิก
ประกอบกับจิตได้ ๗๘ ดวง คือ
ไม่ประกอบกับจิต ๑๑ ดวง คือ
อกุสลจิต ๑๑ (เว้นวิจิกิจฉาจิต)
วิจิกิจฉาสหคตจิต ๑
อเหตุกจิต ๘ (เว้นทวิปัญจ ๑๐)
ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐
กามโสภณ ๒๔
มหัคคตจิต ๒๗
โลกุตตรจิต ๘
วิริยเจตสิก
ประกอบกับจิต ได้ ๗๓ ดวง คือ
ไม่ประกอบกับจิต ๑๖ ดวง คือ
อกุสลจิต ๑๒
อเหตุกจิต ๑๖
มโนทวาราวัชชนจิต ๑
(เว้นมโนทวาราวัชชนจิต ๑
กับ หสิตุปปาทจิต ๑ หสิตุปปาทจิต ๑)
กามโสภณ ๒๔
หมายเหตุ จิต
๑๖ ดวง ที่วิริย
มหัคคตจิต ๒๗
เจตสิกไม่ประกอบนี้มีชื่อเรียกว่า
โลกุตตรจิต ๘
อวีริยจิต ๑๖
ปีติเจตสิก
ประกอบกับจิตได้ ๕๑ ดวง คือ
ไม่ประกอบกับจิต ๗๐ ดวง คือ
โสมนัสโลภมูลจิต ๔
อุเบกขาโลภมูลจิต ๔
โสมนัสสันตีรณจิต ๑
โทสมูลจิต ๒
โสมนัสหสิตุปปาทจิต ๑
โมหมูลจิต ๒
โสมนัสกามโสภณจิต ๑๒
อุเบกขาอเหตุกจิต ๑๔
ปฐมฌานจิต ๑๑
กายวิญญาณจิต ๒
ทุติยฌานจิต ๑๑
อุเบกขากามโสภณจิต ๑๒
ตติยฌานจิต ๑๑
จตุตถฌานจิต ๑๑
ปัญจมฌานจิต ๒๓
ฉันทเจตสิก
ประกอบกับจิตได้ ๖๙ ดวง คือ
ไม่ประกอบกับจิต ๒๐ ดวง คือ
โลภมูลจิต ๘
โมหมูลจิต ๒
โทสมูลจิต ๒
อเหตุกจิต ๑๘
กามโสภณจิต ๒๔
มหัคคตจิต ๒๗
โลกุตตรจิต ๘
สัมปโยคนัยแห่งอกุสลเจตสิก
อกุสลเจตสิก ๑๔ ดวง กล่าวโดยสัมปโยคนัย คือการประกอบกับอกุสลจิตนั้นแบ่ง
ออกเป็น ๕ นัย คือ
นัยที่ ๑ เจตสิก ๔ ดวง คือ โมหเจตสิก อหิริกเจตสิก อโนตตัปปเจตสิก และอุทธัจจเจตสิก
ซึ่งมีชื่อรวมเรียกว่า โมจตุกะ หรือสัพพากุสลสาธารณเจตสิกนั้น ประกอบกับอกุสลจิตได้ทั้งหมด
คือทั้ง ๑๒ ดวง
นัยที่ ๒ เจตสิก ๓ ดวงคือ โลภเจตสิก ทิฏฐิเจตสิก
และ มานเจตสิก ซึ่งมีชื่อรวมเรียกว่า โลติกะ นั้น
โลภเจตสิก ประกอบกับโลภมูลจิตได้ทั้งหมด คือ ทั้ง ๘ ดวง
ทิฏฐิเจตสิก ประกอบกับโลภมูลจิตได้ เฉพาะแต่ที่เป็นทิฏฐิคตสัมป ยุตตจิต ๔
ดวง
มานเจตสิก ก็ประกอบกับโลภมูลจิตได้เฉพาะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
ดวง
นัยที่ ๓ เจตสิก ๔ ดวง คือ โทสเจตสิก อิสสาเจตสิก มัจฉริยเจตสิก และกุกกุจจเจตสิก
ซึ่งมีชื่อรวมเรียกว่า โทจตุกะ นั้น ย่อมประกอบกับโทสมูลจิต ๒ ดวง
นัยที่ ๔ เจตสิก ๒ ดวง คือ ถีนเจตสิกและมีทธเจตสิก ซึ่งมีชื่อรวมเรียกว่า
ถีทุกะ นั้นย่อมประกอบกับสสังขาริกในอกุสลจิต อันมีจำนวน ๕ ดวง ได้แก่ โลภมูลจิต
ที่เป็นสสังขาริก ๔ ดวง และโทสมูลจิต ที่เป็นสสังขาริก ๑ ดวง
นัยที่ ๕ เจตสิก ๑ ดวง คือวิจิกิจฉาเจตสิก ย่อมประกอบกับวิจิกิจฉาสหคตจิต
ได้เฉพาะดวงเดียวเท่านั้น
สัมปโยคนัยแห่งโสภณเจตสิก
โสภณเจตสิก ๒๕ ดวง ย่อมประกอบได้เฉพาะโสภณจิตเท่านั้น และก็มิได้
ประกอบพร้อมกันทั้งหมด ดังนั้นจึงแสดงสัมปโยคนัยแห่งโสภณเจตสิกไว้เป็น ๔ นัย
คือ
นัยที่ ๑ ธรรม ๑๙ ดวงนั้น หมายถึงโสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง ย่อมเข้าประกอบกับโสภณจิต
ทั้ง ๕๙ ดวง หรือนับอย่างพิศดารก็ทั้ง ๙๑ ดวง กล่าวคือ โสภณจิตทั้ง ๕๙ หรือ
๙๑ ดวง ไม่ว่าจะเป็นจิตดวงใดดวงหนึ่งเกิดขึ้น โสภณสาธารณเจตสิกก็จะเข้าประกอบพร้อมกันทันทีทั้ง
๑๙ ดวง ไม่มีเว้นเลย
โสภณสาธารณเจตสิก
