ตอนที่
๓
พระนาคเสนไปศึกษาพระไตรปิฏกกับพระธรรมรักขิต
ในคราวนั้นมีเศรษฐีชาวเมืองปาตลีบุตรคนหนึ่ง
ได้เดินทางมาค้าขายตามชนบททั้งหลาย
ครั้นขายของแล้วก็บรรทุกสินค้าใหญ่น้อยลงในเกวียน
๕๐๐ เล่ม ออกเดินทางกลับเมืองปาตลีบุตรได้เห็นพระนาคเสนออกเดินทางไป
จึงให้หยุดเกวียนไว้ แล้วเข้าไปกราบนมัสการไต่ถามว่า
" พระคุณเจ้าจะไปไหนขอรับ
? "
พระนาคเสนตอบว่า
" อาตมาจะไปเมืองปาตลีบุตร
"
เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงกล่าวว่า
" ถ้าอย่างนั้นนิมนต์ไปกับโยมเถิดจะสะดวกดี
"
" ดีแล้ว คหบดี "
ลำดับนั้น เศรษฐีจึงจัดอาหารถวายเวลาฉันเสร็จแล้ว
เศรษฐีจึงถามว่า
" พระคุณเจ้าชื่ออะไรขอรับ
"
" อาตมาชื่อนาคเสน
"
" ท่านรู้พระพุทธวจนะหรือ
? "
" อาตมารู้เฉพาะอภิธรรม
"
" เป็นลาภอันดีของโยมแล้ว
โยมก็ได้เรียนอภิธรรม ท่านก็รู้อภิธรรม
ขอท่านจงแสดงอภิธรรมให้โยมฟังสักหน่อย
"
เมื่อพระนาคเสนแสดงอภิธรรมจบลงเศรษฐีก็ได้สำเร็จพระโสดาบัน
แล้วพากันออกเดินทางต่อไป ครั้งไปถึงที่ใกล้เมืองปาตลีบุตร
เศรษฐีจึงกล่าวว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
ทางนั้นเป็นทางไปสู่อโศการาม พระผู้เป็นเจ้าจงไปทางนี้เถิดแต่ทว่าอย่าเพิ่งไปก่อน
ขอนิมนต์ให้พรแก่โยมสักอย่างหนึ่งเถิด
"
พระนาคเสนตอบว่า
" อาตมาเป็นบรรพชิต
จักให้พรอะไรได้ "
" พรใดที่สมควรแก่สมณะ
ขอท่านจงให้พรนั้น "
" ถ้ากระนั้นโยมจงรับเอาพร
คือการกุศล อย่าประมาทลืมตนในการกุศล
พรอันนี้มีผลโดยสุจริต "
ขณะนั้นเศรษฐีจึงถวายผ้ากัมพลพร้อมกับบอกว่า
" ขอท่านจงกรุณารับกัมพลอันยาว
๑๖ ศอก กว้าง ๘ ศอก ของโยมนั้นไปนุ่งห่มเถิด
"
พระนาคเสนจึงรับเอาผ้านั้นไว้
ส่วนว่าเศรษฐีถวายนมัสการแล้ว จึงกราบลามาสู่ปาตลีบุตรนคร
ส่วนพระนาคเสนก็ออกเดินทางไปสู่สำนักพระธรรมรักขิตที่อโศการาม
กราบไหว้แล้วจึงเรียนว่า
" ขอท่านได้โปรดสอนพระพุทธวจนะให้กระผมด้วยเถิดครับ"ศึกษาร่วมกับภิกษุชาวลังกา
ในคราวนั้น ยังมีภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่าพระติสสทัตตะ
ได้เรียนพระพุทธวจนะเป็นภาษาสิงหล ในเมืองลังกาจบแล้วปรารถนาจะเรียนพระพุทธวจนะอันเป็นภาษามคธ
จึงโดยสารสำเภามาสู่สำนักพระธรรมรักขิตนี้
เมื่อกราบไหว้แล้วจึงกล่าวว่า
" กระผมมาจากที่ไกล
ขอท่านจงบอกพระพุทธวจนะให้แก่กระผมด้วยเถิด"
" เธอกับพระติสสทัตตะควรเรียนพระพุทธวจนะด้วยกัน
จะได้เป็นเพื่อนสาธยายด้วยกัน อย่าร้อนใจไปเลย
"
พระนาคเสนจึงกล่าวว่า
