ตอนที่
๑๐
วรรคที่
๖
ปัญหาที่
๑
ถามถึงความรักร่างกายแห่งบรรพชิต
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
ร่างกายเป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลายหรือ?
"
พระเถระตอบว่า
" ขอถวายพระพร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าอย่างนั้น ทำไมบรรพชิตจึงยังอาบน้ำชำระกาย
ถึอว่ากายของเราอยู่ ? "
" ขอถวายพระพร ผู้เข้าสู่สงครามเคยถูกบาดเจ็บบ้างหรือไม่?
"
" อ๋อ...เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร แผลที่ถูกอาวุธนั้น
ฉาบทาด้วยเครื่องฉาบทา ทาด้วยน้ำมัน
พันด้วยผ้าเนื้อละเอียดแลหรือ ? "
" ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า
ต้องทำอย่างนั้น "
" ขอถวายพระพร บาดแผลนั้นเป็นที่รักของผู้นั้นหรือ?
"
" ไม่ได้เป็นที่รักของผู้นั้นเลย
แต่ว่าเขาทำอย่างนั้น เพื่อให้เนื้อตรงนั้นงอกขึ้นเป็นปกติ
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย
แต่บรรพชิตทั้งหลายรักษาร่างกายนี้ไว้
เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ อันว่าร่างกายนี้เปรียบเหมือนกับแผล
บรรพชิตรักษาร่างกายนี้ไว้เหมือนกับบุคคลรักษาแผล"
ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า
" กายนี้มีทวาร ๙ เป็นแผลใหญ่
อันหนังสดปกปิดไว้ คายของโสโครกออกโดยรอบ
ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น "
" ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"อธิบาย
คำว่า " ทวาร ๙ " ได้แก่
ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑
ปัญหาที่
๒
ถามถึงเหตุที่ไม่ทรงบัญญติสิกขาบทไว้ล่วงหน้า
" ข้าแต่พระนาคเสน
พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู คือทรงรู้ทุกสิ่ง
เป็นสัพพทัสสาวีคือทรงเห็นทุกอย่างจริงหรือ
? "
" ขอถวายพระพร จริง
"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ถ้าจริง...เหตุไฉนจึงทรงบัญญัติสิกขาบทไปตามลำดับเหตุการณ์แก่สาวกทั้งหลาย
ทำไมจึงไม่ทรงบัญญัติไว้ก่อน ? "
" ขอถวายพระพร แพทย์ที่รู้จักยาทั้งหมดในแผ่นดินนี้มีอยู่หรือ?
"
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร ก็แพทย์นั้นให้คนไข้กินยาแต่เมื่อยังไม่เป็นไข้
หรือเมื่อเป็นไข้แล้วจึงให้กินยา
? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อเป็นไข้แล้วจึงให้กินยา เมื่อยังไม่เป็นไข้ก็ยังไม่ให้กินยา
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ทุกสิ่งเห็นทุกอย่างจริง
แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ยังไม่บัญญัติสิกขาบท
ต่อเมื่อถึงเวลาจึงบัญญัติสิกขาบทสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นพระสาวกไม่ควรล่วงละเมิดจนตลอดชีวิต"
" ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"
ปัญหาที่
๓
ถามถึงลักษณะมหาบุรุษ
๓๒ ของพระพุทธมารดาบิดา
" ข้าแต่พระนาคเสน
พระพุทธเจ้าประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ
๓๒ และประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ มีสีพระกายดังทองคำ
มีพระรัศมีสว่างรอบพระองค์ด้านละ
๑ วาเป็นนิจจริงหรือ? "
" ขอถวายพระพร จริง
"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
พระมาดารบิดาประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ
๓๒ ประการกับประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีสีพระกายดังทองคำมีพระรัศมีข้างละ๑
วาหรือไม่ ? "
" ขอถวายพระพร พระมารดาบิดาไม่เป็นอย่างนั้น
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
เมื่อพระมาดารบิดาไม่เป็นอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าเจ้าจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ
เพราะธรรมดาบุตรย่อมคล้ายกับมารดาหรือคล้ายกับข้างบิดา?