๑๙ ดวง ได้แก่ สัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ ตัตรมัชฌัตตตา กายปัสสัทธิ
จิตตปัสสัทธิ กายลหุตา จิตตลหุตา กายมุทุตา จิตตมุทุตา กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา
กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา กายุชุกตา จิตตุชุกตา
นัยที่ ๒ ธรรม ๓ ดวง ย่อมประกอบกับจิต ๑๖ ดวง นั้น หมายถึงวิรตีเจตสิก ๓ ดวง
คือสัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตเจตสิก และสัมมาอาชีวเจตสิก ย่อมประกอบได้กับจิต
๑๖ ดวง ได้แก่ มหากุสลจิต ๘ โลกุตตรจิต ๘
นัยที่ ๓ ธรรม ๒ ดวง ย่อมประกอบกับจิต ๒๘ ดวง นั้น หมายถึงอัปปมัญญา-
เจตสิก ๒ ดวง คือ กรุณาเจตสิก และมุทิตาเจตสิก ย่อมประกอบกับจิต ๒๘ ดวง ซึ่งได้แก่
มหากุสลจิต ๘ มหากิริยาจิต ๘ รูปาวจรจิต ๑๒ (เว้นรูปาวจรปัญจมฌานจิต
๓)
นัยที่ ๔ ปัญญาเจตสิก ย่อมประกอบกับจิต ๔๗ ดวง ซึ่งได้แก่ กามาวจรญาณสัมปยุตตจิต
๑๒ มหัคคตจิต ๒๗ โลกุตตรจิต ๘
อนิยตโยคีเจตสิก
อนิยตโยคีเจตสิก
คือเจตสิกที่ประกอบไม่แน่นอน หมายความว่าเจตสิก นั้นบางที ก็ประกอบ
บางทีก็ไม่ประกอบ
อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ วิรตี(๓ ดวง) กรุณา มุทิตา มานะ ถีนะ มิทธะ ย่อมประกอบกับจิตเป็นครั้งคราว
ไม่พร้อมกัน(ทั้ง ๑๑ ดวงนี้ เป็น อนิยตโยคีเจตสิก)
เจตสิกที่เหลือ (๔๑ ดวง) เป็น นิยตโยคีเจตสิก (ประกอบได้แน่นอน)
ต่อไปนี้จะได้กล่าวสังคหนัยของเจตสิก ตามสมควร
เจตสิกทั้ง ๕๒ ดวง จำแนกได้ ๒ ประเภท คือ อนิยตโยคีเจตสิก และนิยตโยคีเจตสิก
ก. อนิยตโยคีเจตสิก
เป็นเจตสิกที่ประกอบกับจิตไม่เสมอไป ไม่เป็นที่แน่นอน กล่าวคือ ประกอบเป็นครั้งคราวมีจำนวน
๑๑ ดวง ได้แก่ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
กรุณา มุทิตา มานะ ถีนะ และมิทธะ
ข. นิยตโยคีเจตสิก
เป็นเจตสิกที่ประกอบกับจิตเสมอ เป็นที่แน่นอนมี
๔๑ ดวงคือ
เจตสิกที่เหลือจาก ๑๑ ดวงนั่นเอง
อนิยตโยคีเจตสิก
ที่ว่าประกอบกับจิตไม่เสมอไป ไม่แน่นอน บางทีก็ประกอบ บางทีก็ไม่ประกอบ เป็นดังนี้
๑. อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ๓ ดวงนี้ ถ้าจะเกิดก็ต้องเกิดร่วมกันพร้อมกับโทสจิต
และจะต้องเกิดทีละดวง คือทีละอย่างเท่านั้น เพราะอารมณ์ต่างกัน การประกอบเป็นครั้งคราวและทีละดวง
เช่นนี้เรียกว่า นานากทาจิ
เวลาที่ริษยาสมบัติของผู้อื่น อิสสาเจตสิกก็เกิดร่วมกับโทสะ แต่มัจฉริยะและกุกกุจจะ
ไม่เกิด เพราะอารมณ์คนละอย่างต่างกัน
เวลาที่เหนียวแน่นในสมบัติของตน มัจฉริยเจตสิกก็เกิดร่วมกับโทสะ แต่อิสสา
และกุกกุจจะไม่เกิด
เวลาที่เศร้าใจ รำคาญใจ ในบาปที่ตนได้กระทำไปแล้ว หรือในการบุญที่ตนไม่ได้ทำ
กุกกุจจะเจตสิกก็เกิดร่วมกับโทสะ แต่อิสสาและมัจฉริยะไม่เกิด
๒. วิรตี ๓ ดวง คือ สัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตะเจตสิก และ สัมมาอาชีวเจตสิก
นั้น
ถ้าเป็นโลกีย์ ประกอบกับจิตที่เป็นมหากุสล ก็เป็นนานากทาจิ คือประกอบเป็น
บางคราว และประกอบทีละดวง