" กระผมมิอาจที่จะเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกันด้วยคำภาษาสิงหลได้
ด้วยพระติสสทัตตะนี้เจรจาเป็นภาษาสิงหล
"
เป็นคำถามว่าเหตุไฉนเมื่อพระอาจารย์ว่าจะให้พระติสสทัตตะกับพระนาคเสนเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกัน
พระนาคเสนนั้นว่าไม่เรียนพร้อมกัน
ด้วยพระติสสทัตตะกล่าวคำภาษาสิงหล (อันเป็นภาษาชาวลังกา)
แก้ความนั้นว่า
พระนาคเสนเข้าใจว่าอาจารย์คงจะบอกพระพุทธวจนะเป็นภาษาสิงหล
ด้วยภาษาสิงหลนี้เป็นคำวิเศษกลัวว่าชาวประเทศสาคลราชธานีจะไม่เข้าใจพระนาคเสนนั้นตั้งใจจะเรียนพระพุทธวจนะที่จะให้เข้าใจของชาวสาคลนคร
มีพระเจ้ามิลินท์เป็นประธาน
พระธรรมรักขิตจึงบอกขึ้นอีกเป็นครั้งที่
๒ ว่า
" เธอจงเรียนพร้อมกับพระติสสทัตตะเพราะพระติสสทัตตะเป็นบัณฑิต
ไม่ใช่ผู้ไม่รู้จักภาษา "
พระนาคเสนจึงคิดได้ว่าอาจารย์คงไม่บอกเป็นภาษาสิงหลดอก
อาจจะบอกเป็นภาษามคธ เราผิดเสียแล้ว จะต้องขอโทษพระติสสทัตตะ
เมื่อพระนาคเสนคิดได้อย่างนั้น
จึงกราบขอโทษแล้วเริ่มเรียนพระพุทธวจนะพร้อมกัน
โดยเรียนอยู่ ๓ เดือนก็จบพระไตรปิฏก ซักซ้อมอีก
๓ เดือนก็ชำนาญพระนาคเสนสำเร็จพระอรหันต์
ฝ่ายพระธรรมรักขิตเห็นพระนาคเสนยังเป็นปุถุชนอยู่
จึงมีเถรวาจาเป็นทางจะให้รู้โดยคำอุปมาว่า
" นี่แน่ะ นาคเสน
ธรรมดาว่านายโคบาลได้แต่เลี้ยงโค
ไม่ได้รู้รสแห่งนมโค มีแต่ผู้อื่นได้ดื่มรสแห่งนมโคฉันใดปุถุชนที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส
ถึงแม้จะทรงพระไตรปิฏก ก็มิได้รู้รสแห่งสามัญผลคือมรรคผลอันควรแก่สมณะเปรียบเหมือนกับนายโคบาล
ที่รับจ้างเลี้ยงโคและรีดนมโคขาย
แต่มิได้เคยลิ้มชิมรสแห่งนมโคฉันนั้น
"พระนาคเสนได้ฟังคำเช่นนั้นก็เข้าใจ
จึงมีวาจาว่า" คำสั่งสอนของท่านเท่านี้พอแล้วขอรับ
"ท่านกล่าวเพียงเท่านี้แล้วก็ลามาสู่อาวาส
ต่อมาก็ได้พยายามเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน
ไม่ช้าก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ
ในเวลากลางคืนอันเป็นวันที่พระธรรมขิตให้นัยนั้นเองในขณะที่พระนาคเสนสำเร็จพระอรหันต์นั้น
ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ แผ่นดินอันใหญ่นี้ก็บันลือลั่นหวั่นไหว
ทั้งมหาสมุทรสาครก็ดีฟองนองละลอก
ยอดภูเขาก็โอนอ่อนโยกคลอนไปมา
เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายก็ตบมือสาธุการ
ห่าฝนทิพยจุณจันทน์และดอกไม้ทิพย์
ก็ตกลงมาบูชาในกาลนั้นพระอรหันต์ให้ทูตไปตามพระนาคเสน
เมื่อพระนาคเสนได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว
พระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิก็ไปประชุมกันที่ถ้ำรักขิตเลณะในภูเขาหิมพานต์
แล้วส่งฑูตไปตามพระนาคเสน
เมื่อพระนาคเสนทราบแล้ว
ก็หายวับจากอโศการาม มาปรากฏข้างหน้าพระอรหันต์
๑๐๐ โกฏิ ที่ถ้ำรักขิตเลณะในภูเขาเขาหิมพานต์
กราบไหว้พระอรหันต์ทั้งหลายแล้วจึงถามว่า
" เพราะเหตุไรขอรับ
จึงให้ฑูตไปตามกระผมมา ? "
พระอรหันต์ผู้เป็นหัวหน้าตอบว่า
" เป็นเพราะมิลินทราชาเบียดเบียนพวกเราด้วยการไต่ถามปัญหา
เธอจงไปทรมานมิลินทราชานั้นเถิด
"
พระนาคเสนจึงเรียกว่า
" อย่าว่าแต่มิลินทราชาเลยบรรดาพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น
ที่มีปัญหาเหมือนมิลินทราชานี้ จะซักถามปัญหาตื้นลึกประการใด
กระผมจะแก้ให้สิ้นสงสัย ให้มีพระทัยยินดีด้วยการแก้ปัญหา
ขอพระเถรเจ้าทั้งหลายจงไปสู่สาคลนคร
ด้วยความไม่สะดุ้งกลัวเถิด"พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปถามปัญหาพระอายุบาล
ในคราวนั้น ยังมีพระมหาเถระองค์หนึ่งมีชื่อว่าพระอายุบาล
ท่านเป็นผู้ชำนาญในนิกายทั้ง ๕ (ฑีฆนิกาย
มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตนิกาย ขุททกนิกาย)ได้อาศัยอยู่ที่อสงไขยบริเวณ
ฝ่ายพระเจ้ามิลินทร์ทรงดำริว่า
ราตรีนี้ดีมาก เราควรจะไปหาสมณพราหมณ์
เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ใดดีหนอ ใครหนอจะสามารถสนทนากับเราได้
ใครหนอจะสามารถตัดความสงสัยของเราได้
ทรงดำริแล้วก็โปรดมีพระราชโองการตรัสถาม
พวกราชบริพารโยนกทั้ง ๕๐๐ ก็กราบทูลว่า
" มีพระเถระอยู่องค์หนึ่งชื่อว่าพระอายุบาล
ท่านเป็นผู้ทรงพระไตรปิฏก ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก
มีการแสดงธรรมวิจิตรมีปฏิภาณดี ชำนาญในนิกายทั้ง
๕ อยู่ที่อสงไขยบริเวณ ขอมหาราชเจ้าจงเสด็จไปถามปัญหาต่อพระอายุบาลเถิด
พระเจ้าข้า "
" ถ้าอย่างนั้นขอจงไปแจ้งให้พระผู้เป็นเจ้าทราบก่อน"
ลำดับนั้น เนมิตติยอำมาตย์จึงใช้ให้คนไปแจ้งแก่พระอายุบาลว่า
พระเจ้ามิลินท์จะเสด็จมาหาพระอายุบาลตอบว่า
เชิญเสด็จมาเถิด
ต่อจากนั้นพระเจ้ามิลินท์พร้อมกับหมู่โยนกเสนา
๕๐๐ ก็เสด็จขึ้นรถไปที่อสงไขยบริเวณ เมื่อไปถึงจึงตรัสสั่งให้หยุดรถทรงไว้
เสด็จไปด้วยพระบาทเปล่าเข้าสู่สำนักพระอายุบาล
นมัสการแล้วกระทำปฏิสันถารโอภาปราศรัยกันไปมา
จึงมีพระราชดำรัสตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระอายุบาล
บรรพชามีประโยชน์อย่างไร อะไรเป็นประโยชน์เยี่ยมของท่าน?