"
" ขอถวายพระพร ดอกปทุม
หรือดอกอุบล ดอกโกมุท ดอกปุณฑริก มีอยู่หรือ
? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า
เพราะดอกบัวเหล่านั้นเกิดอยู่ในน้ำ
เกิดอยู่ในดิน แช่อยู่ในน้ำ "
" ขอถวายพระพร ดอกบัวเหล่านั้นมีสี
กลิ่น รส เหมือนดินกับน้ำหรือไม่? "
" ไม่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ถ้าอย่างนั้น ดอกบังเหล่านั้น
มีสี กลิ่น รส เหมือนกับโคลนกับตมหรือไม่
? "
" ไม่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร "
" พระผู้เป็นเจ้าเข้าใจแก้
เป็นอันแก้ถูกต้องดีแล้ว"
ปัญหาที่
๔
ถามถึงความเป็นพรหมจารีของพระพุทธเจ้า
" ข้าแต่พระนาคเสน
พระพุทธเจ้าเป็นพรหมจารี คือเป็นผู้ประพฤติเหมือนกับพรหมจริงหรือไม่?
"
" ขอถวายพระพร จริง
"
" ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เป็นศิษย์ของพรหมน่ะซิ"
" ขอถวาวพระพร ช้างทรงของมหาบพิตรมีอยู่หรือ
? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ช้างทรงของมหาบพิตรนั้น
มีเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียนในบางคราวหรือไม่?
"
" อ๋อ...บางคราวก็มีเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียน
พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้น ช้างของมหาบพิตรก็เป็นศิษย์ของนกกระเรียนน่ะซี"
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร พระพุทธเจ้าประพฤติเหมือนพรหมจริง
แต่ไม่ได้เป็นศิษย์ของพรหม"
" ขอถวายพระพร พรหมนั้นได้ตรัสรู้ด้วยตนเองหรือไม่"
" ไม่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ถ้าอย่างนั้น พรหมก็ต้องเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า"
ปัญหาที่
๕
ถามถึงการอุปสมบท
ไม่อุปสมบท
" ข้าแต่พระนาคเสน
การอุปสมบทดีหรือ...หรือว่าไม่อุปสมบทดี?
"
" ขอถวายพระพร อุปสมบทดี
"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
อุปสมบทของพระพุทธเจ้ามีอยู่หรือ? "
" ถวายพระพร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ได้อุปสมบทแล้ว
"
เมื่อพระนาคเสนกล่าวอย่างนี้แล้ว
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสประกาศขึ้นว่า
" ขอพวกโยนกทั้ง
๕๐๐ จงฟังถ้อยคำของเรา คือพระนาคเสนกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าได้อุปสมบทแล้ว เป็นอุปสันบัน
คือเป็นผู้ที่บวชแล้ว
ถ้าพระสมณโคดมเป็นอุปสัมบัน
ใครเป็นอุปัชฌาย์ ใครเป็นอาจารย์ มีสงฆ์มานั่งหัตถบาสเท่าใด
? "
" ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าไม่มีอุปัชฌาย์
ไม่มีอาจารย์ ได้อุปสมบทเอง ตรัสรู้เอง ที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ
พระองค์ได้เป็นผู้อุปสัมบันพร้อมด้วยพระสัพพัญญุตญาณ"
" ข้าแต่พระนาคเสน
ถ้าอุปัชฌาย์อาจารย์ของพระสมณโคดมไม่มี
โยมก็เข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นอนุปสัมบัน
คือผู้ที่ยังไม่ได้บวชเพราะเหตุไร...พระพุทธเจ้าจึงไม่มีอุปัชฌาย์
ไม่มีอาจารย์ ? "
เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามขึ้นอย่างนี้พระนาคเสนองค์อรหันต์
ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาจึงย้อมถามไปว่า
" มหาบพิตร ทรงเสวยแล้วหรือ
? "
" โยมกินแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"