เวลาที่เว้นวจีทุจริต ๔ คือ มุสาวาจา ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปวาจา
ที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพ เวลานั้นสัมมาวาจาก็เกิด แต่สัมมากัมมันตะและสัมมาอาชีวะ
ไม่เกิด
เวลาที่เว้นกายทุจริต ๓ คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร ที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพ
เวลานั้นสัมมากัมมันตะก็เกิด แต่สัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะไม่เกิด
เวลาที่เว้นวจีทุจริต ๔ และเว้นกายทุจริต ๓ ที่รวมเรียกว่าเว้นทุจริต ๗ ที่เกี่ยวกับอาชีพเวลานั้นสัมมาอาชีวะเกิด
แต่ถือว่าสัมมาวาจาและสัมมากัมมันตะไม่เกิด
แต่ถ้าเป็นโลกุตตรโดยประกอบกับโลกุตตรจิตแล้ว ก็เป็น นิยตเอกโต คือต้องประกอบแน่นอนและประกอบพร้อมกันทั้ง
๓ ดวง เพราะวิรตีนี้เป็นองค์มัคคมี หน้าที่ประหารกิเลส ถ้าวิรตีไม่เกิด
มัคคจิตก็จะเกิดไม่ได้เลย
๓. กรุณาเจตสิก กับ มุทิตาเจตสิก ก็เป็นนานากทาจิ คือประกอบเป็นบางครั้ง
และทีละดวง
เวลาใดที่รับเอาทุกขิตสัตว์ คือสัตว์ที่กำลังได้รับทุกข์อยู่เป็นอารมณ์เกิดกรุณา
สงสารต่อสัตว์นั้น ปรารถนาช่วยสัตว์นั้นให้พ้นทุกข์ กรุณาเจตสิกก็เกิดแต่มุทิตาเจตสิก
ไม่เกิด
เวลาใดที่รับเอาสุขิตสัตว์ คือสัตว์ที่กำลังมีความสุขอยู่เป็นอารมณ์แล้วก็พลอยปิติ
ยินดีกับเขาด้วยเช่นนี้ มุทิตาเจตสิกก็เกิด แต่กรุณาเจตสิกไม่เกิด
๔. มานเจตสิก เพราะมีดวงเดียว ไม่มีพวก จึงเรียกว่าเป็น กทาจิ คือประกอบเป็น
บางครั้ง (ไม่ใช่นานากทาจิ ซึ่งหมายความว่าประกอบเป็นบางครั้งและทีละดวง)
มานเจตสิกนี้ถ้าจะเกิด ก็เกิดในโลภทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔ ดวง
๕. ถีนเจตสิก และมิทธเจตสิก คู่นี้เป็น สหกทาจิ คือประกอบเป็นบางครั้ง
และพร้อมกัน หมายความว่า ถ้าจะประกอบก็ต้องประกอบด้วยกันพร้อมกันทั้งคู่ (ไม่ใช่ทีละดวง)
หรือถ้าไม่ประกอบก็ไม่ประกอบทั้งคู่
สังคหนัย
สังคหะ แปลว่า
รวบรวม หรือสงเคราะห์ ในที่นี้มีความหมายว่า จิตแต่ละดวง ได้รวบรวมเจตสิกเข้ามาไว้เท่าใด
คืออะไรบ้าง หรือจิตแต่ละดวงมีเจตสิกอะไรบ้าง รวมเป็นจำนวนเท่าใดมาสงเคราะห์จิตนั้น
จิตที่ถูกประกอบด้วยเจตสิก
โดยสังคหนัย ๕ อย่าง
โลกุตตรจิต
ประกอบด้วยเจตสิก
๓๖ ดวง(โลกุตตรจิตอย่างย่อ๘ ดวง)
มหัคคตจิต
" "
๓๕ ดวง
กามาวจรโสภณจิต
" "
๓๘ ดวง
อกุสลจิต
" "
๒๗ ดวง
อเหตุกจิต
" "
๑๒ ดวง
อนุตตรสังคหนัย
อนุตตร มีความหมายว่า
เหนืออย่างไม่มีอะไรเหนือกว่า หรือแม้แต่จะเหนือเท่า พ้นอย่างไม่มีอะไรจะเทียบได้
ทั้งนี้ก็หมายถึงโลกุตตรนั่นเอง ดังนั้นอนุตตรสังคหนัย ก็คือ สังคหนัยแห่งโลกุตตรจิต
นั่นแหละ
โลกุตตรจิตนั้น (อย่างพิศดาร ๔๐ ดวง) มีสังคหะ ๕ นัย ตามลำดับ คือ ๓๖ นัยหนึ่ง
, ๓๕ นัยหนึ่ง , ๓๔ นัยหนึ่ง , ๓๓ คู่หนึ่ง
นัยที่ ๑ ปฐมฌานมัคคจิต ๔ ดวง ปฐมฌานผลจิต ๔ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๖ ดวง ได้แก่
อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๓ (เว้นอัปปมัญญาเจตสิก ๒)