"
พระอายุบาลตอบว่า
" ขอถวายพระพร
มหาบพิตรพระราชสมภาร การบรรพชามีประโยชน์เพื่อจะได้ประพฤติธรรม
ประพฤติความสงบ อันจะทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้หลาย"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
คฤหัสถ์ผู้ประพฤติธรรม ประพฤติความสงบ จะมีคุณวิเศษบ้างหรือไม่
? "จำนวนคฤหัสถ์ผู้ได้มรรคผล
" ขอถวายพระพร
คฤหัสถ์ที่ประกอบไปด้วยความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัยทรงศีล
๕ หรือศีล ๘ ไว้มั่นคง ให้ท่านและภาวนาอุตส่าห์ฟังธรรม
ก็จัดว่าประพฤติให้เป็นประโยชน์เป็นผลแก่ตนเอง
ดังตัวอย่างเมื่อครั้งองค์สมเด็จพระทศพรยังทรงพระชนม์อยู่
พระองค์ได้เสด็จไปยังเมืองพาราณสี
โปรดประทานธรรมเทศนาพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์ในป่าอิสิปตนมิคทายวัน
ครั้งจบลงแล้วพรหมทั้ง
๑๘ โกฏิได้สำเร็จมรรคผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา
พรหมทั้งหลายล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น
จะได้อุปสมบทบรรพชาหามิได้
ในคราวที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
เวสสันดรชาดก ขทิรังคชาดกราหุโลวาทสูตร และทรงแสดงธรรมที่ประตูสังกัสสครมีผู้สำเร็จมรรคผลประมาณ
๒๐ โกฏิ คนทั้งหลายนั้น กับเทพยดาและพรหมทุกชั้น
ล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น ไม่ใช่บรรพชิตเลย"กรรมของพระที่ถือธุดงค์
เมื่อพระอายุบาลแก้ไขดังนี้
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
" ข้าแต่ท่านอายุบาล
ถ้าอย่างนั้นบรรพชาก็ไม่มีประโยชน์อะไร
พวกสมณะทั้งหลายที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส
ที่ได้บรรพชารักษาธุดงค์ต่างๆ ทำให้ลำบากกายใจนั้นล้วนเป็นด้วยผลแห่งบาปกรรมในปางก่อนทั้งนั้นนี่แน่ะ
ท่านอายุบาล พวกพระที่ถือ " เอกา " ฉันจังหันหนเดียว
แต่ชาติก่อนเป็นโจรเที่ยวปล้นชาวบ้าน
ไปแย่งชิงอาหารเขาครั้งชาตินี้เล่าผลกรรมนั้นดลจิตใจฉันหนเดียว
ดูบรรพชานี้ไม่มีผล ถึงจะรักษาศีลรักษาตบะ
รักษาพรหมจรรย์ ก็ไม่มีผลอันใดประการหนึ่งเล่า
พวกที่ถือธุดงค์ " อัพโพกาส " คืออยู่ในกลางแจ้งนั้น
เมื่อชาติก่อนต้องได้เป็นพวกปล้นบ้านเผาเรือนชาตินี้จึงไม่มีที่กินที่อยู่ส่วนพวกถือ
" เนสัชชิกธุดงค์ " คือถือไม่นอนเป็นกิจวัตร
ได้แต่เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น พวกนั้นต้องเป็นโจรปล้นคนเดินทางไว้เมื่อชาติก่อน
จับคนเดินทางได้แล้วก็ผูกมัดให้นั่งจับเจ่าอยู่เท่านั้นโยมคิดดูซึ่งธุงดค์นี้ไม่มีผล
จะเป็นศีล จะเป็นตบะ จะเป็นพรหมจรรย์ก็หามิได้
ก็จะบรรพชารักษาธุดงค์ไปเพื่ออะไร ปฏิบัติในเพศคฤหัสถ์ก็ได้มรรคผลเหมือนกัน
เป็นคฤหัสถ์อยู่มิดีกว่าหรือ พระผู้เป็นเจ้า
? "เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้ พระอายุบาลก็ขี้คร้านที่จะตอบจึงนั่งนิ่งไป
มิได้ถวายพระพรโต้ตอบต่อข้อปัญหานั้นพวกโยนก
๕๐๐ จึงกราบทูลขึ้นว่า" ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระภิกษุองค์นี้เป็นัก