" ใครเป็นครูเป็นอาจารย์บอกให้เสวยล่ะ
"
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า
"
" ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรก็เสวยไม่ได้
? "
" ได้...ไม่ใช่โยมกินไม่ได้
ถึงไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอน โยมก็กินได้
ด้วยเคยกินมาในวัฏสงสารนับไม่ถ้วน
"
" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นขอให้มหาบพิตรเข้าพระทัยเถิดว่า
พระพุทธเจ้าได้อุปสมบทแล้วที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ
เพราะพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว"
พระองค์อุปสมบทเอง
ไม่มีอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้อุปสมบทพร้อมกับได้พระสัพพัญญุตญาณ
เหมือนกับมหาบพิตรผู้เสวยโดยไม่ต้องมีอาจารย์
เพราะเคยเสวยมาในวัฏสงสารอันไม่ปรากฏเบื้องต้นอัศจรรย์วันอุปสมบทในเวลาที่พระพุทธองค์ได้เป็นอุปสัมบันที่ภายใต็ไม้ศรีมหาโพธิ
ด้วยอำนาจพระบารมีนั้นอัศจรรย์ต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในโลก
คือ
คนตาบอดแต่กำเนิดก็กลับเป็นคนตาดี
๑ คนหูหนวกก็ได้ยินเสียง ๑ คนง่อยเปลี้ยก็เดินได้
๑ คนใบ้ก็พูดได้ ๑ คนหลังค่อมก็ยืดตรงเป็นปกติได้
๑ คนกำลังหิวข้าวก้ได้กินข้าว ๑ คนกระหายน้ำก็ได้ดื่มน้ำ
๑
ผู้ที่อาฆาตต่อกันก็ตึกเมตตากัน
๑ ทุกข์ในแดนเปรตก็หายไป ๑ ยาพิษก็กลับเป็นเหมือนยาทิพย์
๑ หญิงมีครรภ์แก่ก็คลอดได้สบาย ๑ สำเภาที่ไปต่างไปต่างประเทศก็กลับมาถึงท่าของตน
๑ กลิ่นเหม็นก็กลายเป็นกลิ่นหอม ๑
ไฟในอเวจีมหานรกก็ดับ
๑ น้ำเค็มในมหาสมุทรก็กลายเป็นน้ำหวาน
๑ ภูเขาทั้งหลายก็เปล่งเสียงสะท้าน ๑
น้ำในมหานทีทั้งหลายก็หยุดไหล ๑
ผลจันทน์ทิพย์ดอกมณฑาทิพย์ก็ตกลงมาจากสวรรค์
๑ เทพยดานางฟ้าทั้งหลาย ก็โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมา
๑ พรหมทั้งหลายก็ตบมือสาธุการ ๑
ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าผู้มีสีพระกายดังทองคำ
ก็ได้อุปสมบทเองที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ
อันเป็นเหมือนปราสาทแก้วจึงได้มีสิ่งอัศจรรย์ปรากฏขึ้นอย่างนี้
ด้วยอานุภาพแห่งการอุปสมบทของพระพุทธเจ้านั้น
ได้บันดาลให้พระยาเขาสิเนรุราชหมุนครวญคราง
เหมือนกับกงรถกงเกวียนฉะนั้น
พวกเทวดาในอากาศพร้อมกับบริวารก็มีใจเบิกบานยินดี
ได้โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมาบูชา จันทรเทพบุตรก็หยุดก็หยุดมณฑลรถไว้ที่อากาศ
โปรยดอกไม้แก้วลงมาบูชาไม่ขาดสายเหมือนกับนมสดที่ไหลหลั่งลงมาจากอากาศฉะนั้น
การอุปสมบทของพระตถาคตเจ้าย่อมปรากฏอย่างนี้
" ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย
"อุปมาช้างพระที่นั่ง
" ขอถวายพระพร เมื่อมหาบพิตรขึ้นประทับนั่งบนคอช้างพระที่นั่ง
มีผู้ใดผู้หนึ่งนั่งบนคอของพระองค์บ้างหรือไม่
? "
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า
หากใครขึ้นนั่งบนคอของโยม ผู้นั้นจะต้องหัวขาด
"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ
มหาบพิตร ไม่มีผู้อื่นจัดการอุปสมบทให้พระพุทธเจ้า
ถ้าผู้ใดจัดการอุปสมบทให้พระพุทธเจ้า
ศีรษะของผู้นั้นต้องหลุดไปจากคอทันที
เมื่อกี้นี้มหาบพิตรถามอาตมาภาพว่า
พระพุทธเจ้าอุปสมบทด้วยสงฆ์นั่งหัตถบาสเท่าไรอย่างนั้นหรือ?