นัยที่ ๒ ทุติยฌานมัคคจิต ๔ ดวง ทุติยฌานผลจิต ๔ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๕ ดวง
ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นวิตกเจตสิก) โสภณเจตสิก ๒๓ (เว้นอัปปมัญญา
๒)
นัยที่ ๓ ตติยฌานมัคคจิต ๔ ดวง ตติยฌานผลจิต ๔ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๔ ดวง
ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๑ (เว้นวิตก วิจาร) โสภณเจตสิก ๒๓ (เว้นอัปปมัญญา)
นัยที่ ๔ จตุตถฌานมัคคจิต ๔ ดวง จตุตถฌานผลจิต ๔ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๓ ดวง
ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๐ (เว้นวิตก วิจาร ปีติ) โสภณเจตสิก ๒๓ (เว้นอัปปมัญญา)
นัยที่ ๕ ปัญจมฌานมัคคจิต ๔ ดวง ปัญจมฌานผลจิต ๔ ดวงมีเจตสิกประกอบ ๓๓ ดวงได้แก่
อัญญสมานาเจตสิก ๑๐ (เว้นวิตก วิจาร ปีติ) โสภณเจตสิก ๒๓ (เว้นอัปปมัญญา)
มหัคคตสังคหนัย
มหัคคตจิต ๒๗ ดวงนั้น เมื่อนับตามอำนาจแห่งฌานแล้ว ก็มีเจตสิกประกอบไม่เท่า
กัน จึงจัดได้เป็น ๕ นัย คือ
นัยที่ ๑ ปฐมฌาน กุสล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ รวม ๓ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๕ ดวง
ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรตีเจตสิก ๓)
นัยที่ ๒ ทุติยฌาน กุสล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ รวม ๓ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๔ ดวงได้แก่
อัญญสมานาเจตสิก ๑๒(เว้นวิตกเจตสิก)โสภณเจตสิก ๒๒(เว้นวิรตี ๓)
นัยที่ ๓ ตติยฌาน กุสล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ รวม ๓ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๓ ดวงได้แก่
อัญญสมานาเจตสิก ๑๑(เว้นวิตก วิจาร)โสภณเจตสิก ๒๒(เว้นวิรตี ๓)
นัยที่ ๔ จตุตถฌาน กุสล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ รวม ๓ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๒ ดวง
ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๐ (เว้นวิตก วิจาร ปีติ) โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรตี
๓)
นัยที่ ๕ ปัญจมฌาน ๑๕ ดวง คือ รูปาวจรปัญจมฌาน กุสล วิบาก กิริยา ๓ ดวง อรูปาวจร
กุสล วิบาก กิริยา ๑๒ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๓๐ ดวง ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๐(เว้นวิตก
วิจาร ปีติ) โสภณเจตสิก๒๐(เว้นวิรตี ๓ อัปปมัญญา ๒)
กามาวจรโสภณสังคหนัย
ในกามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวงนั้น มีสังคหะรวม ๑๒ นัย ดังนี้ คือ
มหากุสล ๘ ดวง มีเจตสิกประกอบ ๔ นัย คือ ๓๘, ๓๗,
๓๗, ๓๖
มหากิริยา ๘ ดวง
" "
๔ นัย คือ ๓๕, ๓๔, ๓๔, ๓๓
มหาวิบาก ๘ ดวง
" "
๔ นัย คือ ๓๓, ๓๒, ๓๒, ๓๑
นัยที่ ๑ มหากุสล คู่ที่ ๑ คือดวงที่ ๑ กับดวงที่ ๒ ที่เป็นญาณสัมปยุตต ทั้งคู่
มีเจตสิกประกอบ ๓๘ ดวง เต็มที่ คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๕
นัยที่ ๒ มหากุสล คู่ที่ ๒ คือดวงที่ ๓ กับดวงที่ ๔ ซึ่งเป็นญาณวิปปยุตตทั้งคู่
มีเจตสิกประกอบ ๓๗ ดวง คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๔ (เว้นปัญญาเจตสิก)
นัยที่ ๓ มหากุสล คู่ที่ ๓ คือดวงที่ ๕ กับดวงที่ ๖ ซึ่งเป็นอุเบกขาทั้งคู่
มีเจตสิกประกอบ ๓๗ ดวง คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โสภณเจตสิก
๒๕
นัยที่ ๔ มหากุสล คู่ที่ ๔ คือดวงที่ ๗ กับดวงที่ ๘ ซึ่งทั้งคู่เป็นอุเบกขาด้วย
เป็นญาณวิปปยุตตด้วย มีเจตสิกประกอบ ๓๖ ดวงคือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ)
โสภณเจตสิก ๒๔ (เว้นปัญญา)
นัยที่ ๕ มหากิริยาคู่ที่ ๑ คือดวงที่ ๑ กับดวงที่ ๒ มีเจตสิกประกอบ ๓๕ ดวง
คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรตีเจตสิก ๓)
นัยที่ ๖ มหากิริยาคู่ที่ ๒ คือดวงที่ ๓ กับดวงที่ ๔ มีเจตสิกประกอบ ๓๔ ดวง
คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๑ (เว้นวิรตี ๓ ปัญญา ๑)
นัยที่ ๗ มหากิริยา คู่ที่ ๓ คือดวงที่ ๕ กับดวงที่ ๖ มีเจตสิกประกอบ ๓๔ ดวง
คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โสภณเจตสิก ๒๒ (เว้นวิรตี)
นัยที่ ๘ มหากิริยา คู่ที่ ๔ คือดวงที่ ๗ กับดวงที่ ๘ มีเจตสิกประกอบ ๓๓ ดวง
คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โสภณเจตสิก ๒๑ (เว้นวิรตี ปัญญา)
นัยที่ ๙ มหาวิบาก คู่ที่ ๑ คือดวงที่ ๑ กับดวงที่ ๒ มีเจตสิกประกอบ ๓๓ ดวง
คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๒๐ (เว้นวิรตี อัปปมัญญา)
นัยที่ ๑๐ มหาวิบาก คู่ที่ ๒ คือดวงที่ ๓ กับดวงที่ ๔ มีเจตสิกประกอบ
๓๒ ดวง คืออัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โสภณเจตสิก ๑๙ (เว้นวิรตี อัปปมัญญา และปัญญา)
นัยที่ ๑๑ มหาวิบาก คู่ที่ ๓ คือดวงที่ ๕ กับดวงที่ ๖ มีเจตสิกประกอบ ๓๒ ดวง
คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โสภณเจตสิก ๒๐ (เว้นวิรตี อัปปมัญญา)
นัยที่ ๑๒ มหาวิบาก คู่ที่ ๔ คือดวงที่ ๗ กับดวงที่ ๘ มีเจตสิกประกอบ ๓๑ ดวง
คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โสภณเจตสิก ๑๙ (เว้นวิรตี อัปปมัญญา
และปัญญา)
โสภณเจตสิกที่ไม่ได้สังคหนัย
ต่อไปนี้จะแสดงโสภณเจตสิกบางดวง ที่ไม่ได้ประกอบกับโสภณจิต บางประเภท
โสภณเจตสิกที่กล่าวมานี้
ในมหากิริยาจิต ย่อมไม่มีวิรตีเจตสิก
ในโลกุตตรจิต ย่อมไม่มีอัปปมัญญาเจตสิก
ในมหาวิบากจิต ย่อมไม่มีทั้ง ๒ (คือทั้งวิรตี
และ อัปปมัญญา)
๑. ในมหากิริยาจิต ๘ ดวง ทั้งนี้เป็นเพราะมหากิริยาจิต เป็นจิตของพระอรหันต์
ซึ่งจบการศึกษาแล้ว เป็นผู้ที่ปราศจากบาปธรรมทั้งปวง ตั้งแต่อรหัตตผลได้เกิดขึ้นแล้ว
จึงไม่จำเป็นหรือไม่มีกิจที่จะต้องเว้นพูดชั่ว เว้นทำชั่วหรือเว้นเลี้ยงชีพชั่วอีกเลย
ด้วยว่าไม่มีกิเลสเหลือที่จะให้ทำชั่วอย่างนั้น หรืออย่างไหน ๆ ทั้งสิ้น
๒. ในมหัคคตจิตทั้ง ๒๗ ดวง ก็ไม่มีวิรตีเจตสิกประกอบ เพราะมหัคคตจิตเกิดขึ้น
โดยมีกัมมัฏฐานเป็นอารมณ์ ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยอาศัยการเว้นทุจริตซึ่งจะต้องมีวิรมิตัพพวัตถุ
(วัตถุอันพึงเว้น) เป็นอารมณ์แต่อย่างใด