"
" อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าไม่ได้อุปสมบทด้วยสงฆ์
มีแต่ มรรค กับ ผล เท่านั้นที่เป็นสงฆ์ "
ข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
" พระอริยบุคคล ๔ เหล่า คือ ผู้ตั้งอยู่ในมรรค
๔ ผล ๔ ผู้มั่นอยู่ในปัญญาและศีลเป็นสงฆ์ผู้ตรงแท้
แต่บุคคลบางเหล่าต้องอุปสมบทด้วยสงฆ์
"
" น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน
พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหาอันละเอียดยิ่ง
อันไม่มีส่วนเปรียบได้แล้ว ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
อุปสมบทเป็นของดีหรือ ? "
" ขอถวายพระพร อุปสมบทเป็นของดี
"
" ข้าแต่พระนาคเสน
การอุปสมบทของพระพุทธเจ้ามีอยู่หรือไม่มี?
"
" ขอถวายพระพร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุปสมบทด้วยความเป็นพระสัพพัญญูที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิแล้วไม่มีผู้ให้อุปสมบทแก่พระพุทธเจ้า
เหมือนกับพระพุทธเจ้าทรงให้อุปสมบทแก่สาวกเลย
"
" แก้ถูกต้องดีแล้ว
พระผู้เป็นเจ้า "
ปัญหาที่
๖
ถามถึงความต่างกันแห่งน้ำตา
" ข้าแต่พระนาคเสน
บุรุษคนหนึ่งร้องไห้เพราะบิดามารดาตาย
อีกคนหนึ่งน้ำตาไหลเพราะความชอบใจธรรมะ
น้ำตาของคนทั้งสองนั้น น้ำตาของใครเป็นเภสัช
น้ำตาของใครไม่เป็นเภสัช ? "
" ขอถวายพระพร น้ำตาของคนที่ร้องไห้ด้วยราคะ
โทสะ โมหะ เป็นน้ำตาร้อน ส่วนน้ำตาของผู้ฟังธรรมนั้น
มีน้ำตาไหลด้วยปีติยินดีเป็นน้ำตาเย็น
เป็นอันว่า น้ำตาเย็นเป็นเภสัช น้ำตาร้อนไม่เป็นเภสัช"
" ถูกดีแล้ง พระนาคเสน
"
ปัญหาที่
๗
ถามถึงความต่างกันแห่งผู้เสวยรส
" ข้าแต่พระนาคเสน
ผู้ปราศจากราคะ กับ ผู้ไม่ปราศจากราคะ
ต่างกันอย่างไร ?"