๓. ในโลกุตตรจิต ไม่มีอัปปมัญญาเจตสิกประกอบ เพราะอัปปมัญญาเจตสิก จะต้องมีสัตว์บัญญัติเป็นอารมณ์
แต่โลกุตตรจิตนั้นมีพระนิพพานเป็นอารมณ์แต่อย่างเดียว
๔. ในมหาวิบากจิต ๘ ดวง ก็ไม่มีวิรตีเจตสิกทั้ง ๓ และอัปปมัญญาเจตสิกทั้ง
๒ รวม ๕ ดวงนี้ ประกอบด้วยเลย เพราะมหาวิบากเป็นจิตที่เป็นผลของมหากุสล ทำหน้าที่ปฏิสนธิ
เป็นต้น เมื่อขณะปฏิสนธินั้น ไม่ต้องเว้นพูดชั่ว เว้นทำชั่ว และเว้นเลี้ยงชีพชั่ว
ทั้งขณะนั้นก็ไม่ได้กรุณาสงสารผู้ใด ไม่ได้มีมุทิตา คือพลอยยินดีกับใคร
อันเป็นการเว้น คือไม่เกิด หรือเกิดขึ้นไม่ได้อยู่แล้วตามธรรมชาติ จึงไม่ต้องมีวิรตีเจตสิก
อัปปมัญญเจตสิก มาประกอบ
ธรรมบางประการที่ทำให้จิตต่างกัน
๑. ในโลกุตตรจิตนั้น ฌานธรรม คือฌานทั้ง ๕ ย่อมทำให้จิตวิเศษ คือต่างกันจาก
๘ ดวง เป็น ๔๐ ดวง และ
วิตกเจตสิก ทำให้โลกุตตร
ปฐมฌาน ต่างกับโลกุตตร
ทุติยฌาน
วิจารเจตสิก
"
ทุติยฌาน
" "
ตติยฌาน
ปีติเจตสิก
"
ตติยฌาน
" "
จตุตถฌาน
สุขเวทนาเจตสิก "
จตุตถฌาน
" "
ปัญจมฌาน
อุเบกขาเวทนาเจตสิก "
ปัญจมฌาน
" "
ฌานต้น ๆ
๒. ในมหัคคตจิตนั้น ฌานธรรมและอัปปมัญญาเจตสิก ย่อมทำให้จิตวิเศษ คือ
ต่างกัน ดังต่อไปนี้
วิตกเจตสิก
ทำให้โลกีย ปฐมฌาน
ต่างกับโลกีย ทุติยฌาน
วิจารเจตสิก
"
ทุติยฌาน
" "
ตติยฌาน
ปีติเจตสิก
"
ตติยฌาน
" "
จตุตถฌาน
สุขเวทนาเจตสิก
"
จตุตถฌาน
" "
ปัญจมฌาน
อุเบกขาเวทนาเจตสิก "
ปัญจมฌาน
" "
ฌานต้น ๆ
อัปปมัญญาเจตสิก "
ปัญจมฌาน
" "
ฌานต้น ๆ
๓. ในกามาวจรโสภณจิตนั้น วิรตีเจตสิก ญาณคือ ปัญญาเจตสิกและปีติเจตสิก
ย่อมทำให้จิตวิเศษ คือ ต่างกันดังนี้
มหากุสลจิต มีวิรตีประกอบ ทำให้ต่างกับมหากิริยาจิต ซึ่งไม่มีวิรตีประกอบ
จิตที่เป็นญาณสัมปยุตต มีปัญญาเจตสิกประกอบ ทำให้ต่างกับจิตที่เป็นญาณวิปปยุตต
ซึ่งไม่มีปัญญาเจตสิกประกอบ
จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา มีปีติเจตสิกประกอบ ทำให้ต่างกับจิตที่ไม่เกิด
พร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ซึ่งไม่มีปีติเจตสิกประกอบ
อนึ่ง มีข้อที่ควรสังเกตว่า ในกรณีใดที่ปัญญาเจตสิก หรือปีติเจตสิกจึงประกอบ
หรือไม่ประกอบนั้น ดังนี้
จิตดวงใดที่เป็นญาณสัมปยุตตแล้ว จิตดวงนั้นจะต้องมีปัญญาเจตสิกประกอบ
ด้วยเสมอไปอย่างแน่นอน
จิตดวงใดที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสเวทนาแล้ว จิตดวงนั้นจะต้องมีปีติเจตสิกประกอบ
ด้วยเสมอไปอย่างแน่นอน (เฉพาะกามจิต)
ดังนั้น ก็พึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า
จิตดวงใดที่เป็นญาณวิปปยุตต คือไม่ประกอบด้วยปัญญาแล้ว ปัญญาเจตสิกก็ย่อมไม่เข้าประกอบอยู่เอง
และจิตดวงใดที่เกิดพร้อมด้วยโทมนัสเวทนา ความเสียใจก็ดีเกิดพร้อมด้วยอุเบกขา
-เวทนา เฉย ๆ ก็ดี ปีติ คือความอิ่มใจ ย่่อมเข้าประกอบด้วยไม่ได้เลย เพราะความเสียใจ
หรือความเฉย ๆ จะไม่มีความอิ่มใจ
อกุสลสังคหนัย
อกุสลจิต ๑ ดวง มีเจตสิกเข้าประกอบได้ รวมทั้งหมด ๒๗ ดวง คือ อัญญสมานาเจตสิก
๑๓ อกุสลเจตสิก ๑๔