" ขอถวายพระพร ผู้หนึ่งยังมีความยึดถือ
อีกผู้หนึ่งไม่มีความยึดถือ"
" ยึดถืออะไร...ไม่ยึดถืออะไร
? "
" ขอถวายพระพร คือผู้หนึ่งยังมีความต้องการ
อีกผู้หนึ่งไม่มีความต้องการ"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ผู้ปราศจากราคะ กับ ผู้ไม่ปราศจากราคะ
ก็ยังต้องการของเคี้ยวของกินที่ดีงามอยู่เหมือนกัน
ไม่มีใครต้องการสิ่งที่ไม่ดีงาม
โยมเห็นมีแต่ต้องการสิ่งที่ดีงามเหมือนกันหมด"
" ขอถวายพระพร ผู้ปราศจากราคะ
ยังรับรสอาหาร ยังกินอาหารอยู่เหมือนกันก็จริงแหล่
แต่ทว่าไม่ยินดีในรสอาหาร ส่วนผู้ไม่ปราศจากราคะ
ยังยินดีในรสอาหารอยู่ ไม่ใช่ไม่ยินดีในรสอาหาร
"
" เข้าใจแก้ พระผู้เป็นเจ้า
"
ปัญหาที่
๘
ถามที่ตั้งแห่งปัญญา
" ข้าแต่พระนาคเสน
ปัญญาอยู่ที่ไหน ? "
" ขอถวายพระพร ปัญญาไม่ได้อยู่ที่ไหน
"
" ถ้าอย่างนั้นปัญญาก็ไม่มี
"
" ขอถวายพระพร ลมอยู่ที่ไหน
? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ที่อยู่แห่งลมไม่มี "
" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นลมก็ไม่มี
"
" ฉลาดแก้ พระผู้เป็นเจ้า
"
ปัญหาที่
๙
ถามเรื่องสงสาร
" ข้าแต่พระนาคเสน
คำว่า สงสาร ได้แก่อะไร ? "
" ขอถวายพระพร สัตว์โลกเกิดในโลกนี้ก็ตายในโลกนี้
ตายจากโลกนี้แล้วก็ไปเกิดในโลกอื่น
เกิดในโลกนั้นก็ตายในโลกนั้น ตายจากโลกนั้นแล้วก็เกิดในโลกอื่น
การเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้แหละ เรียกว่า
สงสาร "
" ขอนิมนต์อุปมาด้วย
"
" ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า
บุรุษคนหนึ่งกินมะม่วงสุก แล้วปลูกเมล็ดไว้เมล็ดมะม่วงนั้น
ก็เกิดเป็นต้นมะม่วงใหญ่ขึ้นจนกระทั่งมีผลมะม่วง
บุรุษนั้นก็กินมะม่วงสุกจากมะม่วงต้นนั้น
แล้วปลูกเมล็ดมะม่วงไว้อีก เมล็ดมะม่วงนั้นก็เกิดเป็นต้น
มะม่วงใหญ่โตขึ้นจนมีผล ต้นแก่ก็ตายไป
ที่สุดเบื้องต้นแห่งต้นมะม่วงเหล่านั้น
ย่อมไม่ปรากฏว่ามีมาเมื่อไร ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
การเวียนตายเวียนเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
ก็ไม่ปรากฏเบื้องต้นฉะนั้น "
" แก้ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า
"
ปัญหาที่
๑๐
ถามถึงเหตุที่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงแล้วได้
" ข้าแต่พระนาคเสน
บุคคลระลึกถึงสิ่งที่ล่วงไปนานแล้วได้ด้วยอะไร?
"
" ได้ด้วย สติ ขอถวายพระพร
"
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
สิ่งที่ล่วงไปนานแล้วสิ่งหนึ่ง บุคคลระลึกได้ด้วย
จิต ต่างหาก ไม่ใช่ระลึกได้ด้วยสติ"
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้แล้ว
ระลึกไม่ได้มีอยู่หรือไม่? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า
"
" ขอถวายพระพร ในเวลานั้นพระองค์ไม่มีจิตหรือ
? "
" จิตมี แต่เวลานั้นสติไม่มี
"
" ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า
บุคคลระลึกได้ด้วย สติ ไม่ใช่ระลึกได้ด้วย
จิต "
" ถูกดีแล้ว พระนาคเสน
"