แต่ว่า อกุสลจิตแต่ละดวงนั้นมีเจตสิกประกอบได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นอกุสล จิต
๑๒ ดวง จึงจัดสังคหะได้เป็น ๗ นัย คือ
นัยที่ ๑ โลภมูลจิตดวงที่ ๑ กับดวงที่ ๓ อันเป็นอสังขาริกเหมือนกัน มีเจตสิกประกอบ
๑๙ ดวง ได้แก่อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ สัพพากุสลสาธารณเจตสิกหรือโมจตุกะ ๔ โลภเจตสิก
๑ ทิฏฐิเจตสิก ๑ (เข้าประกอบเฉพาะดวงที่ ๑) มานเจตสิก ๑ (เข้าประกอบเฉพาะดวงที่
๓)
นัยที่ ๒ โลภมูลจิตดวงที่ ๕ กับดวงที่ ๗ อันเป็นอสังขาริกเหมือนกัน มีเจตสิกประกอบ
๑๘ ดวงได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โมจตุกะ ๔ โลภเจตสิก ๑ ทิฏฐิเจตสิก
๑(ประกอบเฉพาะดวงที่ ๕) มานเจตสิก (ประกอบ เฉพาะดวงที่ ๗)
นัยที่ ๓ โลภมูลจิตดวงที่ ๒ กับดวงที่ ๔ อันเป็นสสังขาริกเหมือนกัน มีเจตสิกประกอบ
๒๑ ดวง ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ โมจตุกะ ๔ โลภเจตสิก ๑ ทิฏฐิเจตสิก ๑ (ประกอบเฉพาะดวงที่
๒) มานเจตสิก ๑ (ประกอบเฉพาะดวงที่ ๔) ถีนเจตสิก ๑ มิทธเจตสิก ๑
นัยที่ ๔ โลภมูลจิตดวงที่ ๖ กับดวงที่ ๘ อันเป็นสสังขาริก เหมือนกัน มีเจตสิกประกอบ
๒๐ ดวงได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โมจตุกะ ๔ โลภเจตสิก ๑ ทิฏฐิเจตสิก
๑ (ประกอบเฉพาะดวงที่ ๖) มานเจตสิก ๑ (ประกอบเฉพาะดวงที่ ๘) ถีนเจตสิก ๑ มิทธเจตสิก
๑
นัยที่ ๕ โทสมูลจิตดวงที่ ๑ อันเป็นอสังขาริก มีเจตสิกเข้าประกอบ ๒๐ ดวง
ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โมจตุกะ ๔ โทจตุกะ ๔
นัยที่ ๖ โทสมูลจิตดวงที่ ๒ อันเป็นสสังขาริก มีเจตสิกเข้าประกอบ ๒๒ ดวงได้แก่
อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นปีติ) โมจตุกะ ๔ โทจตุกะ ๔ ถีนเจตสิก ๑ มิทธเจตสิก
๑
นัยที่ ๗ โมหมูลจิต ๒ ดวง มีเจตสิกเข้าประกอบเป็นจำนวนเท่ากัน คือ ๑๕
ดวง แต่มีที่ต่างกัน คือ
ก. โมหมูลจิต ดวงที่ ๑ได้แก่ วิจิกิจฉาสัมปยุตตจิตหรือวิจิกิจฉาสหคตจิต เจตสิกที่ประกอบคืออัญญสมานาเจตสิก
๑๐ (เว้นอธิโมกข์ ปีติ ฉันทะ) โมจตุกะ ๔ วิจิกิจฉาเจตสิก ๑ รวม ๑๕ ดวง
ข. โมหมูลจิต ดวงที่ ๒ ได้แก่ อุทธัจจสัมปยุตตจิต มีเจตสิกที่ประกอบ คือ อัญญสมานาเจตสิก
๑๑(เว้นปีติ ฉันทะ) โมจตุกะ ๔ รวม ๑๕ ดวง เท่ากันกับ ก.
สัพพากุสลโยคีเจตสิก
สัพพากุสลโยคีเจตสิก
คือเจตสิกที่ประกอบกับอกุสลจิตได้ทั้งหมด (ทั้ง ๑๒ ดวง)
สัพพากุสลสาธารณเจตสิก หรือโมจตุกะ ๔ ดวงคือ โมห อหิริก อโนตตัปป อุทธัจจ
กับอัญญสมานาเจตสิก ๑๐ ดวง คือ ผัสส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย
มนสิการ วิตก วิจาร และ วิริยะ (เว้นอธิโมกธ ปีติ ฉันทะ)
รวมเจตสิก ๑๔ ดวงนี้ เรียกว่า สัพพากุสลโยคีเจตสิก คือเป็นเจตสิกที่ประกอบกับอกุสลจิตได้ทั้งหมด
หมายความว่า อกุสลจิตทั้ง ๑๒ ดวงนั้น ไม่ว่าดวงหนึ่งดวงใดเกิดขึ้นเป็นต้องมี
เจตสิกทั้ง ๑๔ ดวงนี้ ประกอบเสมอไปอย่างแน่นอน
อเหตุกสังคหนัย
อเหตุกจิต ๑๘ ดวง มีเจตสิกประกอบได้ประเภทเดียวเท่านั้น คือ อัญญสมานาเจตสิก
และอัญญสมานาเจตสิกก็เข้าประกอบกับอเหตุกจิตได้เป็นอย่างมากเพียง ๑๒ ดวงเท่านั้น
ส่วนอีกดวง คือ ฉันทเจตสิกเข้าประกอบกับ อเหตุกจิตด้วยไม่ได้เลยเป็นเด็ดขาดแน่นอน
เหตุที่ฉันทเจตสิกไม่ประกอบกับอเหตุกจิตเลยนั้น เพราะว่าฉันทเจตสิกนี้มีลักษณะ
คือ ความพอใจในอารมณ์ มีความปรารถนาจะกระทำ มีความปลงใจกระทำ ส่วนอเหตุกจิตนั้นเป็นจิตที่แม้ว่าจะปลงใจกระทำหรือไม่
ก็ต้องเกิด เช่น จักขุวิญญาณจิต มีหน้าที่เห็นรูป ไม่ว่ารูปนั้นจะสวยงามอยากเห็นหรือเป็นรูปที่น่าเกลียดน่ากลัว
ไม่อยากเห็น เมื่อรูปนั้นมาปรากฏเฉพาะหน้า ก็จะต้องเห็น จะเลือกเห็นเฉพาะรูปที่สวย
งามไม่ได้ ทางโสตวิญญาณจิต มีหน้าที่ได้ยินเสียงก็เช่นกัน จะเลือกได้ยินแต่เสียงที่เพราะ
ๆ รื่นหู ก็ไม่ได้ ซึ่งผิดกับจิตอื่นที่มีฉันทเจตสิกประกอบ เช่นโทสจิต เป็นต้น
เมื่อได้เห็นสิ่งที่ไม่ดี เช่นเห็นสุนัขขี้เรื้อน ผู้เห็นพอใจปลงใจจะให้เกิดความเกลียดชังก็ได้
หรือจะเลือกในทางไม่เกลียดก็ได้ ถ้าเลือกในทางเกลียด โทสจิตก็เกิด ถ้าเลือกในทางสงสารว่าเป็นกรรมของสัตว์นั้น
โทสจิตก็ไม่เกิด แต่กลับเป็นโสภณจิต ดังนั้นฉันทเจตสิกจึงไม่เกิดร่วมกับอเหตุกจิตเลย
เพราะเป็นจิตที่เลือกไม่ได้ตามใจชอบ
อเหตุกจิต ๑๘ ดวง มีสังคหะ ๔ นัย คือ
นัยที่ ๑ หสิตุปปาทจิต ๑ ดวง อันเป็นจิตยิ้มแย้มของพระอรหันต์โดยเฉพาะ บุคคลอื่นใดไม่มีจิตดวงนี้
หสิตุปปาทมีเจตสิกประกอบ ๑๒ ดวง ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๒ (เว้นฉันท)
นัยที่ ๒ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง (เรียกอีกชื่อหนึ่งตามกิจ หรือหน้าที่การงานว่า
โวฏฐัพพนจิตก็ได้) และโสมนัสสันตีรณจิต ๑ ดวง จิต ๒ ดวงนี้ มีเจตสิกประกอบ
๑๑ ดวง เท่ากัน แต่มีที่ต่างกัน คือ
เจตสิกที่ประกอบกับมโนทวาราวัชชนจิต ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๑ (เว้นปีติเจตสิก
และฉันทเจตสิก)
ส่วนเจตสิกที่ประกอบกับโสมนัสสันตีรณจิต ได้แก่ อัญญสมานาเจตสิก ๑๑ แต่เว้นวิริยเจตสิก
กับฉันทเจตสิก
นัยที่ ๓ มโนธาตุ ๓ ดวง (ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ สัมปฏิจฉันนจิต ๒ ดวง) กับอเหตุกปฏิสนธิจิต
๒ ดวง (คืออุเบกขาสันตีรณจิต ๒) รวมจิต ๕ ดวงนี้ มีเจตสิกประกอบได้ ๑๐ ดวง
คือ อัญญสมานาเจตสิก ๑๐ (เว้นวิริย ปีติ ฉันท)
นัยที่ ๔ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง มีเจตสิกประกอบได้จำพวกเดียว คือ สัพพจิตตสาธารณเจตสิกทั้ง
๗ ดวงเท่านั้นเอง
อธิบาย
สัมปโยคนัย หมายถึงนัยที่แสดงว่า
เจตสิกแต่ละดวงเข้าประกอบกับจิตใดบ้าง
สังคหนัย
หมายถึงนัยที่แสดงว่าจิตแต่ละดวงมีเจตสิกใดมาร่วมสงเคราะห์บ้าง
สัมปโยคนัย มี ๑๖ นัย คือ
สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ดวง
ได้สัมปโยค
๑ นัย
ปกิณณกเจตสิก
๖ " "
๖ นัย
อกุสลเจตสิก
๑๔ " "
๕ นัย
โสภณเจตสิก
๒๕ " "
๔ นัย
รวม
๕๒ " "
๑๖ นัย
สังคหนัย มี ๓๓ นัย
คือ
โลกุตตรจิต
๔๐ ดวง
มีสังคหะ
๕ นัย
มหัคคตจิต
๒๗ "
"
๕ "
กามาวจรโสภณจิต ๒๔
"
"
๑๒ "
อกุสลจิต
๑๒ "
"
๗ "
อเหตุกจิต
๑๘ "
"
๔ "
รวมจิต
๑๒๑ "
"
๓๓ "
จบปริจเฉทที่
๒ เจตสิกปรมัตถ